ตอนที่ 88
จะทำสติให้เกิดได้อย่างไร
ถาม จะทำสติให้เกิดได้อย่างไรครับ
ตอบ ทำไม่ได้ เพราะสติจะเกิดหรือไม่เกิดเป็นไปตามที่มโนทวาราวัชชนะจิต/โวฏฐัพพนจิตสั่ง ไม่ใช่ตามที่เราอยากให้เป็น หน้าที่ของผู้ปฏิบัติมีอันเดียวคือหมั่นสังเกตสภาวะรูปนามเข้าไว้ เช่น จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ จิตเผลอก็รู้ จิตเพ่งก็รู้ จิตโกรธก็รู้ จิตรักก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตหดหู่ก็รู้ จิตแสวงหาก็รู้ รูปยืนก็รู้ รูปเดินก็รู้ รูปนั่งก็รู้ รูปนอนก็รู้ หรือกายมีอาการเคลื่อนไหวก็รู้ จิตมีอาการเคลื่อนไหวก็คอยรู้เรื่อยไป หากจิตมีความเข้าใจสภาวธรรมใดชัดเจนแล้ว เมื่อสภาวธรรมนั้นปรากฏ โวฏฐัพพนจิตก็จะเป็นปัจจัยให้สติเกิดโดยไม่ต้องจงใจทำขึ้นมา สติที่เกิดเองนี่แหละเป็นสัมมาสติจริงๆ จิตในขณะนั้นจะโปร่ง เบา เบิกบาน ไร้น้ำหนัก ส่วน "สติ" ที่จงใจสร้างขึ้นมาด้วยอำนาจของตัณหา ไม่ใช่สติจริง จะมีลักษณะแข็งกระด้าง หนักแน่น ใช้ทำวิปัสสนาไม่ได้จริงหรอก
ถาม จะทำให้สติต่อเนื่องได้อย่างไรครับ
ตอบ ใครก็ทำสติให้ต่อเนื่องไม่ได้ แค่ทำสติขณะจิตเดียวยังทำไม่ได้เลย เพราะจิตจะมีสติหรือมีกิเลสก็ด้วยอำนาจของมโนทวาราวัชชน จิต/โวฏฐัพพนจิตเป็นผู้กำหนด และเมื่อสติเกิดแล้ว ถึงอย่างไรก็เกิดได้ในช่วงสั้นๆ ตำราบอกว่าเกิดได้ทีละ 7 ขณะจิตเท่านั้น จะทำให้ ต่อเนื่องยาวนานกว่านั้นไม่ได้เว้นแต่ทำฌานจิต แต่ถ้าคุณฝึกเจริญสติปัฏฐาน จนจิตคุ้นเคยที่จะมีสติแล้ว สติจะเกิดบ่อยๆ ได้ ถ้าสติเกิดได้บ่อยมาก เราจะรู้สึกเหมือนกับว่ามีสติต่อเนื่องได้เหมือนกัน
ถาม ถ้าเช่นนั้นจะพัฒนาจิตได้อย่างไรคะ
ตอบ ไม่ต้องไปคิดพัฒนาจิตหรอก เพราะจิตเป็นของเกิดดับ และไม่ใช่ตัวตนอะไรของเรา สิ่งที่ควรจะทำก็คือ การฝึกใจให้วนเวียนอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศลเสมอๆ ด้วยการคิดในสิ่งที่ดีเช่นอนุสติ 10 ด้วยการพูดในสิ่งที่ดีเช่นกถาวัตถุ 10 ด้วยการทำในสิ่งที่ดีอื่นๆ เช่นการคบกัลยาณมิตร และสิ่งสำคัญที่นักปฏิบัติจะขาดไม่ได้ก็คือ การหมั่นสังเกตและเรียนรู้สภาวธรรมทั้งรูปและนามอยู่เนืองๆ แต่ต้องระวังอย่าเร่งร้อนสังเกตแบบจ้องตาไม่กะพริบ เพราะจะเผลอไปเพ่งแทนการรู้ได้ง่ายๆ
การที่เราน้อมให้จิตไหลอยู่ในกระแสกุศลเนืองๆ จะทำให้โวฏฐัพพนจิตตัดสินให้มหากุศลจิตเกิดบ่อยๆ (ทำนองเดียวกับการที่ปล่อยใจไปในทางที่ชั่วเสมอๆ จนความชั่วกลายเป็นอนุสัยหรือความเคยใจในทางที่ชั่ว ก็จะทำให้โวฏฐัพพนจิตตัดสินให้อกุศลจิตเกิดขึ้นเสมอๆ) ยิ่งถ้าเคยเรียนรู้ เคยสังเกตสภาวธรรมบ่อยๆ มหากุศลจิตที่เกิดก็จะประกอบด้วยปัญญาสามารถรู้รูปนามตรงตามความเป็นจริงได้บ่อยๆ จนเกิดความรู้จริง รู้แจ้ง และรู้ปล่อยวางรูปนามในที่สุด
ถาม ฟังหลวงพ่อพูดแล้วผมชักงงๆ เพราะทำอันนั้นก็ผิด ทำอันนี้ก็ผิด แล้วที่ถูกจะทำได้อย่างไรกัน
