เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เจ้าตัวยินดีให้เปิดเผยชื่อจริง ด้วยหวังว่าจะให้เป็นบทเรียนเป็นสิ่งเตือนใจ เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้ผู้อ่านได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎแห่งกรรม ที่มักเกิดขึ้นทันตาเห็น โดยไม่เลือกปฏิบัติ และสอนให้คนซึ่งเป็นสัตว์อันประเสริฐเหนือกว่าสัตว์ทุกด้าน อย่าได้ข่มเหงรังแกเข่นฆ่าสัตว์ที่ไม่มีทาง สู้มนุษย์ได้ เพราะเขาก็รู้จักเจ็บ รู้จักปวด รู้จักกลัวตาย และต้องการสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้รอดพ้น จากความตายเช่นเดียวกับคนเหมือนกัน
คนกับสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข แม้จะสื่อสารกันด้วยคำพูดไม่ได้ แต่ดวงตาท่าทางสื่อ สารถึงกันได้อย่างซาบซึ้งที่สุด นอกจากนั้นแล้วยังมีความผูกพัน มีเมตตาต่อกัน การให้ความรักต่อกัน เอื้ออาทร เลี้ยงดูให้ความสุข ให้ท้องอิ่ม เขาก็จะให้ความซื่อสัตย์ ความผูกพัน จงรักภักดีตายแทนได้ เชื่องดีเสียกว่าคน ซึ่งให้และขุน เท่าไรไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันพอ ไม่มีวันเชื่อง ซ้ำยังแว้งกัดข้างหลัง เมื่อเวลาหิว เมื่อเวลาที่เกิดกิเลส ตัณหาโลภะขึ้นอีกด้วย
เจ้าของเรื่องนี้คืออาจารย์ก้านกูร อิศรางกูร ณ อยุธยา หรืออาจารย์ปุ๊ อดีตสาวรัฐศาสตร์ จากรั้วจุฬาฯ และนิติกร รพช. ซึ่งปัจจุบันเป็นข้าราชการ บำนาญ ต้องลาออกจากราชการก่อนกำหนดเกษียณอายุ เพื่อมารักษาตัว เนื่องจากป่วยด้วยโรคผิวหนัง เป็นที่น่ารังเกียจต่อผู้พบเห็น
ผิวหนังทั้งตัวของอาจารย์ปุ๊ ยกเว้นใบหน้าจะเป็นแผลถลอกเหมือนกับถูกไฟไหม้ดำเกรียม แตกระแหง น้ำเหลืองไหลออกมา ผิวลายแดงเป็นปื้นๆเหมือนกับผิวตุ๊กแก คันและปวดแสบปวดร้อนมาก แถมบางทียังมีอาการบวม จับไข้ ความร้อนสูงขึ้นมาทันที อาจารย์ปุ๊รับประทานอาหารได้เพียงไม่กี่อย่าง เช่น พวกธัญพืช ซึ่งบาง ตัวมีราคาแพง และอาหารมังสวิรัต ยกเว้นไข่ นม เห็ด อีกด้วย นอกนั้นแพ้หมด รับประทานไม่ได้ นอกจากนี้เธอยังได้เอาเปลือกกล้วยน้ำว้ามาปะทั่วตัว เพราะมีผู้บอกว่าเป็นตัวยาดี ทำให้เย็น สามารถดูดซับความปวดแสบปวดร้อนลงได้บ้าง
