ปุจฉา
จิตตกอยู่เสมอ
ขอความเมตตาหลวงปู่ให้คำชี้แนะด้วยเจ้าค่ะลูกมีสภาวจิตตกอยู่เสมอ มีอารมณ์ซึมเศร้าเป็นอนุสัย เป็นสันดาน เป็นกรรมอันใดหรือไม่ หลวงปู่เคยสอนว่าน้ำจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการดึงมันขึ้นมา แต่ด้วย สติที่มีอยู่น้อยนิด คงไม่อาจสู้กับการ ฉุดกระชากลากถูของพญามารได้ จะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ
วิสัชนา
แน่นอน น้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำอยู่ เสมอ เมื่อคุณรู้อย่างนี้ก็อย่าให้น้ำมันไหลไวเกินไป และสมควรอย่าง ยิ่งที่ต้องหาภาชนะหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด มารองน้ำหรือกั้นน้ำนั้นไว้บ้าง อย่างน้อยจะได้เอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เช่นเดียวกัน คนเรามักจะมีอารมณ์ใฝ่ต่ำเสมอ ต้องหาเครื่องกรอง เครื่อง กั้นอารมณ์เอาไว้บ้าง และเครื่องกรอง เครื่องกั้นนั้นก็คือ สติ สมาธิ ปัญญา ที่ เกิดจากการฝึกหัดศึกษาปฏิบัติธรรม
ปุจฉา
ซึมเศร้า หมดหวัง
กราบนมัสการหลวงปู่ หลวงปู่ครับ...
1. เราจะมีวิธีสร้างแรงจูงใจให้ รัก เพียรพยายาม เอาใจใส่ ตรวจสอบใคร่ครวญในการงานไปตลอด ได้อย่างไรครับ
2. ในการฝึกสตินั้น สำหรับคน ที่มีกิเลสมากนั้น ต้องใช้เวลาเท่าไรจึง จะได้ผลครับ และมีวิธีใดบ้างที่ฝึกง่ายๆ (ถึงแม้ต้องใช้เวลามากๆ) สำหรับคนที่ไม่ชอบการฝึกแบบเป็นพิธีการ
3. เราจะใช้ธรรมะข้อใดครับที่ช่วยให้เรารอดพ้นจากความโกรธ หงุดหงิด รำคาญ ได้บ้างครับ
4. อาการซึมเศร้า ท้อแท้ หมดหวัง ในความสามารถของตัวเองนั้น เราจะทำอย่างไรให้เราและคนอื่นๆ ไม่มีอาการอย่างนี้ครับ
วิสัชนา
1. มีสติคอยเตือนตนให้สนใจใส่ใจ รักที่จะทำอะไรให้สำเร็จลุล่วง ด้วยความจดจ่อ จับจ้อง จริงจัง ตั้งใจ เพียรพยายาม พร้อมกับใช้ปัญญาใคร่ ครวญพิจารณาในการงานที่ลงมือกระทำ คำที่พูด สูตรที่คิด เมื่อกิจกรรมที่ทำแล้วมีผลสำเร็จ เรายิ่งรู้สึกภาคภูมิ ยินดี เหล่านี้ก็เป็นวิธีสร้างแรงจูงใจให้เรามีกำลังที่จะทำงานต่อไปอย่างไม่เบื่อหน่าย
2. ฝึกทุกลมหายใจที่เข้าออกจนกว่าชีวิตคุณจะหาไม่ มีสติรู้ลมหายใจเข้า มีสติรู้ลมหายใจออก นี่เป็นวิธีที่ง่ายและไม่ต้องอาศัยพิธีการใดๆ
3. สติ เมตตา ปัญญา
4. เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณไม่มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่ปรากฏแก่คุณ เมื่อไม่รู้เท่าทัน ก็ระงับอารมณ์นั้นๆ ไม่ได้ ผลก็จะเป็นอย่างที่คุณกล่าว อีกอย่างการซึมเศร้า ท้อแท้ และหมดหวัง อาจจะเกิดจากความทะยานอยาก ตัณหา และอุปาทาน คือความ ยึดถือ เกิดการแปรเปลี่ยน เหล่านี้เป็นเหตุให้เกิด อาการซึม เศร้า ท้อแท้ และความหมดหวังทั้งนั้น สิ่งที่แก้ได้ดีที่สุดคือ สติ สมาธิ ปัญญา
