พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของพราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นเป็นอย่างดี ทรงหวังว่าจะเปลื้องความสงสัยของพวกเขา จึงหันมาสนทนากับพระอุรุเวลกัสสปะ
พระพุทธเจ้า : กัสสปะ เธออยู่ในอุรุเวลเสนานิคมมา นาน เคยเป็นอาจารย์สั่งสอนชฎิลให้บำเพ็ญพรตจนร่างกายซูบผอม แต่เธอมาได้เห็นอะไรจึงยอมเลิกบูชาไฟเสียเล่า
พระอุรุเวลกัสสปะ : การบูชายัญ กล่าวยกย่องรูป เสียง กลิ่น และรสที่น่าปรารถนา และกล่าวยกย่องสตรีทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้ารู้ว่านั่นเป็นมลทิน เพราะเหตุนั้นจึงไม่ยินดีในการเซ่นสรวงบูชา
พระพุทธเจ้า : กัสสปะ ใจของเธอไม่ยินดีแล้วในอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส แล้ว บัดนี้ใจของเธอยินดีในสิ่งใดเล่า ยินดีในเทวโลกหรือมนุษยโลก
พระอุรุเวลกัสสปะ : ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นทางอันสงบ ไม่มีการยึดถือ ไม่มีกังวล ไม่ติดอยู่ในกามภพ ไม่ผันแปร ไม่ใช่ธรรมที่ผู้อื่นแนะให้บรรลุ เพราะฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงไม่ยินดีในการเซ่นสรวงบูชา
อุรุเวลกัสสปะ เมื่อกราบทูลแล้วก็ลุกขึ้นไปซบศีรษะอยู่ แทบพระบาทของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระบรมศาสดา พระองค์เป็นพระศาสดาของข้า พระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นพระสาวก”
จากกิริยาอาการและคำพูดของพระอุรุเวลกัสสปะ ส่งผลให้พราหมณ์และคหบดีทั้ง ๑๒ นหุตนั้นเข้าใจได้ถูก ต้องว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดาของพระอุรุเวลกัสสปะซึ่งตนเคยเคารพนับถือ จึงคลายความสงสัยและเพิ่มพูนศรัทธายิ่งขึ้นในพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า บัดนี้พราหมณ์และและคหบดีเหล่านั้นมีจิตอ่อนโยนสมควรที่จะฟังพระธรรมเทศนาได้แล้ว จึงทรง แสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ให้ฟัง
ผลจากการที่ได้ฟังพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมด้วยพราหมณ์และคหบดี ๑๑ นหุตได้บรรลุโสดาปัตติผล ส่วนพราหม ณ์และคหบดีที่เหลือ ๑ นหุต แม้จะไม่ได้บรรลุโสดาปัตติผลแต่ก็ได้ศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ
การที่พราหมณ์และคหบดี ๑๒ นหุตได้บรรลุโสดาปัตติผลและได้ศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยนั้น ถือได้ว่า พระอุรุเวลกัสสปะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยพระพุทธเจ้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งนั้น
ส่วนพระนทีกัสสปะและพระคยากัสสปะ แม้จะไม่มีบันทึกเกี่ยวกับผลงานของท่านไว้ แต่ก็มั่นใจได้ว่าท่านจะต้องเป็นกำลังสำ คัญในการช่วยพระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน
อดีตชาติ-เอตทัคคะ
บรรดาพระชฎิล ๓ พี่น้องมีเพียงพระอุรุเวลกัสสปะรูปเดียวเท่านั้นที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งท่านไว้ตามความสามารถในชาติ ปัจจุบัน และตามที่ท่านตั้งจิตปรารถนาไว้ในอดีตชาติ ส่วนพระนทีกัสสปะและพระคยากัสสปะปรารถนาแต่ให้ได้บรรลุอรหัตผลเท่านั้น แต่ไม่ได้ปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะไว้
พระอุรุเวลกัสสปะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาว เมืองหง สวดี วันหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับชาวเมือง เพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งเอต ทัคคะด้านมีบริวารมาก แล้วเกิดศรัทธา ปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูความเป็นไปได้ในอนาคตของท่านด้วยพระญาณแล้วทรงเห็นว่าความปราถนาของท่านสำเร็จได้แน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้บรรลุอรหัตผลและได้รับตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีบริวารมาก”
ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้ว เกิดปีติ โสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าผุสสะ
ครั้งนั้น พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ และพระคยากัสสปะ ได้เกิดเป็นพระภาดา(น้องชาย) ต่างพระมารดาของพระพุทธเจ้าผุสสะ คราวหนึ่งเกิดจลาจลที่ชาย แดน พระเจ้ามหินทราช พระราชบิดาทรงส่งพระราชโอรส ทั้ง ๓ ไปปรา บจลาจล เมื่อพระราชโอรสทรงปราบจลาจล ได้แล้วเสด็จกลับมา พระราชบิดาพระราชทานพรให้ได้โอกาสถวายการบำรุงพระ พุทธเจ้าเป็นเวลา ๓ เดือน
พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์ทรงดีพระทัยมาก ทรงสมาทานศีล ๑๐ และทรงรักษามิให้ด่างพร้อยตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ครั้นถึงวันออกพรรษาอันเป็นวันสุดท้ายที่ได้ถวายการบำรุงพระพุทธเจ้าและพระสาวก พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์ทรงบูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวก เป็นการใหญ่ด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้ง ๓ พระองค์ยังทรงทำบุญ อื่นๆ สนับสนุนอีกตลอดพระชนมชีพ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านและน้องชาย ทั้ง ๒ ได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์เมืองพาราณสี แคว้นกาสี และเป็นพี่น้องกันตามลำดับ
ต่อมาเมื่อออกบวชทั้ง ๓ รูปก็ได้สมกับที่ปรารถนาไว้ แต่อดีตชาติ นั่นคือ พระอุรุเวลกัสสปะนอกจากได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ยังได้รับตำแหน่งเอตทัคคะทางด้านมีบริวาร มากอีกด้วย ส่วนพระนทีกัสสปะและพระคยากัสสปะก็ได้บรรลุอรหัตผล
พระชฎิล ๓ พี่น้องนี้ได้บรรลุอรหัตผลพร้อมกัน
วาจานุสรณ์
พระอุรุเวลกัสสปะ เกิดปีติที่ได้บวชในพระพุทธศาสนา ท่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกไว้ว่า
ตลอดเวลาที่เรายังไม่ได้เห็นปาฏิหาริย์
ของพระพุทธเจ้าโคดมผู้เรืองยศนั้น
เราถูกความริษยาและความถือตัว
ล่อลวงใจให้ใหลหลงจนไม่ยอมนอบน้อมใคร
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถีของนรชน
ทรงทราบความคิดของเรา จึงทรงตักเตือน
จนเราเกิดความสลดใจ อัศจรรย์ใจ และขนลุกชูชัน
เมื่อก่อนที่เป็นชฎิล เรามีลาภสักการะพร้อมพรั่ง
แต่เป็นความสำเร็จเพียงเล็กน้อย
บัดนี้เราสละความสำเร็จนั้น
มาบวชในพระพุทธศาสนาของพระผู้ชนะมาร
เมื่อก่อน เรายินดีการบูชายัญ ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์
ภายหลังจึงถอนราคะ โทสะ และโมหะ ได้แล้ว
บัดนี้ เราระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ มีฤทธิ์
รู้ความคิดของผู้อื่น และมีหูทิพย์
อนึ่ง เราได้รับประโยชน์จากการบวชที่เรามุ่งหวังแล้ว
กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงเราก็ละได้สิ้นแล้ว
