xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : ตอนที่ ๑๕ กลุ่มพระอัครสาวก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ปริพาชกทีฆนขะอยู่นั้น พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์(ข้างหลัง) ท่านพิจารณาไปตามเนื้อความพระธรรมเทศนานั้นตลอดเวลา ครั้นจบพระธรรมเทศนาท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนปริพาชกทีฆนขะหลานของท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล
ท่านได้บรรลุอรหัตผลในวันที่ ๑๕ หลังบวช ซึ่งวันนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓) เพราะหลังจากทรงแสดงธรรมโปรดให้ท่านได้บรรลุอรหัตผล แล้ว พระพุทธเจ้าก็เสด็จลงจากภูเขาคิชฌกูฏมายังวัดเวฬุวัน เพื่อทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในตอนบ่าย

งานสำคัญ
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ได้เป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยพระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนา โดยพระอัครสาวกทั้ง ๒ ได้ทำงานสัมพันธ์กัน ดังจะเห็นได้จากพระพุทธดำรัสที่ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ
จงคบหาสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด
ทั้ง ๒ รูปนี้เป็นภิกษุผู้เป็นบัณฑิต
อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์
สารีบุตร เปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด
โมคคัลลานะ เปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว
สารีบุตร ย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล
โมคคัลลานะ ย่อมแนะนำในผลชั้นสูง...

นอกจากนั้นแต่ละท่านยังได้มีผลงานเฉพาะตัวอีกมาก ซึ่งต่างล้วนเป็นประโยชน์ แก่พระพุทธศาสนาทั้งสิ้น คือ
พระสารีบุตร ได้เป็นอุปัชฌาย์บวชให้สามเณรหลายรูปด้วยกัน อาทิ สามเณรราหุล สามเณรสุขะ สามเณรสังกิจจะ สามเณรทัพพะ ต่อมายังได้โน้มน้าวใจให้น้องชายคือ พระจุนทะ พระอุปเสนะ พระเรวตะ และน้องสาว คือ จาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา ออกบวชในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้เสนอแนะให้พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทเพื่อช่วยรักษาพระพุทธศาสนาให้ มั่นคง และยังได้ทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทำสังคายนา คือรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นหมวดหมู่ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยอมรับและตรัสให้ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ท่านได้แสดงตัวอย่างด้วยการจัดหลักธรรม ไว้เป็นหมวดหมู่ กล่าวคือ ธรรมที่มี ๒ ข้อก็จัดไว้หมวดหนึ่ง จนถึงธรรม ๑๒ ข้อก็จัดไว้เป็นอีกหมวดหนึ่งต่างหาก และภายหลังพุทธปรินิพพาน พระมหากัสสปะได้ประชุมสงฆ์จัดทำปฐมสังคายนาก็ได้จัดทำ ตามแนวที่พระสารีบุตรเสนอไว้ นอกจากนั้นท่านยังได้สอนพระลกุณฑกภัททิยะให้ได้บรรลุอรหัตผล และได้เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้พระราธะ ซึ่งพระลกุณฑกภัททิยะและพระราธะนี้ต่อมาได้รับยกย่องไว้ในเอตทัคคะ และจัดอยู่ในกลุ่มพระอสีติมหาสาวก
