xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : ตอนที่ ๑๓ กลุ่มพระอัครสาวก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กลุ่มพระอัครสาวก คือกลุ่มของพระที่เคยเป็นศิษย์ของสัญชัยปริพาชก มีจำนวน ๒๕๒ รูป แต่ที่ปรากฏ ชื่อและได้รับยกย่องว่าเป็นอัครสาวก (สาวกผู้เลิศ) มี ๒ รูป คือ พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ ฉะนั้น ในที่นี้จะกล่าวถึง แต่เฉพาะเรื่องราวของพระสาวก ๒ รูปนี้เท่านั้น แต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้

สถานะเดิม
พระอัครสาวกเกิดในวรรณะพราหมณ์ พระสารีบุตร มีนามเดิมว่า อุปติสสะ เกิดที่หมู่บ้านอุปติสสะ เมืองนาลันทา บิดาเป็น นายบ้านมีนามว่า ‘วังคันตะ’ ส่วนมารดามีนามว่า ‘สารี’ ฝ่ายพระมหาโมคคัลลานะ มีนามเดิมว่า ‘โกลิตะ’ เกิดที่หมู่บ้านโกลิตะ เมืองนาลันทา บิดาเป็นนายบ้าน ส่วนมารดา มีนามว่า ‘โมคคัลลี’ เมื่อเจริญวัยแล้วทั้ง ๒ ท่านได้ศึกษาจบศิลปวิทยา

ชีวิตฆราวาส
โดยเหตุที่อุปติสสะและโกลิตะเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ซึ่งตระกูลของทั้ง ๒ ผูกสัมพันธ์กันมานานถึง ๗ ชั่วอายุคน ฉะนั้นจึงได้รับการเลี้ยงดูคล้ายๆกัน ครั้นเติบโตเป็นหนุ่มบิดาของทั้ง ๒ ได้จัดหาเด็กหนุ่มวัยเดียวกันมาเป็นบริวารคนละ ๕๐๐ เวลาจะไปเล่นน้ำในแม่น้ำหรือจะไปหาความสำราญในอุทยาน อุปติสสะจะมีวอทองเป็นพาหนะนั่งไป ส่วนโกลิตะจะมีรถเทียมม้าอาชาไนยเป็นพาหนะพาไป โดยมีบริวารห้อมล้อมคนละ ๕๐๐ ดังกล่าวแล้ว

การออกบวชและการบรรลุโสดาปัตติผล
อุปติสสะและโกลิตะออกบวชหลังจาก ชมมหรสพบนยอดเขาแล้ว เรื่องมีว่า ในเมืองราชคฤห์มีงานประจำปีอยู่อย่างหนึ่ง คือการ แสดงมหรสพบนยอดเขา อันได้แก่การเล่น ละครรวมทั้งการแสดงอื่นๆ แต่ละปีที่ผ่าน มามีผู้คนทั้งในเมืองราชคฤห์เองและจากต่างเมือง เดินทางไปชมกันเป็นจำนวนมาก อุปติสสะและโกลิตะก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย ในปีนี้ก็เช่นกัน อุปติสสะและโกลิตะได้ไปชมมหรสพด้วยกัน โดยบริวารได้จัดให้นั่งอยู่ด้วยกันเหมือนเช่นทุกปี
ตามปกติในปีก่อนๆ ขณะนั่งดูมหรสพ อยู่นั้น อุปติสสะและโกลิตะก็เหมือนกับคนดูอื่นๆ กล่าวคือ มีความรู้สึกคล้อยตามบทบาทของตัวละคร ถึงตอนหัวเราะสนุกสนาน ก็หัวเราะสนุกสนาน ถึงตอนหดหู่ก็แสดงความรู้สึกหดหู่ ถึงตอนให้รางวัลก็จะให้รางวัล มาในปีนี้ทั้ง ๒ กลับมีกิริยาอาการและความรู้สึกไม่เหมือนเก่า ถึงตอนหัวเราะสนุกสนานก็ไม่หัวเราะสนุกสนาน ถึงตอนเศร้าโศกก็ไม่แสดงอารมณ์เศร้าโศก ถึงตอนจะให้รางวัลก็ไม่ให้รางวัล ตรงกันข้าม ทั้ง ๒ กลับแสดงอาการเฉยชา
ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ตัวละครที่กำลังแสดงอยู่นี้
อยู่ได้ไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ต้องตายไปแล้ว
มีตัวละครใหม่มาแสดงแทน เราเองก็มาหลงดูอยู่ทำไม
ไฉนจึงไม่แสวงหาความหลุดพ้น