ปุจฉา
อยากรู้สภาวธรรม
กราบนมัสการหลวงปู่ เมื่อเจริญ สมถกรรมฐานเกิดเวทนาปวดเมื่อย ลูกก็ดูเวทนาเฉยๆ จนสักพัก เวทนา ก็หายไป ตอนนั้นลูกไม่ได้ตามคิด พิจาณาว่าเวทนาเกิดได้อย่างไรและหายไปได้อย่างไร มันแค่รู้เฉยๆ ในเวทนาทั้ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
มีญาติธรรมผู้หวังดีท่านหนึ่งบอกลูกว่า ลูกไม่พิจาณาในลักษณะอนุโลม ปฏิโลมในขณะนั้นว่าเวทนามีเหตุจากอะไร หายไปได้อย่างไร การ ปฏิบัติของลูกจึงไม่ถูกเท่าที่ควร แต่ลูกมีความเห็นที่ขัดแย้งในใจ แต่ไม่โต้เถียง เพราะสภาวะตอนนั้นลูกเท่านั้นที่สัมผัสมัน มันเห็น มันรู้ ในขณะเดียวกันแล้วจบ ไม่ต่อเป็นเรื่องราว เพราะเมื่อลูกคิด ลูกก็เเห็น สภาพการปรุงแต่งจากใจ จึงเกิดเป็น เรื่องราว มันเห็นอยู่อย่างนี้ หลวงปู่โปรดชี้แนะลูกด้วย
วิสัชนา
สภาวธรรมของแต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน จะเอาความเห็น ของคนหนึ่งมาเป็นบรรทัดฐานของอีกคนหนึ่งคงจะไม่ได้ ถ้าท่านผู้นั้นยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ขณะที่เวทนา คุณเกิด แล้วคุณก็ข่มเวทนาด้วยกำลังของสมาธิ ก็มิได้ผิดอะไร เพราะคุณไม่อยากไปวุ่นวาย ตามรู้ตามเห็น ชอบความเงียบความสงบ อย่างดีตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหม
แต่ที่เพื่อนคุณเขาแนะนำให้คุณตามดู เหตุเกิด และเหตุดับของ เวทนา มันคืออุบายฝึกฝนให้เกิดปัญญา รู้เท่าทันตามความเป็นจริง ถือได้ว่าเขากำลังชี้ให้คุณเห็นทางของพระอริยเจ้าทั้งสี่ คือ โสดาฯ สกทาคาฯ อนาคาฯ และอรหันต์
จิตตกอยู่เสมอ
ขอความเมตตาหลวงปู่ให้คำชี้แนะด้วยเจ้าค่ะลูกมีสภาวจิตตกอยู่เสมอ มีอารมณ์ซึมเศร้าเป็นอนุสัย เป็นสันดาน เป็นกรรมอันใดหรือไม่ หลวงปู่เคยสอนว่าน้ำจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการดึงมันขึ้นมา แต่ด้วย สติที่มีอยู่น้อยนิด คงไม่อาจสู้กับการ ฉุดกระชากลากถูของพญามารได้ จะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ
วิสัชนา
แน่นอน น้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำอยู่ เสมอ เมื่อคุณรู้อย่างนี้ก็อย่าให้น้ำมันไหลไวเกินไป และสมควรอย่าง ยิ่งที่ต้องหาภาชนะหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด มารองน้ำหรือกั้นน้ำนั้นไว้บ้าง อย่างน้อยจะได้เอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เช่นเดียวกัน คนเรามักจะมีอารมณ์ใฝ่ต่ำเสมอ ต้องหาเครื่องกรอง เครื่อง กั้นอารมณ์เอาไว้บ้าง และเครื่องกรอง เครื่องกั้นนั้นก็คือ สติ สมาธิ ปัญญา ที่ เกิดจากการฝึกหัดศึกษาปฏิบัติธรรม
ปุจฉา
ซึมเศร้า หมดหวัง
กราบนมัสการหลวงปู่ หลวงปู่ครับ...
