หนึ่งชีวิตของคนหนึ่งคนล้วนมีการหมุนเวียนผันผ่านของหลายชีวิตที่เข้ามา บางชีวิตอยู่กับเราเท่าช่วงชีวิตของเรา บางชีวิตมาแล้วไปแล้วมาอีกครั้ง บางชีวิตอยู่ๆ ก็หายไป แต่บางชีวิตเหมือนฝัน
การดำเนินชีวิตเหมือนกับการเรียนรู้ชีวิตที่เป็นบทเรียนไม่รู้จบ แต่ละวันมีสมการชีวิตเกิดขึ้นให้เราแก้แตกต่างกันไป บางโจทย์เราสามารถ ใช้ประสบการณ์เป็นตัวช่วยสอน แต่บางโจทย์มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลายคนเหนื่อยล้ากับบทเรียนชีวิตที่วิ่งเข้ามาแบบไม่เคยซ้ำเรื่องราว แต่หลายคนกลับสนุกสนานกับบทเรียนเรื่องเดียวกัน
เพราะอะไร???
คำตอบของหลายคนอยู่ได้และอยู่ไม่ได้เพราะคนๆ หนึ่ง แต่คนคนนั้นจะอยู่กับเราตลอดไปหรือ นั่นคือคำถาม
วันหนึ่งผมได้รับคำตอบจากหนังสือ 'เพื่อน ประโยชน์จากการน้อมรับพระธรรมนำชีวิต' ของท่านพุทธทาสภิกขุ
ท่านพุทธทาสสอนว่า เพื่อนเกลอของชีวิตที่จะอยู่กับเรา ไปกับเราทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่ามีความลำบากยากแค้นอะไรเกิดขึ้น ไม่เคยทิ้ง คือ ธรรมะ 4 เกลอ ที่ประกอบไปด้วย สติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ
สติ คือ ความระลึกที่เร็วเหมือนลูกศร ระลึกได้ทันแก่เวลา ถ้าระลึกอยู่ ตั้งชั่วโมงก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องระลึกได้ทันควัน จึงจะเรียกว่า 'สติ' โดยสติมีทั้งแบบสติตามธรรมชาติ ที่สุนัขและแมวก็มี และสติที่ฝึกเพิ่มได้ที่มนุษย์สามารถฝึกได้ด้วยวิธีอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก เป็นสติที่ลึกซึ้ง กว่าธรรมดา จะทำให้เรามีสติทุกอิริยาบถ มีสติรู้จักป้องกัน รู้จักเลือกสรร และที่สำคัญมีสติสำหรับจะตายให้ดีที่สุด
ท่านพุทธทาสบอกว่า ผู้ที่ฝึกสติดีแล้ว เกลอสติจะอยู่กับเราอย่างสมบูรณ์กระทั่งสิ้นชีวิต ไม่หนีหายไปไหน โดยรู้ว่าจะสิ้นชีวิตลงในการหายใจครั้งนี้หรือครั้งไหน
ปัญญา คือ ความรู้อย่างทั่วถึงเฉพาะที่ควรจะรู้ ที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ไม่ต้องเพราะไม่มีประโยชน์ เรื่องที่ควรรู้ต้องศึกษาอย่างดีที่สุด รอบคอบสุขุมที่สุด ลึกซึ้งที่สุด รู้ว่าเรามีปัญหาอย่างไรจะต้องแก้ปัญหาด้วยความรู้อะไร
ท่านพุทธทาสเปรียบเทียบปัญญาในตัวเราเป็นเกลอที่สอง ที่ใครมีแล้วจะอยู่เป็นเพื่อนชีวิตเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่ พร้อมอธิบายว่า การหาความรู้ไม่ต้องวิ่งหาไปไกล
คนคนหนึ่งเขาต้องการจะพบที่สุดในโลก เที่ยววิ่งหาโลกว่าเป็นเทวดา เที่ยววิ่งหาที่สุดของโลก เทวดาตนนี้เหาะเร็วเหมือนลูกศร ไปสุดจักรวาลข้างโน้น สุดจักรวาลข้างนี้ สุดริมโลกนี่ก็ไม่พบ ไม่พบที่สุดของโลก พระพุทธเจ้าบอกว่า มันอยู่ในร่างกายที่ยาวเพียงวาหนึ่งเท่านั้นแหละ แกไปวิ่งเสียไม่รู้จักเท่าไรต่อเท่าไร