เมื่อต่างฝ่ายต่างคิดตรงกันอย่างนี้ในที่สุด โกลิตะได้ถามอุปติสสะซึ่งนั่งนิ่งอยู่ อุปติสสะตอบว่า
“เพื่อน เหตุที่ข้าพเจ้านั่งนิ่งก็เพราะมัวคิดอยู่ว่า เรามาดูละครที่ไร้สาระอยู่ทำไม”
โกลิตะรู้สึกพอใจในคำตอบของอุปติสสะเป็นอย่างมากเพราะหากจะให้ตนเองตอบก็จะต้องตอบออกมาในลักษณะนี้ ความเบื่อหน่ายในการดูละครส่งผลให้เกิด ความเบื่อหน่ายในเพศฆราวาสติดตามมา ดังนั้นเมื่อละครเลิกแล้วอุปติสสะและโกลิตะจึงพร้อมด้วยบริวารคนละ ๒๕๐ ชวนกันออกบวชเป็นปริพาชกในสำนักของสัญชัยปริพาชก ซึ่งตั้งสำนักอยู่ในเมืองราชคฤห์ และกำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง
ปริพาชกอุปติสสะและปริพาชกโกลิตะเป็นคนฉลาด ศึกษาคำสอนของสัญชัยปริพาชกอยู่ไม่นานก็เจนจบ แต่ก็พบว่ายังไม่ใช่ คำสอนที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ ทั้ง ๒ จึงชวน กันจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อพบปะสนทนากับนักบวชที่ทรงความรู้ อันจะทำให้เขาได้พ้นความทุกข์อย่างที่ต้องการ แต่แล้วก็ผิดหวัง เพราะสนทนากันแล้ว นักบวชเหล่านั้นก็ไม่สามารถชี้ทางแห่งความพ้นทุกข์ให้ได้ เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ปริพาชกหนุ่มทั้ง ๒ จึงหันหน้าเข้าปรึกษากัน ในที่สุดก็ตกลงกันว่า
“เรา ๒ คน หากใครได้บรรลุอมตธรรมก่อน จงบอกกันด้วย”
ช่วงเวลาที่อุปติสสะและโกลิตะออกไป บวชเป็นปริพาชก และกำลังแสวงหาโมกขธรรมอยู่นั้น เป็นช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณและทรง สั่งสอนธรรมแล้วได้ ๑ พรรษา พระองค์ทรงมีพระสาวกอยู่ ๖๐ รูป ทั้งหมดล้วนสำเร็จพระอรหันต์ ซึ่งขณะนั้นพระองค์ทรง ส่งพระอรหันตสาวกทั้ง ๖๐ รูปนั้นออกไปประกาศพระศาสนาตามเมืองต่างๆ และบรรดาพระอรหันตสาวกเหล่านั้นมีพระอัสสชิรวมอยู่ด้วย
พระอัสสชิเป็นพระอรหันตสาวกที่อยู่ในกลุ่มพระปัญจวัคคีย์ เช้าวันหนึ่งท่านเข้า ไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ ระหว่างทางได้สวนทางกับปริพาชกอุปติสสะซึ่งกำลังเดินกลับสำนัก ทันทีที่เห็นพระเถระ ปริพาชกอุปติสสะก็เลื่อมใส เพราะพระเถระเดิน ด้วยอาการสำรวมเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง
“นักบวชแบบนี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน” ปริพาชกอุปติสสะบอกตัวเอง“คงจะเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ที่เขาว่ามีอยู่ในโลกนี้”
ปริพาชกอุปติสสะตัดสินใจจะเข้าไปสนทนาด้วยจึงเดินตามไปห่างๆ ครั้นเห็นพระเถระแสดงท่าทีจะนั่งฉันอาหารจึงรีบเข้าไปแสดงความเอื้อเฟื้อ ด้วยการตั้งตั่งของตนที่นำติดตัวมาด้วยถวาย ขณะที่พระเถระกำลังฉันอาหารอยู่นั้นก็นั่งอยู่ไม่ไกล เพื่อคอยดูว่าท่านต้องการอะไร และเมื่อพระเถระฉันเสร็จแล้วก็นำคณโฑน้ำดื่มเข้าไปถวายให้ท่านได้ฉันและใช้ จากนั้นจึง ได้นั่งรอ ครั้นเห็นว่าพระเถระพร้อมจะสนทนาด้วยแล้วจึงเข้าไปใกล้ๆ แล้วเริ่มสนทนา
ปริพาชกอุปติสะ : ผู้มีอายุ ท่านมีอินทรีย์ผ่องใส ผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเชิดชูใคร(เป็นศาสดา) ใครเป็นศาสดา ของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร
พระอัสสชิ : ผู้มีอายุ มีพระสมณะผู้ยิ่งใหญ่อยู่พระองค์หนึ่ง พระองค์เป็นชาวศากยะ ออกบวชจากตระกูลกษัตริย์อันสูงส่ง อาตมาออกบวชเชิดชูพระสมณะผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นั้น(เป็นศาสดา) พระองค์ทรงเป็นพระศาสดาของอาตมา อาตมาชอบใจธรรมของพระองค์
ปริพาชกอุปติสสะ : พระศาสดาของท่านมีปกติตรัสสอนอย่างไร
พระอัสสชิ : ผู้มีอายุ อาตมาเป็นพระบวชใหม่ เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยของพระศาสดา ได้ไม่นาน อาตมาจึงไม่สามารถพอที่จะบอก ถึงคำสอนของพระศาสดาโดยพิสดารได้
ปริพาชกอุปติสสะ : ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าชื่ออุปติสสะ ขอท่านว่าไปตามเท่าที่สามารถ จะน้อยหรือมากไม่เป็นไร การทำความเข้า ใจคำสอนเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเอง
พระอัสสชิ เมื่อทำให้ปริพาชกอุปติสสะเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าได้แล้ว จึงกล่าวธรรมความว่า
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นไว้
และตรัสถึงความดับ(เหตุ)ไว้ด้วย
พระสมณะผู้ยิ่งใหญ่ มีปกติตรัสอย่างนี้

