xs
xsm
sm
md
lg

คนรู้ใจ:จะปรับใจอย่างไร เมื่อสังเกตเห็นว่า แม้ในความเงียบ จิตก็ยังเคลื่อนไหวหวาดหวั่น เพราะกลัวความจริง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ความตอนจากสัปดาห์ที่แล้ว 'ความจริงที่เราไม่อยากให้เป็นจริง' คือคำตอบจากคำถาม ของชีวิตที่ว่า 'อะไรคือสิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุด' ผมเชื่อว่าหลายคนอาจคิดต่างจากผม แต่มั่นใจว่าในเสี้ยวหนึ่งของความต่าง ต้องมีแก่นของความเหมือนอยู่ครับ

เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้ เพราะมนุษย์เราพยายามดิ้นรนหลีกหนีความจริง

พระพุทธศาสนาท่านสอนให้เผชิญหน้ากับความจริง ให้ยอมรับความจริง ในที่สุดแล้วคนเราต้องอยู่กับความจริง หนีความจริงไม่พ้น ถ้าเราทำจิตใจ ของเราให้อยู่กับความจริง ได้ตลอดเวลาแล้ว ความจริงที่เกิดขึ้นนั้น จะไม่กระทบกระเทือนจิตใจของเรา แต่ถ้าเราไม่ยอมรับมัน ความจริงก็ต้องเกิดอยู่ดี และเพราะเราไม่ยอมรับมัน มันก็เลยกระทบกระเทือนตัวเรามาก ความทุกข์ ก็เกิดขึ้นมามาก เรียกว่าเป็นทุกข์สองชั้น คือทุกข์เพราะความดับที่ต้องเจอะต้องเจอ เป็นความจริงตามธรรมดา เมื่อถึงเวลานั้นแล้วยังทุกข์ ด้วยหวาดผวาไหวหวั่นตลอดเวลา ก่อนที่ความจริงนั้นจะมาถึงอีกด้วย

เราเคยสังเกตตัวเอง หรือไม่ว่า ในความเงียบต่างมีความเคลื่อนไหว ของการดิ้นรนที่จะเป็นผู้ชนะ พร้อมกับความเคลื่อนไหวของอารมณ์ ในความ หวาดหวั่น ที่จิตใต้สำนึกพยายามร้องตะโกนก้องถึงความเป็นจริง ความรู้สึก เวลานั้น ช่างเต็มไปด้วยทุกข์ของความหวาดกลัวความจริง

พระพุทธศาสนาจึงชี้นำ ให้รู้เข้าใจความจริง เมื่อรู้เข้าใจความจริงแล้ว ในที่สุดการรู้ความจริงจะทำให้เรามีจิตใจที่สบาย มีจิตใจที่เบิกบานผ่องใส แม้ กระทั่งตลอดเวลาทีเดียว เพราะความจริงก็คือสัจจะ พระพุทธเจ้าบอกว่าในที่สุดแล้ว ไม่มีรสอะไร เลิศกว่ารสสัจจะ ความจริงเป็นรสที่เลิศที่สุด เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าถึงความจริงแล้ว จะมีจิตใจ ที่เบิกบานสดใสด้วยความสุขที่บริสุทธิ์ เหมือนอย่างน้ำที่มีรสจืดสนิท

พระพรหมคุณาภรณ์กล่าวไว้ใน 'คติธรรมแห่งชีวิต' ว่า สำหรับคนที่เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ ที่โน้มเข้ามาสู่ชีวิตของตนเองได้แล้ว เขาจะไปปฏิบัติตามธรรมชาติ ด้วยความรู้ในธรรมชาติ หรือเอาความรู้ในธรรมชาติมา ประดิษฐ์สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในขอบเขตที่เหมาะสม เพราะเขารู้ว่าชีวิตของคนเรา คืออะไร ความสุข ความทุกข์ และประโยชน์ที่แท้จริง คืออะไร อยู่ตรงไหน แค่ไหน ชีวิตของเราจะมีความพอดี รู้ว่าแค่ไหนชีวิตของคนเราจะอยู่เป็นสุขได้ ไม่ใช่ฝากชีวิตไว้กับสิ่งภายนอกโดยสิ้นเชิงแต่ทุกวันนี้ มนุษย์เรามักฝากชีวิตไว้ กับสิ่งเร้าภายนอก ที่เราล้วนแต่สมมติขึ้นมาตามใจอยากให้เป็น