พระมหาโมคคัลลานะ ก็ได้เป็นอาจารย์ของหมู่คณะช่วยพระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนาทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ ท่านแสดงฤทธิ์ปราบบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ จำนวนมากให้คลายเห็นผิด แล้วหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา อย่างเช่นที่เมืองราชคฤห์ ท่านได้แสดงฤทธิ์ปราบเศรษฐีมัจฉริยโกสิยะด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ บังหวนควันไฟ เดินจงกรมในอากาศ จนเขาเกิดความกลัวและยอมเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท้ายที่สุดก็ประกาศตนนับคือพระรัตนตรัย ท่านได้ปราบมารผู้มีความเห็นผิดด้วย วิธีการต่างๆเช่นกัน จนมารยอมแพ้ นอกจากนั้นท่านยังได้ปราบนาคราชนันโทปนันทะ
อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า พระอัครสาวกทั้ง ๒ ทำงานสัมพันธ์กันอย่างได้ผล นั่นคือคราวที่พระเทวทัตประกาศแยกตนออกจากพระพุทธเจ้า แล้วพาพระวัชชีบุตรซึ่งเป็นศิษย์ของท่านไปอยู่ที่คยาสีสประเทศ พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้พระอัครสาวกทั้ง ๒ ไปแก้ปัญหา ผลปรากฏว่าท่านได้แสดงธรรมและพูดเกลี้ยกล่อมให้พระวัชชีบุตรกลับมาเข้าอยู่ในคณะสงฆ์ตามเดิม โดยปล่อยให้พระเทวทัตกับศิษย์ของท่านจำนวนหนึ่งอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว
แม้พระอัครสาวกทั้ง ๒ จะเกิดในวันเดียวกัน แต่โดยที่พระสารีบุตรได้บรรลุโสดาปัตติผลก่อน และยังได้กล่าวธรรมให้พระมหาโมคคัลลานะได้บรรลุตามด้วย ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสยกย่องให้พระสารีบุตรเป็นพี่ ดังจะเห็นได้จากคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงแสดงอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา ครั้นอีก ๗ วันจะถึงมหาปวารณาออกพรรษา พระมหาโมคคัลลานะได้ขึ้นไปเฝ้าแล้วทูลถามว่าจะเสด็จลงจากเทวโลก ณ เมืองไหน พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า
“โมคคัลลานะ สารีบุตรพี่ชายเธออยู่ที่ไหน”
“จำพรรษาอยู่ที่เมืองสังกัสสะ พระเจ้าข้า”

เมื่อพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลให้ทรงทราบดังนั้น พระองค์จึงตรัสว่า พระองค์จักเสด็จลงจากเทวโลก ณ เมืองสังกัสสะนั้นแหละ

บั้นปลายชีวิต
พระอัครสาวกทั้ง ๒ รูป มีชีวิตอยู่มาจนกระทั่งถึงระยะปัจฉิมโพธิกาล (ระยะเวลาใกล้สิ้นยุคพุทธกาล) หลักฐานบางแห่งว่า ทั้ง ๒ ท่านนิพพานก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๑ ปี คือนิพพาน ในปีที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุ ๗๙ พรรษา
พระสารีบุตร นิพพานเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ที่บ้านของท่านเอง ด้วยโรคปักขันทิกาพาธ (ถ่ายจนเป็นเลือด) ดังมีเรื่องเล่าว่า
วันหนึ่ง ท่านเข้าผลสมาบัติอยู่ในที่พักกลางวันของท่านในวัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ออกจากผลสมาบัติแล้วพิจารณาเห็นว่าพระอัครสาวกย่อมนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ดังนั้นท่านจึงได้ตรวจดูอายุสังขารของตนเองและเห็นว่าจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีก ๗ วันเท่านั้น ท่านได้พิจารณาต่อไปถึงสถานที่ที่จะไปนิพพาน ก็เห็นว่าควรจะไปนิพพานที่บ้านเกิด ทั้งนี้เพื่อจะได้โปรดโยมมารดาซึ่งยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ อยู่ให้ได้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเห็นด้วยว่าโยมมารดามีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้เมื่อได้ฟังธรรมที่ท่านแสดง เมื่อปลงใจได้ดังนั้นแล้วท่านจึงแจ้ง พระจุนทะผู้เป็นน้องชายให้ทราบ และบอก พระจุนทะให้แจ้งแก่บรรดาศิษย์ของท่านให้ทราบด้วย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วท่านได้เก็บกวาดเสนาสนะ แล้วออกมายืนอยู่ที่หน้าเสสาสนะนั้น ท่านมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นครั้งสุดท้าย แล้วพาพระจุนทะและพระบริวาร ๕๐๐ รูปเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