พระนทีกัสสปะ เกิดปีติในผลของการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าสู้อุตส่าห์เสด็จมาโปรดถึงแม่น้ำเนรัญชรา ท่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า
พระพุทธเจ้าเสด็จมาแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อช่วยเหลือเรา
เพราะเราได้ฟังธรรมของพระองค์ จึงละความเห็นผิดได้
เมื่อเป็นปุถุชนยังมืดมนอยู่ เราจึงบูชายัญและบูชาไฟ
เพราะสำคัญไปว่าการบูชาเป็นความบริสุทธิ์
เราถือผิดอย่างลึกล้ำ เชื่อถืออย่างหลงใหล ตาบอดไม่รู้แจ้ง
จึงสำคัญความไม่บริสุทธิ์ว่าเป็นความบริสุทธิ์
บัดนี้ ความเห็นผิดเราละได้แล้ว
ภพทั้งปวงเราทำลายได้หมดแล้ว
เราหันมาบูชาไฟ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เราขอนมัสการพระตถาคต
ความลุ่มหลงทั้งปวงเราละได้แล้ว
ความอยากเกิดเราก็ทำลายได้แล้ว
ความเวียนว่ายตายเกิดของเราสิ้นแล้ว
บัดนี้ ไม่มีภพใหม่(การเกิดอีก) สำหรับเรา
พระคยากัสสปะ เกิดปีติในการลอยบาปแบบใหม่ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ ท่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกไว้ว่า
เราลงไปลอยบาปในแม่น้ำคยาที่ท่าคยาผัคคุ
วันละ ๓ ครั้ง คือ เช้า เที่ยง เย็น
ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อก่อนเรามีความเห็นว่า
บาปที่ทำไว้ในชาตินั้นๆ ย่อมถูกลอยไปได้ในแม่น้ำ คยานี้
บัดนี้เราได้ฟังวาจาสุภาษิต ได้ฟังบทธรรมที่มีเหตุผลแล้ว
พิจารณาเห็นความหมายได้ถ่องแท้ตามความเป็นจริง
ด้วยปัญญาอันแยบคาย จึงล้างบาปได้หมด
ไม่มีมลทิน สะอาดหมดจด
เป็นทายาทผู้บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
เป็นบุตรผู้เกิดแต่พระอุระของพระพุทธเจ้า
เราได้ลงสู่กระแสน้ำ คือ มรรคมีองค์ ๘ แล้วลอยบาป ได้หมด
เราได้บรรลุวิชชา ๓ และได้ทำกิจในพระพุทธศาสนาเสร็จสิ้นแล้ว
พระพุทธเจ้า : กัสสปะ เธออยู่ในอุรุเวลเสนานิคมมา นาน เคยเป็นอาจารย์สั่งสอนชฎิลให้บำเพ็ญพรตจนร่างกายซูบผอม แต่เธอมาได้เห็นอะไรจึงยอมเลิกบูชาไฟเสียเล่า
พระอุรุเวลกัสสปะ : การบูชายัญ กล่าวยกย่องรูป เสียง กลิ่น และรสที่น่าปรารถนา และกล่าวยกย่องสตรีทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้ารู้ว่านั่นเป็นมลทิน เพราะเหตุนั้นจึงไม่ยินดีในการเซ่นสรวงบูชา
พระพุทธเจ้า : กัสสปะ ใจของเธอไม่ยินดีแล้วในอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส แล้ว บัดนี้ใจของเธอยินดีในสิ่งใดเล่า ยินดีในเทวโลกหรือมนุษยโลก
พระอุรุเวลกัสสปะ : ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นทางอันสงบ ไม่มีการยึดถือ ไม่มีกังวล ไม่ติดอยู่ในกามภพ ไม่ผันแปร ไม่ใช่ธรรมที่ผู้อื่นแนะให้บรรลุ เพราะฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงไม่ยินดีในการเซ่นสรวงบูชา
อุรุเวลกัสสปะ เมื่อกราบทูลแล้วก็ลุกขึ้นไปซบศีรษะอยู่ แทบพระบาทของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระบรมศาสดา พระองค์เป็นพระศาสดาของข้า พระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นพระสาวก”
จากกิริยาอาการและคำพูดของพระอุรุเวลกัสสปะ ส่งผลให้พราหมณ์และคหบดีทั้ง ๑๒ นหุตนั้นเข้าใจได้ถูก ต้องว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดาของพระอุรุเวลกัสสปะซึ่งตนเคยเคารพนับถือ จึงคลายความสงสัยและเพิ่มพูนศรัทธายิ่งขึ้นในพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า บัดนี้พราหมณ์และและคหบดีเหล่านั้นมีจิตอ่อนโยนสมควรที่จะฟังพระธรรมเทศนาได้แล้ว จึงทรง แสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ให้ฟัง