ตอบ ที่ถูกทำเอาไม่ได้ เพราะถ้าเมื่อใดคุณพยายามทำ (ปฏิบัติ) ด้วยตัณหา/อุปาทาน คุณก็ก้าวไปสู่ความผิดพลาดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ต้องสนใจว่าทำอย่างไรจึงจะถูก ให้รู้ทันอาการปรากฏทางกาย หรือตามรู้อาการปรากฏทางใจที่มันเที่ยวทำโน่นทำนี่ไว้เถิด แล้วการปฏิบัติจะถูกเองโดยอัตโนมัติ
ถาม ดิฉันฝึกเจริญสติแล้วตัวแข็ง หลังแข็ง คอแข็ง ใจว่างๆ เบลอๆ จนต้องรับประทานยาแก้โรคประสาท รับประทานยาอย่างไรก็ไม่หาย ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขให้ด้วยค่ะ
ตอบ อาการที่คุณกล่าวมานั้นเกิดจากการที่คุณฝึกเพ่ง ฝึกตรึงความรู้สึกไว้ที่กายตลอดเวลาเพราะกลัวจะขาดสติ นั่นไม่ใช่การเจริญสติหรอก เพราะเป็นการทำตามคำสั่งของตัณหาคือความอยากจะปฏิบัติธรรม ตราบใดที่ยังไม่เลิกตรึงความรู้สึกไว้กับกาย อาการของคุณจะไม่หายไป ให้คุณรู้ทันการตรึงความรู้สึกไว้ พอเลิกตรึง อาการทางกายเหล่านั้นก็จะทุเลาไปเอง
ถาม ดิฉันสังเกตเห็นว่า ในเวลาปกติจิตใจก็สบายดี แต่พอเริ่มกำหนดรูปนาม จิตจะหนักแน่นแข็งๆ หาความสบายไม่ได้เลย
ตอบ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะเป็นการปฏิบัติด้วยตัณหา ตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์ มีตัณหาก็ต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา แต่ถ้าเมื่อใดสภาวะรูปนามอันใดปรากฏ คุณรู้ไปตามนั้น จิตของคุณจะไม่แน่น ไม่หนักเลย แต่จะกลับรู้ตื่น และเบิกบานในทันทีนั้น เพราะจิต ปราศจากตัณหา
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า)
ควรจะเริ่มต้นการปฏิบัติด้วยการรู้กายหรือรู้จิต)
จะทำสติให้เกิดได้อย่างไร
ถาม จะทำสติให้เกิดได้อย่างไรครับ
ตอบ ทำไม่ได้ เพราะสติจะเกิดหรือไม่เกิดเป็นไปตามที่มโนทวาราวัชชนะจิต/โวฏฐัพพนจิตสั่ง ไม่ใช่ตามที่เราอยากให้เป็น หน้าที่ของผู้ปฏิบัติมีอันเดียวคือหมั่นสังเกตสภาวะรูปนามเข้าไว้ เช่น จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ จิตเผลอก็รู้ จิตเพ่งก็รู้ จิตโกรธก็รู้ จิตรักก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตหดหู่ก็รู้ จิตแสวงหาก็รู้ รูปยืนก็รู้ รูปเดินก็รู้ รูปนั่งก็รู้ รูปนอนก็รู้ หรือกายมีอาการเคลื่อนไหวก็รู้ จิตมีอาการเคลื่อนไหวก็คอยรู้เรื่อยไป หากจิตมีความเข้าใจสภาวธรรมใดชัดเจนแล้ว เมื่อสภาวธรรมนั้นปรากฏ โวฏฐัพพนจิตก็จะเป็นปัจจัยให้สติเกิดโดยไม่ต้องจงใจทำขึ้นมา สติที่เกิดเองนี่แหละเป็นสัมมาสติจริงๆ จิตในขณะนั้นจะโปร่ง เบา เบิกบาน ไร้น้ำหนัก ส่วน "สติ" ที่จงใจสร้างขึ้นมาด้วยอำนาจของตัณหา ไม่ใช่สติจริง จะมีลักษณะแข็งกระด้าง หนักแน่น ใช้ทำวิปัสสนาไม่ได้จริงหรอก
ถาม จะทำให้สติต่อเนื่องได้อย่างไรครับ
ตอบ ใครก็ทำสติให้ต่อเนื่องไม่ได้ แค่ทำสติขณะจิตเดียวยังทำไม่ได้เลย เพราะจิตจะมีสติหรือมีกิเลสก็ด้วยอำนาจของมโนทวาราวัชชน จิต/โวฏฐัพพนจิตเป็นผู้กำหนด และเมื่อสติเกิดแล้ว ถึงอย่างไรก็เกิดได้ในช่วงสั้นๆ ตำราบอกว่าเกิดได้ทีละ 7 ขณะจิตเท่านั้น จะทำให้ ต่อเนื่องยาวนานกว่านั้นไม่ได้เว้นแต่ทำฌานจิต แต่ถ้าคุณฝึกเจริญสติปัฏฐาน จนจิตคุ้นเคยที่จะมีสติแล้ว สติจะเกิดบ่อยๆ ได้ ถ้าสติเกิดได้บ่อยมาก เราจะรู้สึกเหมือนกับว่ามีสติต่อเนื่องได้เหมือนกัน
