เรื่องที่ 127 ศัตรูแห่งความดี ตอนที่ 1 เส้นแบ่งระหว่างดีกับชั่ว
หนึ่งในปัญหาโลกแตก คือ อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว และอะไรคือเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่ว เหมือนกับปัญหาที่ทำให้ประเทศไทยแตกแยกทางความคิดขณะนี้ ระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ผมเชื่อว่าในมนุษย์แต่ละคนที่ถูกจัดว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีสามัญสำนึก ผิด ชอบ ชั่ว ดี อยู่ครับ เพียงแต่ว่า มนุษย์คนไหนจะมีส่วนไหนมากกว่ากัน ดังนั้นมนุษย์ทุกคนรู้อยู่แก่ใจครับว่า อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว อะไรคือความถูก และอะไรคือความผิด
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) กล่าวไว้ในหนังสือ "สัมมาสมาธิและสมาธิแบบพุทธ" ไว้ว่า เครื่องมือของการทำความดี คือสัมมาสมาธิ หมายถึง สมาธิที่ใช้ถูกทาง เพื่อจุดหมายในทางหลุดพ้น เป็นไปเพื่อปัญญาที่รู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง มิใช่เพื่อผลในทางสนองความอยากของตัวตน
ท่านยังกล่าวไว้อีกว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสมาธิ หรือศัตรูของสมาธิคือ "นิวรณ์" เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดเสีย จึงจะเกิดสมาธิได้ เพราะนิวรณ์แปลว่า เครื่อง กีดกั้น เครื่องขัดขวาง เป็นสิ่งที่กีดกั้นการทำงานของจิต สิ่งที่ขัดขวางความดีงามของจิต สิ่งที่ทอนกำลังปัญญา เป็นสิ่งที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในกุศลธรรม ธรรมฝ่ายชั่วที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี หรืออกุศลกรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง
เครื่องกีดกันความดีในตัวมนุษย์มีอยู่ด้วยกัน 5 อย่าง คือ
กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งสัมผัสทางกาย) อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ เป็นความรู้สึกอยากได้อยากเอา จิตที่ถูกล่อด้วยอารมณ์ต่างๆ คิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ ติดใจโน่นติดใจนี่ คอยเขวออกไปหาอารมณ์อื่น
พยาบาท คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ ความผูกใจเจ็บ การมองในแง่ร้าย การคิดร้าย มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรู ตลอด จนความโกรธ ความหงุดหงิด ฉุนเฉียว ความรู้สึกขัดใจ ไม่พอใจต่างๆ จิตที่มัวกระทบนั่นกระทบนี่
ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอน ถีนะและมิทธะนั้นมีอาการแสดงออกที่คล้ายกันมาก คือทำ ให้เกิดอาการเซื่องซึมเหมือนกัน แต่มีสาเหตุที่ต่างกันคือ ถีนะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังที่จะทำความเพียรต่อไป ส่วนมิทธะนั้นเกิดจากความเมื่อยล้าอ่อนเพลีย ของร่างกาย หรือจิตใจจริงๆ เนื่องจากตรากตรำมามาก หรือขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่มากเกินไป
อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะ คือความรำคาญใจ อุทธัจจะนั้นคือการที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้เป็นเวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที ส่วนกุกกุจจะนั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วใน อดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี จิตจึงไม่อาจมุ่งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้อย่างเต็มที่ สมาธิจึงไม่เกิดขึ้น
พุทธศาสนาบอกว่านิวรณ์ทั้ง 5 นี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้น สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนาเลย ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วย เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่า ขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ก็เป็น ธรรมชาติอย่างหนึ่งๆ ของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจ ของจิตเช่นกัน
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
หนึ่งในปัญหาโลกแตก คือ อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว และอะไรคือเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่ว เหมือนกับปัญหาที่ทำให้ประเทศไทยแตกแยกทางความคิดขณะนี้ ระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ผมเชื่อว่าในมนุษย์แต่ละคนที่ถูกจัดว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีสามัญสำนึก ผิด ชอบ ชั่ว ดี อยู่ครับ เพียงแต่ว่า มนุษย์คนไหนจะมีส่วนไหนมากกว่ากัน ดังนั้นมนุษย์ทุกคนรู้อยู่แก่ใจครับว่า อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว อะไรคือความถูก และอะไรคือความผิด
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) กล่าวไว้ในหนังสือ "สัมมาสมาธิและสมาธิแบบพุทธ" ไว้ว่า เครื่องมือของการทำความดี คือสัมมาสมาธิ หมายถึง สมาธิที่ใช้ถูกทาง เพื่อจุดหมายในทางหลุดพ้น เป็นไปเพื่อปัญญาที่รู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง มิใช่เพื่อผลในทางสนองความอยากของตัวตน
ท่านยังกล่าวไว้อีกว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสมาธิ หรือศัตรูของสมาธิคือ "นิวรณ์" เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดเสีย จึงจะเกิดสมาธิได้ เพราะนิวรณ์แปลว่า เครื่อง กีดกั้น เครื่องขัดขวาง เป็นสิ่งที่กีดกั้นการทำงานของจิต สิ่งที่ขัดขวางความดีงามของจิต สิ่งที่ทอนกำลังปัญญา เป็นสิ่งที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในกุศลธรรม ธรรมฝ่ายชั่วที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี หรืออกุศลกรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง
เครื่องกีดกันความดีในตัวมนุษย์มีอยู่ด้วยกัน 5 อย่าง คือ
กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งสัมผัสทางกาย) อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ เป็นความรู้สึกอยากได้อยากเอา จิตที่ถูกล่อด้วยอารมณ์ต่างๆ คิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ ติดใจโน่นติดใจนี่ คอยเขวออกไปหาอารมณ์อื่น
พยาบาท คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ ความผูกใจเจ็บ การมองในแง่ร้าย การคิดร้าย มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรู ตลอด จนความโกรธ ความหงุดหงิด ฉุนเฉียว ความรู้สึกขัดใจ ไม่พอใจต่างๆ จิตที่มัวกระทบนั่นกระทบนี่
ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอน ถีนะและมิทธะนั้นมีอาการแสดงออกที่คล้ายกันมาก คือทำ ให้เกิดอาการเซื่องซึมเหมือนกัน แต่มีสาเหตุที่ต่างกันคือ ถีนะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังที่จะทำความเพียรต่อไป ส่วนมิทธะนั้นเกิดจากความเมื่อยล้าอ่อนเพลีย ของร่างกาย หรือจิตใจจริงๆ เนื่องจากตรากตรำมามาก หรือขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่มากเกินไป
อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะ คือความรำคาญใจ อุทธัจจะนั้นคือการที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้เป็นเวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที ส่วนกุกกุจจะนั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วใน อดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี จิตจึงไม่อาจมุ่งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้อย่างเต็มที่ สมาธิจึงไม่เกิดขึ้น
พุทธศาสนาบอกว่านิวรณ์ทั้ง 5 นี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้น สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนาเลย ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วย เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่า ขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ก็เป็น ธรรมชาติอย่างหนึ่งๆ ของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจ ของจิตเช่นกัน
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)