ท่านพุทธทาสยังขยายความอีกว่า การดูตัวเอง เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง จัดการกับตัวเองอย่างถูกต้อง ถือว่าได้ปัญญามหาศาล ให้เห็นทุกอย่างจากภายในของตน เพราะถ้ารู้เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์แล้ว ก็คือรู้หมด รู้สิ้น รู้จบ ไม่มีอะไรเหลือสิ่งที่ยังไม่รู้
เกลอที่สามคือ สัมปชัญญะ เป็นปัญญาที่เข้าประจำการ ที่ใช้ควบคู่กับสติ หมายถึง ทั่วถึง พร้อมหน้า ปัญญาอย่างครบถ้วนที่มีอยู่อย่างพร้อมหน้า
ท่านพุทธทาสบอกว่า ถึงแม้มีปัญญา แต่ถ้าอยู่ที่อื่น อยู่ก้นบึ้งของจิตใจ ที่ไหนก็ไม่รู้ ก็ไม่มีประโยชน์ จนกว่าปัญญาจะมาอยู่เฉพาะหน้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนมีอาวุธดี แต่เอามาใช้ไม่ได้ทันเหตุการณ์ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ท่อนไม้ดุ้นหนึ่งไม่ได้ ถ้าอยู่ใกล้มือ เอามาใช้ได้ทันเหตุการณ์ ปืนที่ดีที่สุดก็ใช้อะไรไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในเหตุการณ์
เกลอสุดท้ายคือ สมาธิ หมายถึงกำลังใจ กำลังจิต กำลังที่แน่วแน่ ที่มั่นคง ที่ควบกัน เป็นการรวมกำลังจิตทั้งหมดให้มาสู่จุดๆ เดียว เหมือนแก้ว นูนตรงกลาง รวมแสงแดดให้มาตรงจุดกลางจนลุกเป็นไฟขึ้นมาเพราะรวมแสงทั้งหมด แสงแดดมันถูกรวมเข้ามาอยู่เป็นจุดเล็กนิดเดียว มันจึงลุกเป็นไฟได้ เพราะมีความร้อนพอ แต่ถ้าไม่ได้รวม ก็ร้อนไม่พอ กำลังจิตก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้รวมกัน ก็ไม่มีแรงพอ
สมาธิเหมือนกับน้ำหนัก ปัญญาเหมือนกับความคม แม้มันจะมีความคม คมยิ่งกว่ามีดโกน แต่มันไม่มีน้ำหนักสักนิดหนึ่ง มันก็ตัดไม่ได้ แม้มันจะมีความคม มันก็ต้องมีน้ำหนักที่จะกดลงไป น้ำหนักมากเท่าไร มันก็ตัดได้มากเท่านั้น มันต้องประกอบกันอยู่ด้วยของ 2 อย่าง คือ ด้วยความคมและน้ำหนัก
ท่านพุทธทาสยังได้สรุปว่า มีธรรมะ 4 เกลอเหมือนกับมีเพื่อนประเสริฐวิเศษ 4 คนคอยพิทักษ์รักษา คุ้มครองป้องกัน สนับสนุนช่วยเหลือร่วมมือ
คนเราจะทำอะไรสติต้องมาก่อน ระลึกได้ว่ามันเป็นเรื่องอะไร มีปัญญาอย่างไร ควรทำอย่างไร ระลึกกันมาให้มันทั่วถึง เอาปัญญามาเผชิญ หน้ากับเหตุการณ์นั้นๆ ทำหน้าที่เป็นสัมปชัญญะ เหมือนกับถืออาวุธคุมเชิงอยู่ แล้วก็มีสมาธิเพิ่มกำลังให้แก่การตัดปัญหา ตัดกิเลส
ปีใหม่นี้ ลองหาเพื่อนชีวิตที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเรา แค่มองตัวเองให้ถี่ถ้วน อยู่กับตัวเองให้มาก แค่นั้นเองครับ
การดำเนินชีวิตเหมือนกับการเรียนรู้ชีวิตที่เป็นบทเรียนไม่รู้จบ แต่ละวันมีสมการชีวิตเกิดขึ้นให้เราแก้แตกต่างกันไป บางโจทย์เราสามารถ ใช้ประสบการณ์เป็นตัวช่วยสอน แต่บางโจทย์มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลายคนเหนื่อยล้ากับบทเรียนชีวิตที่วิ่งเข้ามาแบบไม่เคยซ้ำเรื่องราว แต่หลายคนกลับสนุกสนานกับบทเรียนเรื่องเดียวกัน
เพราะอะไร???