ถาม ถ้าเช่นนั้นจะพัฒนาจิตได้อย่างไรคะ
ตอบ ไม่ต้องไปคิดพัฒนาจิตหรอก เพราะจิตเป็นของเกิดดับ และไม่ใช่ตัวตนอะไรของเรา สิ่งที่ควรจะทำก็คือ การฝึกใจให้วนเวียนอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศลเสมอๆ ด้วยการคิดในสิ่งที่ดีเช่นอนุสติ 10 ด้วยการพูดในสิ่งที่ดีเช่นกถาวัตถุ 10 ด้วยการทำในสิ่งที่ดีอื่นๆ เช่นการคบกัลยาณมิตร และสิ่งสำคัญที่นักปฏิบัติจะขาดไม่ได้ก็คือ การหมั่นสังเกตและเรียนรู้สภาวธรรมทั้งรูปและนามอยู่เนืองๆ แต่ต้องระวังอย่าเร่งร้อนสังเกตแบบจ้องตาไม่กะพริบ เพราะจะเผลอไปเพ่งแทนการรู้ได้ง่ายๆ
การที่เราน้อมให้จิตไหลอยู่ในกระแสกุศลเนืองๆ จะทำให้โวฏฐัพพนจิตตัดสินให้มหากุศลจิตเกิดบ่อยๆ (ทำนองเดียวกับการที่ปล่อยใจไปในทางที่ชั่วเสมอๆ จนความชั่วกลายเป็นอนุสัยหรือความเคยใจในทางที่ชั่ว ก็จะทำให้โวฏฐัพพนจิตตัดสินให้อกุศลจิตเกิดขึ้นเสมอๆ) ยิ่งถ้าเคยเรียนรู้ เคยสังเกตสภาวธรรมบ่อยๆ มหากุศลจิตที่เกิดก็จะประกอบด้วยปัญญาสามารถรู้รูปนามตรงตามความเป็นจริงได้บ่อยๆ จนเกิดความรู้จริง รู้แจ้ง และรู้ปล่อยวางรูปนามในที่สุด
ถาม ฟังหลวงพ่อพูดแล้วผมชักงงๆ เพราะทำอันนั้นก็ผิด ทำอันนี้ก็ผิด แล้วที่ถูกจะทำได้อย่างไรกัน
ตอบ ที่ถูกทำเอาไม่ได้ เพราะถ้าเมื่อใดคุณพยายามทำ (ปฏิบัติ) ด้วยตัณหา/อุปาทาน คุณก็ก้าวไปสู่ความผิดพลาดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ต้องสนใจว่าทำอย่างไรจึงจะถูก ให้รู้ทันอาการปรากฏทางกาย หรือตามรู้อาการปรากฏทางใจที่มันเที่ยวทำโน่นทำนี่ไว้เถิด แล้วการปฏิบัติจะถูกเองโดยอัตโนมัติ
ถาม ดิฉันฝึกเจริญสติแล้วตัวแข็ง หลังแข็ง คอแข็ง ใจว่างๆ เบลอๆ จนต้องรับประทานยาแก้โรคประสาท รับประทานยาอย่างไรก็ไม่หาย ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขให้ด้วยค่ะ
ตอบ อาการที่คุณกล่าวมานั้นเกิดจากการที่คุณฝึกเพ่ง ฝึกตรึงความรู้สึกไว้ที่กายตลอดเวลาเพราะกลัวจะขาดสติ นั่นไม่ใช่การเจริญสติหรอก เพราะเป็นการทำตามคำสั่งของตัณหาคือความอยากจะปฏิบัติธรรม ตราบใดที่ยังไม่เลิกตรึงความรู้สึกไว้กับกาย อาการของคุณจะไม่หายไป ให้คุณรู้ทันการตรึงความรู้สึกไว้ พอเลิกตรึง อาการทางกายเหล่านั้นก็จะทุเลาไปเอง
ถาม ดิฉันสังเกตเห็นว่า ในเวลาปกติจิตใจก็สบายดี แต่พอเริ่มกำหนดรูปนาม จิตจะหนักแน่นแข็งๆ หาความสบายไม่ได้เลย
ตอบ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะเป็นการปฏิบัติด้วยตัณหา ตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์ มีตัณหาก็ต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา แต่ถ้าเมื่อใดสภาวะรูปนามอันใดปรากฏ คุณรู้ไปตามนั้น จิตของคุณจะไม่แน่น ไม่หนักเลย แต่จะกลับรู้ตื่น และเบิกบานในทันทีนั้น เพราะจิต ปราศจากตัณหา
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า)
ควรจะเริ่มต้นการปฏิบัติด้วยการรู้กายหรือรู้จิต)