xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องจากพระไตรปิฎก : คนดีไม่มีความอาฆาต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับปฐมบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๑ สมัยนั้นสยามประเทศมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมืองของประเทศ เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็น ทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาส อีกต่อๆ กันเรื่อยไป
กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น ตีราคาลูกทาสใน เรือนเบี้ย ชาย ๑๔ ตำลึง หญิง ๑๒ ตำลึง แล้วไม่มีการลด ต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ ๔๐ หญิงอายุ ๓๐ จึงมีการลดหนี้บ้าง คำนวณการลดหนี้ อายุทาสถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย ๑ ตำลึง หญิง ๓ บาท แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ ตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงใช้เวลา ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม ยิ่งกว่านั้นยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์ และชวา ๒ ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย ๑ ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรป นำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทย ให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืนและนั่งตามโอกาสสมควร ไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน ในระยะเวลานี้ ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการ
พระองค์เสด็จออกทรงผนวชเป็นภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๑๖ และลาผนวช เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๖ แต่นั้นทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เอง ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการ แผ่นดินขึ้นใน พ.ศ.๒๔๑๗ เพื่อถวายคำปรึกษางานราชการแผ่นดินและยับยั้งหากพระราชดำริของพระองค์ไม่เหมาะสม และทรงตั้งสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ขึ้นด้วย เรียกว่า “สภาองคมนตรี”
วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๑๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลิกทาส ขึ้นเป็นฉบับแรก ความตอนหนึ่งบัญญัติว่า ลูกทาสที่เกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.๒๔๑๑ ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่า เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว ๘ ตำลึง หญิงมีค่าตัว ๗ ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปี แล้ว พอครบอายุ ๒๑ ปี ก็ให้ขาดจากความเป็นทาส ทั้งชายและหญิง
พอถึง พ.ศ.๒๔๔๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติทาส ร.ศ.๑๒๔ เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็น ทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ ๔ บาท จนกว่าจะหมดหนี้สิน
พระราชรัฐประศาสโนบายในการเลิกทาส เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกรณียกิจที่อำนวยคุณประโยชน์ แก่มหาชนชาวสยามในครั้งนั้น ที่มีผลต่ออิสรภาพในการดำเนินชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน แม้พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจเต็มรูปแบบตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระองค์ก็มิได้ใช้พระราชอำนาจนั้นเบียดเบียนผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับทาสเลย ทรงให้เวลาเขาได้ปรับตัวให้เข้ากับพระราชรัฐประศาสโนบาย และปรับเปลี่ยนรูปแบบงานในความรับผิดชอบไปสู่ระบบที่ไม่ต้องพึ่งพิงทาส ขณะเดียวกัน พระองค์ทรงปรับปรุงระบบการศึกษาของชาติเพื่อให้ความรู้แก่ลูกทาสและทาสที่พ้นจากภาระหนี้สินแล้ว เพื่อเขาจะได้มีความสามารถในการประกอบอาชีพเลี้ยงตนและครอบครัวได้ต่อไป
พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เมื่อพ.ศ. ๒๔๑๔ ทรงให้ติดหมายประกาศชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการให้ส่งบุตรหลานเข้าเรียน ณ โรงเรียนแห่งนี้ ทรงแต่งตั้งพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) เป็นครูใหญ่ ต่อมาทรงโปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษขึ้น มอบหมายให้นายยอช แปตเตอร์สัน เป็นครูใหญ่ โรงเรียนทั้งสอง นี้ขึ้นอยู่ในกรมทหารมหาดเล็ก จากนั้นพ.ศ.๒๔๒๘ จึงโปรดฯให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นที่ “วัดมหรรณพาราม” เป็นแห่งแรก แล้วทรงให้ตั้งกรม ศึกษาธิการขึ้น และจัดให้มีการสอบไล่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๑ ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๓๓ ได้ยกเลิกการสอน ตามแบบเรียน 6 กลุ่ม มีมูลบทบรรพกิจเป็นต้น ของพระยาศรีสุนทรโวหาร มาใช้แบบเรียนเร็วของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพแทน อีก ๒ ปีถัดมาคือ พ.ศ.๒๔๓๕ ทรงให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น เพื่อจัดการศึกษาและดูแลการศาสนา
ในพ.ศ.๒๔๔๑ ทรงมีพระราชดำริจะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานไปยังประชาชนทั่วพระราชอาณาจักร เพราะทรงเห็นว่าการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมือง ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงดำรง พระอิสริยยศเป็นกรมหมื่น ให้ทรงอำนวยการจัดการศึกษาในหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร ทั้งนี้เพราะทรง เห็นว่าวัดเป็นแหล่งให้การศึกษาแก่คนไทยมาแต่โบราณกาล การใช้วัดเป็นฐานในการขยายการศึกษา เป็นทางเดียวที่จะขยายได้เร็วและทั่วถึง เพราะวัดมีอยู่ ทั่วทุกหนแห่งในพระราชอาณาจักร ทั้งไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินในการสร้างโรงเรียนด้วย เพราะอาศัยศาลาวัดที่มีอยู่แล้วนั่นเองเป็นโรงเรียน การศึกษาของชาติก็เจริญก้าวหน้าสืบมาโดยลำดับ
เพียงพระราชรัฐประศาสโนบายเรื่องเลิกทาส ย่อมแสดงถึงพระราชทัศนะในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้เกิดสุขประโยชน์ต่อพสกนิกรได้อย่างครบถ้วนความอาฆาตมาดร้ายของผู้สูญเสียประโยชน์ในการนี้ อาจมีได้ แต่ก็สงบลงด้วยความจงรักภักดีและเห็นคุณประโยชน์อย่างแท้จริงที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศให้มีความวัฒนาสถาพร
ความอาฆาต หมายถึง อาการผูกใจเจ็บและอยากแก้แค้น เป็นผลที่เนื่องมาจากจิตใจที่เต็มไปด้วย ความพยาบาท อันเกิดขึ้นจากการสูญเสียผลประโยชน์ที่ตนพึงประสงค์ ผู้มีความอาฆาตในจิตใจ จึงเป็นผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความโลภ อยากได้ในสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ และชอบก่อเวรสร้างภัยให้เกิดขึ้นแก่ ผู้อื่น โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ภัยและความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดจากความอาฆาตนั้น มีสถานะความรุนแรงตามฐานะทางสังคมของผู้มีความอาฆาต
ด้วยตระหนักถึงภัยของความอาฆาตนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมสำหรับให้ปฏิบัติเพื่อป้องกันความ อาฆาตไม่ให้เกิดขึ้นในจิตใจ ดังความที่ปรากฏใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ อาฆาตวรรคที่ ๒ สูตรที่ ๑ อาฆาตวินยสูตรที่ ๑ ว่าด้วยธรรมระงับความอาฆาต ความว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ระงับความอาฆาตซึ่งเกิดขึ้นแก่ภิกษุโดยประการทั้งปวง คือ ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น ๑ พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น ๑ พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น ๑ พึงถึงการไม่นึก ไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น ๑ พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรม เป็นของของตน ให้มั่นในบุคคลนั้นว่า ท่านผู้นี้เป็น ผู้มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรม เป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เขาจักทำกรรม ใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เขาจักเป็นทายาท (ผู้รับผล) ของกรรมนั้น ดังนี้ ภิกษุพึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้ ฯ”
