ก็เช่นกันอีกนั่นล่ะ ถ้าจะถามว่าคนเราทุกข์เพราะอะไร ก็มักจะตอบกันว่าทุกข์เพราะไม่มีเงิน ทุกข์เพราะไม่มีกินไม่มีใช้ ทุกข์เพราะความยากลำบากในชีวิตความเป็นอยู่ ทุกข์เพราะความเจ็บป่วย ทุกข์เพราะความแก่ชรา ทุกข์เพราะกลัวความตาย ถ้าจะดูที่รายละเอียด ความทุกข์ก็มีหลาย อย่างแตกต่างกันออกไป เช่นทุกข์เพราะลูกดื้อ ทุกข์ เพราะลูกติดยา ลูกเรียนไม่ดี ทุกข์เพราะสามีกินเหล้า ทุกข์เพราะเป็นหนี้เป็นสิน ฯลฯ ซึ่งมีอีกนับร้อยอย่างร้อยเรื่องที่จะทุกข์ได้ แต่ถ้าเราจะมองกันให้ถึงต้นเหตุที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็พอสรุปได้ว่า คนเราเป็นทุกข์เพราะผิดหวัง ปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้ดังปรารถนา ทุกข์เพราะต้องเสียสิ่งที่รักที่ชอบไป ทุกข์เพราะประสบสิ่งไม่เป็นที่ชอบที่พอใจ แต่ถ้าจะสรุปลงง่ายๆ ก็คงเหลืออยู่เรื่องเดียวคือ คนเราทุกข์เพราะไม่สมใจอยาก ไม่สมหวัง ไม่สมปรารถนาที่ตั้งใจไว้ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ อยากได้อะไรแล้วไม่ได้สมอยากก็เป็นทุกข์ นั่นเอง
เราลองมาพิจารณาดู ที่ว่า ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจเป็นทุกข์นั้น มันก็คือเราไม่อยากได้สิ่งนั้น ไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่มันกลับได้ มันกลับเกิด มันก็เลยไม่พอใจ มันขัดใจก็เลยเป็นทุกข์ หรือจะพูดอีกแบบก็คือ ความไม่อยากได้มันก็คือความอยากไม่ได้มันนั่นเอง นั่นก็ เท่ากับว่า มีความอยากแล้วไม่สมอยากก็เลยเป็นทุกข์ ส่วนความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นทุกข์ นั่นก็เป็นเพราะเมื่อเรารักเราชอบสิ่งใด เราก็อยากจะอยู่กับมันนานๆ อยากให้มันอยู่กับเรานานๆ แบบไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่แล้วมันก็ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องสูญเสีย ต้องพลัดพรากไปในที่สุด เพราะมันเกินอำนาจของเราที่จะไปบังคับมันไว้ได้จริง มันก็เลยต้องทุกข์ นั่นก็เป็นเพราะความอยาก อีกเช่นกัน คืออยากให้มันอยู่แต่มันไม่อยู่ นั่นก็เท่ากับอยากแล้วไม่สมอยากก็เป็นทุกข์อีกนั่นเอง
ความอยากจึงเป็นต้นเหตุหลักของความทุกข์ เมื่ออยากแล้วไม่สมอยากจึงเกิดความทุกข์อยู่ร่ำไป ไม่ว่าอยากอะไร เรื่องต่างๆ ภายนอกอย่างไร ต้อง- การสิ่งใด หรือเกี่ยวพันกับมันอย่างไร ถ้ามีทุกข์ก็คือ เกิดจากความอยากแล้วไม่สมอยากนั่นเอง ความอยาก หรือราคะตัณหานั่นล่ะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความทุกข์ในปุถุชนเรา เมื่อเราอยากเราหวังในสิ่งใด โอกาสที่จะสมหวังนั้นมันมีไม่มากเลย เพราะเหตุปัจจัยในการให้สมหวังนั้นมันมีหลายอย่าง สลับซับซ้อนจนเราไม่สามารถจะควบคุมได้หมด นั่นก็คือโอกาสที่จะผิดหวังจึงมีสูง ยิ่งถ้าอยากโดยขาดเหตุผล ขาดความพอเหมาะพอดีมากเท่าใด โอกาสในการผิด-หวังก็ยิ่งมากเท่านั้น ความอยากจึงเป็นเหตุหลักเหตุใหญ่ที่ผลักไสให้มนุษย์ปุถุชนเราเดินไปสู่ความทุกข์ ความอยากก็คือกิเลสชนิดหนึ่ง อาจเรียกว่า โลภะ หรือราคะตัณหาก็ได้ ซึ่งก็มีทั้งความอยากมี ความไม่อยากมี และก็ความอยากเป็น ความไม่อยากเป็น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล่ะเป็นตัวต้นเงื่อนที่คอยกระตุ้นผลักไสคนเราให้ดิ้นรนไปสู่ทุกข์ และโดยคุณสมบัติของตัวมันเอง กิเลสทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่คอยปิดหูปิดตาปิดใจคนเรา ทำให้จิตใจคนเราพร่ามัว กระทำการงานอันใดก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรอีกด้วย โอกาสเกิดปัญหาความทุกข์ยาก หรือทำการงานไม่สำเร็จจึงมีสูง แต่คนเราก็มักจะพอใจกับมัน