อาจารย์ปุ๊เล่าให้ฟังว่าแพทย์แผนปัจจุบันบอก ว่าเธอเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิแพ้ แต่แพทย์แผนไทย บอกว่าเกี่ยวกับประดงเลือดประดงลมอะไรจำ พวกนั้น เธอก็เลยรักษาทั้ง 2 หมอ และต้องรับประทานยาเป็นกำมือๆแทนข้าว ค่ายาเดือนๆหนึ่ง ตกเป็นหมื่นๆบาท เงินบำนาญแทบจะหมด ดีว่าสามีเลี้ยงดีจึงรอดตัว เมื่อใดที่ยา ที่อาหารตัวใดตัวหนึ่งหมด หรือกินอาหารที่แพ้ ก็จะมีสภาพที่น่าเวทนามาก นอนน้ำตาไหลพรากๆด้วยความปวดแสบปวดร้อน ผื่นขึ้นแดงเป็นปื้นๆ ผิวลายเป็นตุ๊กแก น้ำเหลืองไหลออกมาตามแผล เธอกำหนดจิตสู้กับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานตลอด เวลา พออาการทุเลาความปวดแสบปวดร้อนเบา บางลง ก็ออกไปทำงานต่อ เป็นอย่างนี้เสมอมา
สาเหตุที่มีอาการทุกข์ทรมานเช่นนี้ เธอเล่าให้ฟังว่าจากการเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐานสี่ ก็ได้นิมิตเห็นจิ้งจก ตุ๊กแก แย้ ตัวบึ้ง มด หนู พากันเดินผ่านหน้ายั้วเยี้ยไปหมด หลังแผ่เมตตา ขออโหสิกรรมกันแล้ว ก็ระลึกได้ว่า สมัยเป็นเด็กๆได้ย้ายตามคุณพ่อไปรับราชการ ยังภาคใต้ มีพี่เลี้ยงเป็นคนภาคใต้นั่นเอง ตอนนั้นตัวผอมเล็กๆ ซุกซนมาก พี่เลี้ยงพาไปเที่ยวตามบ้านนอก และเห็นว่าเธอตัวเล็กๆผอมๆเกร็งๆ หวังดี ก็หายากินแก้เป็นซาง มาให้กิน และยาแก้ ซางสมัยก่อนก็คือการจับตัวตุ๊กแกบ้าง แย้บ้าง บึ้งบ้างเป็นๆ เอามาปิ้ง มาย่างให้กิน และก็กินตุ๊กแก จิ้งจก แย้ บึ้งเป็นๆย่างแก้ซางหลายต่อหลายตัวจนนับไม่ถ้วน เธอบอกว่าเนื้อหวานอร่อยมาก สมัยโบราณเด็กๆมักจะได้กินยาแก้เป็นซางขนานนี้ทั้งนั้น จึงเป็นที่รู้จักกันดี เมื่อไปจับเขาเอามาปิ้งกินเป็นๆ โดยไม่มีความจำเป็น เพราะยาแก้เป็นซางมีเยอะแยะ ทำไมจะต้องไปรังแกไปฆ่าด้วยกรรมวิธีแสนทรมานโหดร้ายเผาทั้งเป็นอย่างนั้น
นอกจากนั้นเธอเห็นมดเป็นไม่ได้ เพราะเคยถูกมดคันไฟกัด จึงผูกเวรสร้างกรรม แม้กระทั่งรังมด ถ้าทำรังอยู่บนต้นไม้ต่อให้ลำบากยากเย็น เพียงไร จะต้องปีนขึ้นไปหักกิ่งไม้ที่เป็นรังมดทุกชนิด เอามาสะบัดใส่กองไฟที่ก่อขึ้นมาเอง เผาจนหมด หรือไม่ก็ใช้น้ำร้อนเดือดๆเทใส่รังมดที่อยู่ในรูตาย ไม่มีเหลือ นอกจากนั้นแล้วก็คือหนู เธอเห็นเป็นไม่ได้ ทั้งเกลียดทั้งกลัว จะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ วิธีการคิดกำจัดหนูนอกจากการใช้กับดักให้ตายทันทีแล้ว ก็คือการใช้กาวดักหนูใส่ลงไปในจาน เมื่อหนูวิ่งมาติดกาว ก็พยายามดิ้น รนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดพ้นไปจากกาวที่เหนียวหนืด ยิ่งดิ้นเพื่อให้ตัวหลุด หนังที่หุ้มห่อตัวหนูกลับยิ่งถลอกหลุดออกจากตัวหนูแทน ทำให้หนู ได้รับความเจ็บปวดดิ้นสุดชีวิต ยิ่งดิ้นรนหนังเลิก เปิดอ้าออกจากตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งตายด้วยความ ทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ทั้งๆที่เขาก็อยู่ของ เขาดีๆ ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนทุกข์เข็ญให้ใคร เลย แต่ทำไมจึงจับจ้องแต่จะข่มเหงรังแก เข่นฆ่า ทั้งๆที่เขาก็ไม่มีทางต่อสู้ แม้แต่จะพูดเรียกร้อง ขอชีวิต ดังนั้น เขาจึงต้องตามล้างตามผลาญจอง เวรจองกรรม ทวงหนี้กรรมให้ต้องชดใช้ ให้ต้อง รับผิดชอบและสำนึกถึงบาปกรรมที่ทำกับพวกเขา ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษกฏแห่งกรรมจนได้ ไม่ว่าจะหลบลี้หนีไปไหนเขาก็จะต้องตามไปทวง คืนจนได้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยกรรม
ทุกวันนี้อาจารย์ปุ๊เองก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก จึงพยายามสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญกุศล เพื่อช่วยให้บาปกรรมความผิดนั้นบรรเทาเบาบางลงบ้าง เพราะเจ้ากรรมนายเวรอาจใจอ่อนยอมให้อโหสิกรรม แต่เมื่อใดก็ตามถ้าประมาท มีทีท่าว่า จะลืมนึกถึงบาปกรรมที่เคยทำไว้ ผิวหนังก็จะมีอาการผื่นเป็นปื้นแดงเป็นหย่อมๆ น้ำเหลืองไหลออกมา ทำให้เจ็บปวดแสบร้อนทุกข์ทรมานขึ้นมา ทันที เหมือนๆกับกำลังถูกไฟเผา เป็นสัญญาณเตือนภัยทุกครั้งไป
อาจารย์ปุ๊ได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และได้อธิษฐานจิตเอาไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะสอนวิปัสสนาฯเป็นการทำบุญไถ่บาป อุทิศส่วนกุศลให้เจ้า กรรมนายเวร และบูชาคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปตลอดชีวิต
คนกับสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข แม้จะสื่อสารกันด้วยคำพูดไม่ได้ แต่ดวงตาท่าทางสื่อ สารถึงกันได้อย่างซาบซึ้งที่สุด นอกจากนั้นแล้วยังมีความผูกพัน มีเมตตาต่อกัน การให้ความรักต่อกัน เอื้ออาทร เลี้ยงดูให้ความสุข ให้ท้องอิ่ม เขาก็จะให้ความซื่อสัตย์ ความผูกพัน จงรักภักดีตายแทนได้ เชื่องดีเสียกว่าคน ซึ่งให้และขุน เท่าไรไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันพอ ไม่มีวันเชื่อง ซ้ำยังแว้งกัดข้างหลัง เมื่อเวลาหิว เมื่อเวลาที่เกิดกิเลส ตัณหาโลภะขึ้นอีกด้วย
เจ้าของเรื่องนี้คืออาจารย์ก้านกูร อิศรางกูร ณ อยุธยา หรืออาจารย์ปุ๊ อดีตสาวรัฐศาสตร์ จากรั้วจุฬาฯ และนิติกร รพช. ซึ่งปัจจุบันเป็นข้าราชการ บำนาญ ต้องลาออกจากราชการก่อนกำหนดเกษียณอายุ เพื่อมารักษาตัว เนื่องจากป่วยด้วยโรคผิวหนัง เป็นที่น่ารังเกียจต่อผู้พบเห็น