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญ เมตตาในบุคคลนั้น
เมตตาหมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราตั้งจิต ปรารถนาให้ผู้ที่มีความอาฆาตต่อเรา จงมีความสุข โดยมโนกรรม คือตั้งใจคิดปรารถนาให้เขามีความสุข ตามที่เขาประสงค์ โดยวจีกรรม คือพูดคุยกับเขาด้วยเหตุและผลตรงตามทำนองคลองธรรม ด้วยมุ่งหวังว่าเมื่อเขาได้สดับแล้วจะมีความสุขได้ โดยกาย กรรม คือช่วยสนับสนุนให้เขามีความสุขในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และอยู่ในวิสัยที่ตนสามารถช่วยได้ ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น เมื่อทำได้เช่นนี้บ่อยๆ ก็จะทำให้ความอาฆาต ที่สุมรุมจิตใจของเขาลดน้อยผ่อนคลายจนหมดไปได้
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญ กรุณาในบุคคลนั้น กรุณาหมายถึงความปรารถนาให้ ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราตั้งจิต ปรารถนาให้ผู้ที่มีความอาฆาตต่อเรา จงพ้นจากความทุกข์ที่เป็นบ่อเกิดของความอาฆาตในจิตใจของเขา โดยมโนกรรม คือตั้งใจคิดปรารถนาให้เขาพ้นจากความทุกข์ยากที่เขากำลังประสบอยู่ โดยวจีกรรม คือพูดคุยกับเขาด้วยเหตุและผลตรงตามทำนองคลองธรรม ด้วยมุ่งหวังว่าเมื่อเขาได้สดับแล้วจะพ้นจากความทุกข์ได้ โดยกายกรรม คือช่วยเหลือให้เขาพ้นจากความทุกข์ตามทำนองคลองธรรม และอยู่ในวิสัยที่ตนสามารถช่วยได้ ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ ตนเองและผู้อื่น เมื่อทำได้เช่นนี้บ่อยๆ ผู้นั้นก็จะคลาย ความอาฆาตต่อเราลงไป
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญ อุเบกขาในบุคคลนั้น อุเบกขา หมายถึงการวางเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ภายหลังจากประพฤติตนเต็มกำลังความสามารถในกิจการนั้นแล้ว การวางเฉย ย่อมต้อง อาศัยสติสัมปชัญญะในการตักเตือนตนให้รู้จักรักษาสภาวะปกติกับผู้มีความอาฆาต คือทำตนให้มีขันติธรรมต่อผู้มีความอาฆาต พระพุทธองค์ทรงสอน ให้เรารู้จักขอบเขตแห่งการให้เมตตาและกรุณา คือเราให้ความเมตตาหรือกรุณาแก่ผู้มีความอาฆาตเรามากเกินพอดี จะทำให้ผู้นั้นคิดว่าความอาฆาตที่ตน มี เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สามารถสร้างผลประโยชน์ที่ตนปรารถนาได้ เขาก็จะไม่ละที่จะแสดงความอาฆาตต่อ เราอยู่เสมอ ด้วยสำคัญผิดคิดว่าเรากลัวภัยจากความ อาฆาตของเขา การให้ความเมตตาที่มากเกินปกติ ย่อมเป็นเหมือนการยอมตามใจทุกอย่างแก่ผู้ได้รับความเมตตา การให้ความกรุณาที่มากเกินปกติ ย่อมเป็นเหมือนการสนับสนุนให้ผู้นั้นสร้างความอ่อนแอขึ้นเพื่อเรียกร้องความช่วยเหลือ ดังนั้นเมื่อให้เมตตา และกรุณาพอสมควรแล้ว ก็พึงทำใจวางเฉยเป็นกลาง ผู้มีความอาฆาตเมื่อเห็นว่าเราไม่ได้รับผลกระทบจาก ความอาฆาตของเขา บ่อยเข้าเขาก็จะลดทอนความอาฆาตในจิตใจที่มีต่อเราลงไป และสงบไปในที่สุด
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงถึงการ ไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น เมื่อปฏิบัติตนวางเฉยต่อ ผู้มีความอาฆาตได้แล้ว แต่นั้นก็หมั่นใฝ่ใจต่อหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องไปคิดนึกถึง หรือสนใจในความอาฆาตที่ผู้นั้นมีต่อตนเอง เมื่อผู้มีความอาฆาตรู้ว่าเราไม่ใส่ใจด้วยแล้ว เขาย่อมระงับความอาฆาตของตนเองได้ในกาลต่อมา เหมือนคนที่ตบ มือข้างเดียว ย่อมไม่มีเสียงดัง ฉะนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึง ความเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตนฯ ในขั้นตอนนี้ พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เราใช้ปัญญาพิจารณาว่า