“ข้าแต่พระบรมศาสดา” ท่านกราบทูล หลังจากกราบถวายบังคมแล้ว “อายุของข้า พระองค์ใกล้สิ้นแล้ว ข้าพระองค์ขอกราบพระบาทเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนับจากนี้ไปอีก ๗ วัน ข้าพระองค์จะได้ทอดทิ้งร่างกาย ขอได้ทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์นิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“สารีบุตร เธอจักไปนิพพานที่ไหน”
พระพุทธเจ้าตรัสถาม
“ที่บ้านเกิด พระพุทธเจ้าข้า”
“สารีบุตร”
พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพร้อมทั้งอนุญาต แล้วตรัสต่อไปว่า
“ต่อนี้ไปภิกษุทั้งหลายจะไม่ได้เห็นพระสาวกเช่นเธออีกแล้ว ขอเธอได้ช่วยอนุเคราะห์แสดงธรรมให้ภิกษุทั้งหลายฟังก่อนเถิด”
ท่านเข้าใจถึงพุทธประสงค์ได้ดีจึงลุกขึ้นถวายบังคมรับพระพุทธดำรัส แต่ก่อนที่จะแสดงธรรม ท่านได้เหาะขึ้นไปสูงได้ชั่วลำตาล ๑ แล้วกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้า จากนั้นก็ได้เหาะกลับขึ้นไปอีกแล้วกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าอีก ท่านทำอยู่อย่างนี้ถึง ๗ ครั้ง กล่าวคือ ท่านเหาะขึ้นไปสูงสุดถึง ๗ ชั่วลำตาล และในแต่ละชั่วลำตาลนั้นท่านได้เหาะกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าทุกครั้ง ขณะที่เหาะอยู่สูงถึง ๗ ชั่วลำตาลนั้นท่านได้แสดงฤทธิ์ต่างๆ มากกว่าร้อยแล้วจึงแสดงธรรม ขณะที่แสดงธรรมอยู่นั้นท่านได้แสดงฤทธิ์ด้วย โดยบางครั้งทำให้คนเห็นตัวท่านแต่บางครั้งก็ทำให้ไม่เห็น คงให้ได้ยินแต่เสียง หรือให้เห็นเพียงครึ่งตัว เสียงของท่านบางครั้งก็ได้ยินจากข้างบน บางครั้งก็ได้ยินจากเบื้องล่าง ท่านยังปรากฏกายให้เห็นเป็น รูปต่างๆ บางครั้งเป็นรูปพระจันทร์ บางครั้งเป็นรูปพระอาทิตย์ บางครั้งเป็นรูป ภูเขา บางครั้งเป็นรูปมหาสมุทร บางครั้งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ บางครั้งเป็นท้าวเวสสุวรรณ บางครั้งเป็นพระอินทร์ บางครั้งเป็นท้าวมหาพรหม ครั้นแสดงฤทธิ์และแสดงธรรมถวายตามพุทธประสงค์แล้ว ท่านก็ได้เหาะกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วเข้าไปประคองพระบาท พลางกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระบรมศาสดา ข้าพระองค์สู้สร้างบารมีมาช้านานนับได้ ๑ อสงไขยกับ ๑๐๐.๐๐๐ กัป ก็ด้วยตั้งใจจะได้ถวายบังคมพระบรมบาท”
จากนั้นท่านได้กราบถวายบังคมลา พระพุทธเจ้าเสด็จออกมาส่งหน้าพระคันธกุฎีและตรัสบอกพระสาวกทั้งหลายในที่นั้นให้ไปส่งท่าน ครั้นถึงซุ้มประตูเชตวันมหาวิหาร ท่านบอกพระที่ตามมาส่งท่านให้กลับ พร้อมทั้งกล่าวสอนไม่ให้ประมาท
ท่านพร้อมด้วยพระจุนทะและพระบริวารเดินทางอยู่ ๗ วันก็ถึงอุปติสสคามบ้านเกิดของท่านที่เมืองนาลันทา แคว้นมคธ ท่านพร้อมด้วยคณะได้ยืนพักเหนื่อย อยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ทางเข้าบ้านของท่าน และได้พบกับอุปเรวตะผู้เป็นหลานชาย จึงได้แจ้งความประสงค์ที่จะมาพักที่บ้านกับโยมมารดาให้หลานชายทราบ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
กำลังโหลดความคิดเห็น