หลังจากพระอัสสชิกล่าวจบ ปริพาชกอุปติสสะเกิดความรู้แจ้งว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาแล้ว มีอันต้องดับไปเป็นธรรมดา” แล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล ณ ที่นั้นเอง
ครั้นเป็นพระโสดาบันแล้ว ปริพาชกอุปติสสะก็กำหนดไว้ว่า คุณวิเศษชั้นสูงกว่า นี้ยังมีอยู่อีก ในขณะเดียวกันจิตก็น้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์ของตนเรียกว่า ‘พระสมณะผู้ยิ่งใหญ่’ และอยากเดินทางไปเฝ้า
“ข้าแต่อาจารย์’ ปริพาชกอุปติสสะเรียน ถาม ‘บัดนี้พระศาสดาของเราประทับอยู่ที่ไหน”
“ที่เวฬุวัน”
พระอัสสชิตอบ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เวฬุวัน’ ก็ระลึกได้ว่าเป็นป่าไผ่ของพระเจ้าพิมพิสารที่พระองค์เคยใช้เป็นอุทยาน ซึ่งมีสภาพเป็นป่าร่มรื่น เหมาะสมเป็นที่อยู่ของผู้สงบ
“ขอนิมนต์พระคุณเจ้าล่วงหน้าไปก่อน เถิด” ปริพาชกอุปติสสะแจ้งแก่พระอัสสชิ “ข้าพเจ้าจะตามไปเฝ้าพระศาสดาทีหลัง”
ครั้นพระอัสสชิจากไปแล้ว ปริพาชกอุปติสสะก็รีบเดินทางไปหาปริพาชกโกลิตะผู้เป็นเพื่อน ท่าทางของปริพาชกอุปติสสะที่ กำลังเดินมา ซึ่งปริพาชกโกลิตะเห็นแต่ไกล ทำให้มั่นใจว่า วันนี้เพื่อนจะต้องมีข่าวดีมา บอก และยิ่งเมื่อปริพาชกอุปติสสะเข้ามาใกล้ สีหน้าและแววตาที่เอิบอิ่มด้วยปีติ ก็ยิ่งทำให้ปริพาชกโกลิตะเพิ่มความเชื่อมั่นขึ้นอีกว่า ข่าวดีนั้นจะต้องเป็นข่าวดีที่เกี่ยวกับการบรรลุธรรมอย่างที่ตกลงกันไว้อย่าง แน่นอน
“อุปติสสะ” ปริพาชกโกลิตะทักขึ้นก่อน “ท่านได้บรรลุอมตธรรมแล้วหรือ”
“ใช่...โกลิตะ” ปริพาชกอุปติสสะตอบรับ “ข้าพเจ้าได้บรรลุอมตธรรมแล้ว”
จากนั้น ปริพาชกอุปติสสะก็ได้บอกเนื้อ ความของอมตธรรมที่ตนได้บรรลุให้ปริพาชกโกลิตะฟัง ซึ่งเป็นอย่างเดียวกับที่พระอัสสชิบอกตน เนื้อความของอมตธรรมนั้นกินใจจนทำให้ปริพาชกโกลิตะกำหนดได้ว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาแล้วมีอันต้องดับไปเป็นธรรมดา” บัดนี้ปริพาชกโกลิตะได้รู้แจ้งเช่นเดียวกับปริพาชกอุปติสสะได้รู้แจ้งแล้ว ปริพาชกหนุ่มทั้ง ๒ ได้สำเร็จเป็น พระโสดาบันด้วยกัน
(อ่านต่อฉบับหน้า)
กำลังโหลดความคิดเห็น