ผู้มีความอาฆาตต่อเรา ย่อมเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน คือ เมื่อเขาผูกอาฆาตเรา เขาก็ต้องได้รับความทุกข์ทรมานจิตใจจากความอาฆาตนั้น ที่เขา สร้างขึ้น มันเป็นการกระทำของเขาเอง
มีกรรมเป็นกำเนิด ด้วยความอาฆาตที่เกิดขึ้นใน จิตใจของเขา ย่อมทำให้เขาได้กระทำการที่ไม่เหมาะสมแก่ตนเองและผู้อื่น เขาได้สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ความอาฆาตนำให้เขาต้องกระทำสิ่งที่เกิดทุกข์อย่างต่อเนื่องสืบไป
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เขาจะอาศัยความอาฆาตนั้น เป็นเครื่องดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายที่ตนประสงค์
เขาจักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เขาจักเป็นทายาท(ผู้รับผล)ของกรรมนั้น เขาจะต้องรับผลจาก การกระทำที่เกิดจากความอาฆาตในจิตใจของเขา
เมื่อสามารถพิจารณาได้ตามนัยนี้ แต่นั้นจิตใจของเราก็จะเห็นถึงธรรมชาติของผู้มีความอาฆาตต่อเรา เห็นถึงภัยอันตรายที่ติดตามมาของความอาฆาต เราก็จะไม่สร้างความอาฆาตให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง ทำตนให้พ้นจากความทุกข์ที่จะเกิดจากความ อาฆาตได้ในที่สุด ซึ่งเราจะเห็นซึ้งในจิตใจตรงตามบท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ว่า
๏ ฝูงชนกำเนิดคล้ายคลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณแผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทันกันหมด
เว้นแต่ชั่วดีกระด้างห่อนแก้ฤๅไหว

ข้าราชบริพารและพสกนิกร ผู้มีฐานะเป็นนายทาส ในรัชกาลที่ ๕ ผู้เป็นกัลยาณชน ย่อมเป็นผู้ได้อุปสมบทศึกษาพระธรรมวินัยตามขนบธรรมเนียมประเพณี คนละหลายพรรษา เขาย่อมถูกสร้างสามัญสำนึกในบาปบุญคุณโทษตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา รู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เห็นภัยจากการทำไม่ดี จึงงดเว้นการกระทำเช่นนั้นเสีย แล้วหมั่นทำแต่ความดี อยู่เสมอ และด้วยความจงรักภักดี เทิดทูนพระมหากษัตริย์เหนือเศียรเกล้า ยอมรับในพระราชอำนาจ ความอาฆาตที่เขาจะพึงมีต่อพระองค์ ก็ไม่อาจเกิดขึ้น ได้ในจิตใจ เขาไม่หวังจะเป็นคนอกตัญญูกตเวที ไร้ความจงรักภักดี ให้เป็นที่ติเตียนของสังคม เป็นที่เสื่อมเสียแห่งวงศ์ตระกูล
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ไม่ทรงผูกอาฆาตผู้ใด แม้จะถูกข่มเหงให้เจ็บ ซ้ำพระราชหฤทัยจนมีพระราชประสงค์จะสวรรคต เมื่อตอนวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) ที่กงสุลฝรั่งเศสหลู่พระราชอำนาจ ยึดดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ครั้งนั้นพระองค์ทรงได้รับความจงรักภักดีจากพระบรมวงศานุวงศ์หล่อเลี้ยงพระราชหฤทัยให้มีความเข้มแข็ง ทรงปรับวิกฤตให้เป็นโอกาส พัฒนาประเทศให้มีความรุ่งเรือง และรอดพ้นจากการ เป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น ถ้าสามารถหาอ่าน “ขัตติยพันธกรณี” จะรู้ถึงสภาพที่ ทรงประสบได้เป็นอย่างดี
ความวุ่นวายในประเทศไทยขณะนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากความอาฆาตในจิตใจของคนไทยบางคน ที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง เขาไม่สำเหนียก ถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทั้งต่อทรัพย์สินและชีวิตของเพื่อนร่วมชาติ คนที่ประพฤติได้เช่นนี้ ไม่สมควรจะให้ใช้ชื่อว่าคนไทยเลย เพราะเขาทำตนให้ ห่างจากวัฒนธรรมไทยไปมากจริงๆ
เดือนตุลาคม เป็นเดือนแห่งการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชประวัติของทั้งสองพระองค์ได้แสดง ให้ทราบว่าทรงผ่านความทุกข์อันยิ่งใหญ่มาได้ด้วยพุทธธรรม ไม่ทรงมีความอาฆาตต่อผู้ที่ทำร้ายพระองค์เลย ทั้งสองพระองค์ทรงสถิตในจิตใจของพสกนิกรมาตลอด นับแต่เสด็จสวรรคตเป็นต้นมา เหตุนี้ จึงกล่าวว่าคนดีไม่มีความอาฆาต แล
กำลังโหลดความคิดเห็น