ชอบอาศัยมันเป็นตัวผลักดันให้เกิดกำลังในการทำนู่นทำนี่ทั้งที่มันมีพิษภัยมหันต์ มนุษย์จึงเดินไปสู่ความทุกข์แล้วทุกข์เล่าอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เมื่อคนเราประสบกับความทุกข์ คนเรามักจะมองแต่เพียงเหตุผลผิวเผินหรือปลายเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้น หรือจะพูดอีกทีก็คือมองแต่เหตุปัจจัยภายนอกที่มาทำให้เกิดทุกข์ มักจะไม่มองว่า แท้จริงแล้วทุกข์มันเกิดขึ้นในจิตใจเรา มีจิตใจเราเป็นหลักหรือต้นเหตุที่ไปทำให้ทุกข์เกิดขึ้น คนเรามักจะมองแต่เพียงว่าเพราะสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นเลยทำให้เราทุกข์ เพราะคนนั้นเป็นอย่างนั้นหรือมาทำอย่างนั้นจึงทำให้เราทุกข์ สิ่งเหล่านั้นมันเป็นแต่เพียงตัวกระตุ้นหรือเหตุปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบเรา แล้วทำให้ใจเราเป็นทุกข์ การแก้ปัญหาความทุกข์หรือการแก้ไขให้พ้นจากทุกข์จึงไม่สามารถทำได้ถ้าเราไม่มองเข้ามาในจิตใจเราแล้วจัดการกับมันตรงนี้ การพยายามจัดการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขภายนอกก็จะช่วยได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อเหตุเปลี่ยนทุกข์ใหม่ก็เกิดขึ้นอีกไม่รู้จักจบสิ้น แต่ไม่ว่าทุกข์จากอะไร จากสิ่งใด มันก็ต้องเกิดที่ใจ เกิดจากใจของเราเป็นตัวไปก่อเหตุ การแก้ไขที่ใจโดยตรงจึงเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ไขทุกข์ได้ทุกอย่าง ทุกชนิด และโดยสิ้นเชิง
มันก็เหมือนกับความสุขนั่นล่ะ มนุษย์ก็มักจะนึกถึงแต่เหตุภายนอกเท่านั้นที่จะมาทำให้ตนมีความสุขได้ ไม่เคยคิดว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเกิดความสุขจากอะไรมันก็ต้องผ่านที่ใจก่อนเสมอ จิตใจเป็นเหตุปัจจัยหลักจึงเกิดความสุขได้ มนุษย์ จึงต้องดิ้นรนแสวงหาแต่สิ่งภายนอกเข้ามากระทำให้ตนเกิดความสุขกันอย่างไม่รู้จักหยุดจักพอ ทั้งที่จริงแล้วไม่ว่ารูปแบบของสิ่งภายนอกที่มากระทบจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ ความสุขที่เกิดขึ้นกับใจนั้นมันคงเป็นแบบเดิม ตัวเนื้อหาอาการของความสุขที่เกิดนั้นมันคงเดิม มันไม่ใช่อะไรใหม่ๆ ตามสิ่งที่มากระตุ้นเลย
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/คุณค่าจากทุกข์โดยธรรมชาติ)
                                                                            
                                เราลองมาพิจารณาดู ที่ว่า ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจเป็นทุกข์นั้น มันก็คือเราไม่อยากได้สิ่งนั้น ไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่มันกลับได้ มันกลับเกิด มันก็เลยไม่พอใจ มันขัดใจก็เลยเป็นทุกข์ หรือจะพูดอีกแบบก็คือ ความไม่อยากได้มันก็คือความอยากไม่ได้มันนั่นเอง นั่นก็ เท่ากับว่า มีความอยากแล้วไม่สมอยากก็เลยเป็นทุกข์ ส่วนความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นทุกข์ นั่นก็เป็นเพราะเมื่อเรารักเราชอบสิ่งใด เราก็อยากจะอยู่กับมันนานๆ อยากให้มันอยู่กับเรานานๆ แบบไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่แล้วมันก็ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องสูญเสีย ต้องพลัดพรากไปในที่สุด เพราะมันเกินอำนาจของเราที่จะไปบังคับมันไว้ได้จริง มันก็เลยต้องทุกข์ นั่นก็เป็นเพราะความอยาก อีกเช่นกัน คืออยากให้มันอยู่แต่มันไม่อยู่ นั่นก็เท่ากับอยากแล้วไม่สมอยากก็เป็นทุกข์อีกนั่นเอง