พระพรหมคุณาภรณ์บอกว่า 'เราสุขแบบเคลือบทาข้างนอก หรือสุขด้วย สดใสข้างใน' หากเป็นคนที่รู้เข้าใจความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย จนกระทั่งหยั่งรู้ถึงชีวิตสังขาร ตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะรู้ความพอดีว่า ชีวิตของเราจะอยู่อย่างมีความสุขนั้น อยู่ด้วยอะไรกันแน่ พอมีปัญญารู้ความจริง และอยู่อย่างรู้เท่าทันแล้ว เพียงว่าชีวิตของตนเองดำรงอยู่ แม้ไม่มีสิ่งภายนอกมาช่วยเสริมปรุงแต่ง คนอย่างนี้ก็มีความสุขได้ มีความรู้สุขที่เป็นอิสระ ที่เป็นไทแก่ตนเอง

ในทางตรงกันข้าม สำหรับคนที่ขาดปัญญารู้เท่าทัน จับแก่นของความสุขไม่ได้ เมื่อไม่สามารถอยู่เป็นสุขได้โดยลำพังจิตใจ และปัญญาของตนเอง ก็ต้องฝากความสุขของตนไว้กับสิ่งภายนอก คนที่ขาดปัญญารู้เท่าทันและขาดความสุขที่เป็นแกนภายในนี้ การได้สิ่งอำนวยสุขเพิ่มขึ้น ก็คือการขยายขอบเขตของความเป็นทาส และสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานั้น จึงไม่ใช่เสริมสุขเท่านั้น แต่เสริมทุกข์ด้วย

พุทธศาสนายังบอกอีกว่า ถึงแม้อะไรจะเปลี่ยนแปลงผันผวนไป ก็ต้อง รักษาสมบัติแท้ของเราไว้ให้ได้ ซึ่งสมบัติแท้คือ การรักษาจิตมีความสว่าง มี ความเบิกบาน ไม่วุ่นวาย ไม่สับสน ถ้าจิตใจวิ่งแล่น อยากให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ไม่ยอมเป็น ก็วุ่นวายสับสน เกิดความดิ้นรนมาก ความบีบคั้นก็เกิดขึ้นมาก

แต่ถ้ามีความสว่างด้วยความรู้เท่าทัน จิตจะมีความโปร่งโล่ง มีความเบา ไม่วุ่นวาย ไม่ดิ้นรนกระทบบีบคั้น จิตใจก็จะมีความสุข จิตใจที่มีลักษณะอย่างนี้ เป็นจิตใจที่ดีงามมีความสุขจริงแท้ เมือ่ใจเป็นสุขแล้ว ก็อยู่ตัว ไม่ดิ้นรน ไม่ซัดส่าย เป็นจิตใจที่มั่นคง ไม่มีอะไรรบกวน เรียกว่า เป็นสมาธิ

สภาพจิตใจอย่างนี้ เป็นจิตใจที่ดีงาม พระพุทธเจ้าบอกว่า พุทธศาสนิกชน ควรจะสร้างให้เกิดขึ้นเสมอๆ ให้เรามองสิ่งเหล่านี้ หรือสภาพจิตนี้ ว่าเป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่า พยายามทำให้มีและรักษาไว้ในจิตใจของเรา อย่าให้ใครมาทำลายได้

ดูเหมือนว่ามนุษย์เรามักรู้เท่าทันคนอื่น ยกเว้นรู้เท่าทันจิตใจตนเอง บ่อย ครั้งจิตเราเองเป็นผู้ทำลายตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่นคนไกลครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น