คำตอบของหลายคนอยู่ได้และอยู่ไม่ได้เพราะคนๆ หนึ่ง แต่คนคนนั้นจะอยู่กับเราตลอดไปหรือ นั่นคือคำถาม
วันหนึ่งผมได้รับคำตอบจากหนังสือ 'เพื่อน ประโยชน์จากการน้อมรับพระธรรมนำชีวิต' ของท่านพุทธทาสภิกขุ
ท่านพุทธทาสสอนว่า เพื่อนเกลอของชีวิตที่จะอยู่กับเรา ไปกับเราทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่ามีความลำบากยากแค้นอะไรเกิดขึ้น ไม่เคยทิ้ง คือ ธรรมะ 4 เกลอ ที่ประกอบไปด้วย สติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ
สติ คือ ความระลึกที่เร็วเหมือนลูกศร ระลึกได้ทันแก่เวลา ถ้าระลึกอยู่ ตั้งชั่วโมงก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องระลึกได้ทันควัน จึงจะเรียกว่า 'สติ' โดยสติมีทั้งแบบสติตามธรรมชาติ ที่สุนัขและแมวก็มี และสติที่ฝึกเพิ่มได้ที่มนุษย์สามารถฝึกได้ด้วยวิธีอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก เป็นสติที่ลึกซึ้ง กว่าธรรมดา จะทำให้เรามีสติทุกอิริยาบถ มีสติรู้จักป้องกัน รู้จักเลือกสรร และที่สำคัญมีสติสำหรับจะตายให้ดีที่สุด
ท่านพุทธทาสบอกว่า ผู้ที่ฝึกสติดีแล้ว เกลอสติจะอยู่กับเราอย่างสมบูรณ์กระทั่งสิ้นชีวิต ไม่หนีหายไปไหน โดยรู้ว่าจะสิ้นชีวิตลงในการหายใจครั้งนี้หรือครั้งไหน
ปัญญา คือ ความรู้อย่างทั่วถึงเฉพาะที่ควรจะรู้ ที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ไม่ต้องเพราะไม่มีประโยชน์ เรื่องที่ควรรู้ต้องศึกษาอย่างดีที่สุด รอบคอบสุขุมที่สุด ลึกซึ้งที่สุด รู้ว่าเรามีปัญหาอย่างไรจะต้องแก้ปัญหาด้วยความรู้อะไร
ท่านพุทธทาสเปรียบเทียบปัญญาในตัวเราเป็นเกลอที่สอง ที่ใครมีแล้วจะอยู่เป็นเพื่อนชีวิตเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่ พร้อมอธิบายว่า การหาความรู้ไม่ต้องวิ่งหาไปไกล
คนคนหนึ่งเขาต้องการจะพบที่สุดในโลก เที่ยววิ่งหาโลกว่าเป็นเทวดา เที่ยววิ่งหาที่สุดของโลก เทวดาตนนี้เหาะเร็วเหมือนลูกศร ไปสุดจักรวาลข้างโน้น สุดจักรวาลข้างนี้ สุดริมโลกนี่ก็ไม่พบ ไม่พบที่สุดของโลก พระพุทธเจ้าบอกว่า มันอยู่ในร่างกายที่ยาวเพียงวาหนึ่งเท่านั้นแหละ แกไปวิ่งเสียไม่รู้จักเท่าไรต่อเท่าไร