ผลจากการที่ได้ฟังพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมด้วยพราหมณ์และคหบดี ๑๑ นหุตได้บรรลุโสดาปัตติผล ส่วนพราหม ณ์และคหบดีที่เหลือ ๑ นหุต แม้จะไม่ได้บรรลุโสดาปัตติผลแต่ก็ได้ศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ
การที่พราหมณ์และคหบดี ๑๒ นหุตได้บรรลุโสดาปัตติผลและได้ศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยนั้น ถือได้ว่า พระอุรุเวลกัสสปะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยพระพุทธเจ้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งนั้น
ส่วนพระนทีกัสสปะและพระคยากัสสปะ แม้จะไม่มีบันทึกเกี่ยวกับผลงานของท่านไว้ แต่ก็มั่นใจได้ว่าท่านจะต้องเป็นกำลังสำ คัญในการช่วยพระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน
อดีตชาติ-เอตทัคคะ
บรรดาพระชฎิล ๓ พี่น้องมีเพียงพระอุรุเวลกัสสปะรูปเดียวเท่านั้นที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งท่านไว้ตามความสามารถในชาติ ปัจจุบัน และตามที่ท่านตั้งจิตปรารถนาไว้ในอดีตชาติ ส่วนพระนทีกัสสปะและพระคยากัสสปะปรารถนาแต่ให้ได้บรรลุอรหัตผลเท่านั้น แต่ไม่ได้ปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะไว้
พระอุรุเวลกัสสปะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาว เมืองหง สวดี วันหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับชาวเมือง เพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งเอต ทัคคะด้านมีบริวารมาก แล้วเกิดศรัทธา ปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูความเป็นไปได้ในอนาคตของท่านด้วยพระญาณแล้วทรงเห็นว่าความปราถนาของท่านสำเร็จได้แน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้บรรลุอรหัตผลและได้รับตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีบริวารมาก”
ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้ว เกิดปีติ โสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าผุสสะ
ครั้งนั้น พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ และพระคยากัสสปะ ได้เกิดเป็นพระภาดา(น้องชาย) ต่างพระมารดาของพระพุทธเจ้าผุสสะ คราวหนึ่งเกิดจลาจลที่ชาย แดน พระเจ้ามหินทราช พระราชบิดาทรงส่งพระราชโอรส ทั้ง ๓ ไปปรา บจลาจล เมื่อพระราชโอรสทรงปราบจลาจล ได้แล้วเสด็จกลับมา พระราชบิดาพระราชทานพรให้ได้โอกาสถวายการบำรุงพระ พุทธเจ้าเป็นเวลา ๓ เดือน
พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์ทรงดีพระทัยมาก ทรงสมาทานศีล ๑๐ และทรงรักษามิให้ด่างพร้อยตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ครั้นถึงวันออกพรรษาอันเป็นวันสุดท้ายที่ได้ถวายการบำรุงพระพุทธเจ้าและพระสาวก พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์ทรงบูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวก เป็นการใหญ่ด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้ง ๓ พระองค์ยังทรงทำบุญ อื่นๆ สนับสนุนอีกตลอดพระชนมชีพ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านและน้องชาย ทั้ง ๒ ได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์เมืองพาราณสี แคว้นกาสี และเป็นพี่น้องกันตามลำดับ