ความอยากจึงเป็นต้นเหตุหลักของความทุกข์ เมื่ออยากแล้วไม่สมอยากจึงเกิดความทุกข์อยู่ร่ำไป ไม่ว่าอยากอะไร เรื่องต่างๆ ภายนอกอย่างไร ต้อง- การสิ่งใด หรือเกี่ยวพันกับมันอย่างไร ถ้ามีทุกข์ก็คือ เกิดจากความอยากแล้วไม่สมอยากนั่นเอง ความอยาก หรือราคะตัณหานั่นล่ะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความทุกข์ในปุถุชนเรา เมื่อเราอยากเราหวังในสิ่งใด โอกาสที่จะสมหวังนั้นมันมีไม่มากเลย เพราะเหตุปัจจัยในการให้สมหวังนั้นมันมีหลายอย่าง สลับซับซ้อนจนเราไม่สามารถจะควบคุมได้หมด นั่นก็คือโอกาสที่จะผิดหวังจึงมีสูง ยิ่งถ้าอยากโดยขาดเหตุผล ขาดความพอเหมาะพอดีมากเท่าใด โอกาสในการผิด-หวังก็ยิ่งมากเท่านั้น ความอยากจึงเป็นเหตุหลักเหตุใหญ่ที่ผลักไสให้มนุษย์ปุถุชนเราเดินไปสู่ความทุกข์ ความอยากก็คือกิเลสชนิดหนึ่ง อาจเรียกว่า โลภะ หรือราคะตัณหาก็ได้ ซึ่งก็มีทั้งความอยากมี ความไม่อยากมี และก็ความอยากเป็น ความไม่อยากเป็น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล่ะเป็นตัวต้นเงื่อนที่คอยกระตุ้นผลักไสคนเราให้ดิ้นรนไปสู่ทุกข์ และโดยคุณสมบัติของตัวมันเอง กิเลสทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่คอยปิดหูปิดตาปิดใจคนเรา ทำให้จิตใจคนเราพร่ามัว กระทำการงานอันใดก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรอีกด้วย โอกาสเกิดปัญหาความทุกข์ยาก หรือทำการงานไม่สำเร็จจึงมีสูง แต่คนเราก็มักจะพอใจกับมัน ชอบอาศัยมันเป็นตัวผลักดันให้เกิดกำลังในการทำนู่นทำนี่ทั้งที่มันมีพิษภัยมหันต์ มนุษย์จึงเดินไปสู่ความทุกข์แล้วทุกข์เล่าอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เมื่อคนเราประสบกับความทุกข์ คนเรามักจะมองแต่เพียงเหตุผลผิวเผินหรือปลายเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้น หรือจะพูดอีกทีก็คือมองแต่เหตุปัจจัยภายนอกที่มาทำให้เกิดทุกข์ มักจะไม่มองว่า แท้จริงแล้วทุกข์มันเกิดขึ้นในจิตใจเรา มีจิตใจเราเป็นหลักหรือต้นเหตุที่ไปทำให้ทุกข์เกิดขึ้น คนเรามักจะมองแต่เพียงว่าเพราะสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นเลยทำให้เราทุกข์ เพราะคนนั้นเป็นอย่างนั้นหรือมาทำอย่างนั้นจึงทำให้เราทุกข์ สิ่งเหล่านั้นมันเป็นแต่เพียงตัวกระตุ้นหรือเหตุปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบเรา แล้วทำให้ใจเราเป็นทุกข์ การแก้ปัญหาความทุกข์หรือการแก้ไขให้พ้นจากทุกข์จึงไม่สามารถทำได้ถ้าเราไม่มองเข้ามาในจิตใจเราแล้วจัดการกับมันตรงนี้ การพยายามจัดการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขภายนอกก็จะช่วยได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อเหตุเปลี่ยนทุกข์ใหม่ก็เกิดขึ้นอีกไม่รู้จักจบสิ้น แต่ไม่ว่าทุกข์จากอะไร จากสิ่งใด มันก็ต้องเกิดที่ใจ เกิดจากใจของเราเป็นตัวไปก่อเหตุ การแก้ไขที่ใจโดยตรงจึงเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ไขทุกข์ได้ทุกอย่าง ทุกชนิด และโดยสิ้นเชิง
มันก็เหมือนกับความสุขนั่นล่ะ มนุษย์ก็มักจะนึกถึงแต่เหตุภายนอกเท่านั้นที่จะมาทำให้ตนมีความสุขได้ ไม่เคยคิดว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเกิดความสุขจากอะไรมันก็ต้องผ่านที่ใจก่อนเสมอ จิตใจเป็นเหตุปัจจัยหลักจึงเกิดความสุขได้ มนุษย์ จึงต้องดิ้นรนแสวงหาแต่สิ่งภายนอกเข้ามากระทำให้ตนเกิดความสุขกันอย่างไม่รู้จักหยุดจักพอ ทั้งที่จริงแล้วไม่ว่ารูปแบบของสิ่งภายนอกที่มากระทบจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ ความสุขที่เกิดขึ้นกับใจนั้นมันคงเป็นแบบเดิม ตัวเนื้อหาอาการของความสุขที่เกิดนั้นมันคงเดิม มันไม่ใช่อะไรใหม่ๆ ตามสิ่งที่มากระตุ้นเลย
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/คุณค่าจากทุกข์โดยธรรมชาติ)
 
                    