1. เราจะมีวิธีสร้างแรงจูงใจให้ รัก เพียรพยายาม เอาใจใส่ ตรวจสอบใคร่ครวญในการงานไปตลอด ได้อย่างไรครับ
2. ในการฝึกสตินั้น สำหรับคน ที่มีกิเลสมากนั้น ต้องใช้เวลาเท่าไรจึง จะได้ผลครับ และมีวิธีใดบ้างที่ฝึกง่ายๆ (ถึงแม้ต้องใช้เวลามากๆ) สำหรับคนที่ไม่ชอบการฝึกแบบเป็นพิธีการ
3. เราจะใช้ธรรมะข้อใดครับที่ช่วยให้เรารอดพ้นจากความโกรธ หงุดหงิด รำคาญ ได้บ้างครับ
4. อาการซึมเศร้า ท้อแท้ หมดหวัง ในความสามารถของตัวเองนั้น เราจะทำอย่างไรให้เราและคนอื่นๆ ไม่มีอาการอย่างนี้ครับ
วิสัชนา
1. มีสติคอยเตือนตนให้สนใจใส่ใจ รักที่จะทำอะไรให้สำเร็จลุล่วง ด้วยความจดจ่อ จับจ้อง จริงจัง ตั้งใจ เพียรพยายาม พร้อมกับใช้ปัญญาใคร่ ครวญพิจารณาในการงานที่ลงมือกระทำ คำที่พูด สูตรที่คิด เมื่อกิจกรรมที่ทำแล้วมีผลสำเร็จ เรายิ่งรู้สึกภาคภูมิ ยินดี เหล่านี้ก็เป็นวิธีสร้างแรงจูงใจให้เรามีกำลังที่จะทำงานต่อไปอย่างไม่เบื่อหน่าย
2. ฝึกทุกลมหายใจที่เข้าออกจนกว่าชีวิตคุณจะหาไม่ มีสติรู้ลมหายใจเข้า มีสติรู้ลมหายใจออก นี่เป็นวิธีที่ง่ายและไม่ต้องอาศัยพิธีการใดๆ
3. สติ เมตตา ปัญญา
4. เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณไม่มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่ปรากฏแก่คุณ เมื่อไม่รู้เท่าทัน ก็ระงับอารมณ์นั้นๆ ไม่ได้ ผลก็จะเป็นอย่างที่คุณกล่าว อีกอย่างการซึมเศร้า ท้อแท้ และหมดหวัง อาจจะเกิดจากความทะยานอยาก ตัณหา และอุปาทาน คือความ ยึดถือ เกิดการแปรเปลี่ยน เหล่านี้เป็นเหตุให้เกิด อาการซึม เศร้า ท้อแท้ และความหมดหวังทั้งนั้น สิ่งที่แก้ได้ดีที่สุดคือ สติ สมาธิ ปัญญา
ปุจฉา
อยากรู้สภาวธรรม
กราบนมัสการหลวงปู่ เมื่อเจริญ สมถกรรมฐานเกิดเวทนาปวดเมื่อย ลูกก็ดูเวทนาเฉยๆ จนสักพัก เวทนา ก็หายไป ตอนนั้นลูกไม่ได้ตามคิด พิจาณาว่าเวทนาเกิดได้อย่างไรและหายไปได้อย่างไร มันแค่รู้เฉยๆ ในเวทนาทั้ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
มีญาติธรรมผู้หวังดีท่านหนึ่งบอกลูกว่า ลูกไม่พิจาณาในลักษณะอนุโลม ปฏิโลมในขณะนั้นว่าเวทนามีเหตุจากอะไร หายไปได้อย่างไร การ ปฏิบัติของลูกจึงไม่ถูกเท่าที่ควร แต่ลูกมีความเห็นที่ขัดแย้งในใจ แต่ไม่โต้เถียง เพราะสภาวะตอนนั้นลูกเท่านั้นที่สัมผัสมัน มันเห็น มันรู้ ในขณะเดียวกันแล้วจบ ไม่ต่อเป็นเรื่องราว เพราะเมื่อลูกคิด ลูกก็เเห็น สภาพการปรุงแต่งจากใจ จึงเกิดเป็น เรื่องราว มันเห็นอยู่อย่างนี้ หลวงปู่โปรดชี้แนะลูกด้วย
วิสัชนา
สภาวธรรมของแต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน จะเอาความเห็น ของคนหนึ่งมาเป็นบรรทัดฐานของอีกคนหนึ่งคงจะไม่ได้ ถ้าท่านผู้นั้นยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ขณะที่เวทนา คุณเกิด แล้วคุณก็ข่มเวทนาด้วยกำลังของสมาธิ ก็มิได้ผิดอะไร เพราะคุณไม่อยากไปวุ่นวาย ตามรู้ตามเห็น ชอบความเงียบความสงบ อย่างดีตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหม
แต่ที่เพื่อนคุณเขาแนะนำให้คุณตามดู เหตุเกิด และเหตุดับของ เวทนา มันคืออุบายฝึกฝนให้เกิดปัญญา รู้เท่าทันตามความเป็นจริง ถือได้ว่าเขากำลังชี้ให้คุณเห็นทางของพระอริยเจ้าทั้งสี่ คือ โสดาฯ สกทาคาฯ อนาคาฯ และอรหันต์