ต่อมาเมื่อออกบวชทั้ง ๓ รูปก็ได้สมกับที่ปรารถนาไว้ แต่อดีตชาติ นั่นคือ พระอุรุเวลกัสสปะนอกจากได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ยังได้รับตำแหน่งเอตทัคคะทางด้านมีบริวาร มากอีกด้วย ส่วนพระนทีกัสสปะและพระคยากัสสปะก็ได้บรรลุอรหัตผล
พระชฎิล ๓ พี่น้องนี้ได้บรรลุอรหัตผลพร้อมกัน
วาจานุสรณ์
พระอุรุเวลกัสสปะ เกิดปีติที่ได้บวชในพระพุทธศาสนา ท่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกไว้ว่า
ตลอดเวลาที่เรายังไม่ได้เห็นปาฏิหาริย์
ของพระพุทธเจ้าโคดมผู้เรืองยศนั้น
เราถูกความริษยาและความถือตัว
ล่อลวงใจให้ใหลหลงจนไม่ยอมนอบน้อมใคร
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถีของนรชน
ทรงทราบความคิดของเรา จึงทรงตักเตือน
จนเราเกิดความสลดใจ อัศจรรย์ใจ และขนลุกชูชัน
เมื่อก่อนที่เป็นชฎิล เรามีลาภสักการะพร้อมพรั่ง
แต่เป็นความสำเร็จเพียงเล็กน้อย
บัดนี้เราสละความสำเร็จนั้น
มาบวชในพระพุทธศาสนาของพระผู้ชนะมาร
เมื่อก่อน เรายินดีการบูชายัญ ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์
ภายหลังจึงถอนราคะ โทสะ และโมหะ ได้แล้ว
บัดนี้ เราระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ มีฤทธิ์
รู้ความคิดของผู้อื่น และมีหูทิพย์
อนึ่ง เราได้รับประโยชน์จากการบวชที่เรามุ่งหวังแล้ว
กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงเราก็ละได้สิ้นแล้ว
พระนทีกัสสปะ เกิดปีติในผลของการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าสู้อุตส่าห์เสด็จมาโปรดถึงแม่น้ำเนรัญชรา ท่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า
พระพุทธเจ้าเสด็จมาแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อช่วยเหลือเรา
เพราะเราได้ฟังธรรมของพระองค์ จึงละความเห็นผิดได้
เมื่อเป็นปุถุชนยังมืดมนอยู่ เราจึงบูชายัญและบูชาไฟ
เพราะสำคัญไปว่าการบูชาเป็นความบริสุทธิ์
เราถือผิดอย่างลึกล้ำ เชื่อถืออย่างหลงใหล ตาบอดไม่รู้แจ้ง
จึงสำคัญความไม่บริสุทธิ์ว่าเป็นความบริสุทธิ์
บัดนี้ ความเห็นผิดเราละได้แล้ว
ภพทั้งปวงเราทำลายได้หมดแล้ว
เราหันมาบูชาไฟ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เราขอนมัสการพระตถาคต
ความลุ่มหลงทั้งปวงเราละได้แล้ว
ความอยากเกิดเราก็ทำลายได้แล้ว
ความเวียนว่ายตายเกิดของเราสิ้นแล้ว
บัดนี้ ไม่มีภพใหม่(การเกิดอีก) สำหรับเรา
พระคยากัสสปะ เกิดปีติในการลอยบาปแบบใหม่ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ ท่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกไว้ว่า
เราลงไปลอยบาปในแม่น้ำคยาที่ท่าคยาผัคคุ
วันละ ๓ ครั้ง คือ เช้า เที่ยง เย็น
ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อก่อนเรามีความเห็นว่า
บาปที่ทำไว้ในชาตินั้นๆ ย่อมถูกลอยไปได้ในแม่น้ำ คยานี้
บัดนี้เราได้ฟังวาจาสุภาษิต ได้ฟังบทธรรมที่มีเหตุผลแล้ว
พิจารณาเห็นความหมายได้ถ่องแท้ตามความเป็นจริง
ด้วยปัญญาอันแยบคาย จึงล้างบาปได้หมด
ไม่มีมลทิน สะอาดหมดจด
เป็นทายาทผู้บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
เป็นบุตรผู้เกิดแต่พระอุระของพระพุทธเจ้า
เราได้ลงสู่กระแสน้ำ คือ มรรคมีองค์ ๘ แล้วลอยบาป ได้หมด
เราได้บรรลุวิชชา ๓ และได้ทำกิจในพระพุทธศาสนาเสร็จสิ้นแล้ว