ท่านพุทธทาสยังขยายความอีกว่า การดูตัวเอง เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง จัดการกับตัวเองอย่างถูกต้อง ถือว่าได้ปัญญามหาศาล ให้เห็นทุกอย่างจากภายในของตน เพราะถ้ารู้เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์แล้ว ก็คือรู้หมด รู้สิ้น รู้จบ ไม่มีอะไรเหลือสิ่งที่ยังไม่รู้
เกลอที่สามคือ สัมปชัญญะ เป็นปัญญาที่เข้าประจำการ ที่ใช้ควบคู่กับสติ หมายถึง ทั่วถึง พร้อมหน้า ปัญญาอย่างครบถ้วนที่มีอยู่อย่างพร้อมหน้า
ท่านพุทธทาสบอกว่า ถึงแม้มีปัญญา แต่ถ้าอยู่ที่อื่น อยู่ก้นบึ้งของจิตใจ ที่ไหนก็ไม่รู้ ก็ไม่มีประโยชน์ จนกว่าปัญญาจะมาอยู่เฉพาะหน้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนมีอาวุธดี แต่เอามาใช้ไม่ได้ทันเหตุการณ์ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ท่อนไม้ดุ้นหนึ่งไม่ได้ ถ้าอยู่ใกล้มือ เอามาใช้ได้ทันเหตุการณ์ ปืนที่ดีที่สุดก็ใช้อะไรไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในเหตุการณ์
เกลอสุดท้ายคือ สมาธิ หมายถึงกำลังใจ กำลังจิต กำลังที่แน่วแน่ ที่มั่นคง ที่ควบกัน เป็นการรวมกำลังจิตทั้งหมดให้มาสู่จุดๆ เดียว เหมือนแก้ว นูนตรงกลาง รวมแสงแดดให้มาตรงจุดกลางจนลุกเป็นไฟขึ้นมาเพราะรวมแสงทั้งหมด แสงแดดมันถูกรวมเข้ามาอยู่เป็นจุดเล็กนิดเดียว มันจึงลุกเป็นไฟได้ เพราะมีความร้อนพอ แต่ถ้าไม่ได้รวม ก็ร้อนไม่พอ กำลังจิตก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้รวมกัน ก็ไม่มีแรงพอ
สมาธิเหมือนกับน้ำหนัก ปัญญาเหมือนกับความคม แม้มันจะมีความคม คมยิ่งกว่ามีดโกน แต่มันไม่มีน้ำหนักสักนิดหนึ่ง มันก็ตัดไม่ได้ แม้มันจะมีความคม มันก็ต้องมีน้ำหนักที่จะกดลงไป น้ำหนักมากเท่าไร มันก็ตัดได้มากเท่านั้น มันต้องประกอบกันอยู่ด้วยของ 2 อย่าง คือ ด้วยความคมและน้ำหนัก
ท่านพุทธทาสยังได้สรุปว่า มีธรรมะ 4 เกลอเหมือนกับมีเพื่อนประเสริฐวิเศษ 4 คนคอยพิทักษ์รักษา คุ้มครองป้องกัน สนับสนุนช่วยเหลือร่วมมือ
คนเราจะทำอะไรสติต้องมาก่อน ระลึกได้ว่ามันเป็นเรื่องอะไร มีปัญญาอย่างไร ควรทำอย่างไร ระลึกกันมาให้มันทั่วถึง เอาปัญญามาเผชิญ หน้ากับเหตุการณ์นั้นๆ ทำหน้าที่เป็นสัมปชัญญะ เหมือนกับถืออาวุธคุมเชิงอยู่ แล้วก็มีสมาธิเพิ่มกำลังให้แก่การตัดปัญหา ตัดกิเลส
ปีใหม่นี้ ลองหาเพื่อนชีวิตที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเรา แค่มองตัวเองให้ถี่ถ้วน อยู่กับตัวเองให้มาก แค่นั้นเองครับ