ผิวหนังทั้งตัวของอาจารย์ปุ๊ ยกเว้นใบหน้าจะเป็นแผลถลอกเหมือนกับถูกไฟไหม้ดำเกรียม แตกระแหง น้ำเหลืองไหลออกมา ผิวลายแดงเป็นปื้นๆเหมือนกับผิวตุ๊กแก คันและปวดแสบปวดร้อนมาก แถมบางทียังมีอาการบวม จับไข้ ความร้อนสูงขึ้นมาทันที อาจารย์ปุ๊รับประทานอาหารได้เพียงไม่กี่อย่าง เช่น พวกธัญพืช ซึ่งบาง ตัวมีราคาแพง และอาหารมังสวิรัต ยกเว้นไข่ นม เห็ด อีกด้วย นอกนั้นแพ้หมด รับประทานไม่ได้ นอกจากนี้เธอยังได้เอาเปลือกกล้วยน้ำว้ามาปะทั่วตัว เพราะมีผู้บอกว่าเป็นตัวยาดี ทำให้เย็น สามารถดูดซับความปวดแสบปวดร้อนลงได้บ้าง
อาจารย์ปุ๊เล่าให้ฟังว่าแพทย์แผนปัจจุบันบอก ว่าเธอเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิแพ้ แต่แพทย์แผนไทย บอกว่าเกี่ยวกับประดงเลือดประดงลมอะไรจำ พวกนั้น เธอก็เลยรักษาทั้ง 2 หมอ และต้องรับประทานยาเป็นกำมือๆแทนข้าว ค่ายาเดือนๆหนึ่ง ตกเป็นหมื่นๆบาท เงินบำนาญแทบจะหมด ดีว่าสามีเลี้ยงดีจึงรอดตัว เมื่อใดที่ยา ที่อาหารตัวใดตัวหนึ่งหมด หรือกินอาหารที่แพ้ ก็จะมีสภาพที่น่าเวทนามาก นอนน้ำตาไหลพรากๆด้วยความปวดแสบปวดร้อน ผื่นขึ้นแดงเป็นปื้นๆ ผิวลายเป็นตุ๊กแก น้ำเหลืองไหลออกมาตามแผล เธอกำหนดจิตสู้กับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานตลอด เวลา พออาการทุเลาความปวดแสบปวดร้อนเบา บางลง ก็ออกไปทำงานต่อ เป็นอย่างนี้เสมอมา
สาเหตุที่มีอาการทุกข์ทรมานเช่นนี้ เธอเล่าให้ฟังว่าจากการเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐานสี่ ก็ได้นิมิตเห็นจิ้งจก ตุ๊กแก แย้ ตัวบึ้ง มด หนู พากันเดินผ่านหน้ายั้วเยี้ยไปหมด หลังแผ่เมตตา ขออโหสิกรรมกันแล้ว ก็ระลึกได้ว่า สมัยเป็นเด็กๆได้ย้ายตามคุณพ่อไปรับราชการ ยังภาคใต้ มีพี่เลี้ยงเป็นคนภาคใต้นั่นเอง ตอนนั้นตัวผอมเล็กๆ ซุกซนมาก พี่เลี้ยงพาไปเที่ยวตามบ้านนอก และเห็นว่าเธอตัวเล็กๆผอมๆเกร็งๆ หวังดี ก็หายากินแก้เป็นซาง มาให้กิน และยาแก้ ซางสมัยก่อนก็คือการจับตัวตุ๊กแกบ้าง แย้บ้าง บึ้งบ้างเป็นๆ เอามาปิ้ง มาย่างให้กิน และก็กินตุ๊กแก จิ้งจก แย้ บึ้งเป็นๆย่างแก้ซางหลายต่อหลายตัวจนนับไม่ถ้วน เธอบอกว่าเนื้อหวานอร่อยมาก สมัยโบราณเด็กๆมักจะได้กินยาแก้เป็นซางขนานนี้ทั้งนั้น จึงเป็นที่รู้จักกันดี เมื่อไปจับเขาเอามาปิ้งกินเป็นๆ โดยไม่มีความจำเป็น เพราะยาแก้เป็นซางมีเยอะแยะ ทำไมจะต้องไปรังแกไปฆ่าด้วยกรรมวิธีแสนทรมานโหดร้ายเผาทั้งเป็นอย่างนั้น
นอกจากนั้นเธอเห็นมดเป็นไม่ได้ เพราะเคยถูกมดคันไฟกัด จึงผูกเวรสร้างกรรม แม้กระทั่งรังมด ถ้าทำรังอยู่บนต้นไม้ต่อให้ลำบากยากเย็น เพียงไร จะต้องปีนขึ้นไปหักกิ่งไม้ที่เป็นรังมดทุกชนิด เอามาสะบัดใส่กองไฟที่ก่อขึ้นมาเอง เผาจนหมด หรือไม่ก็ใช้น้ำร้อนเดือดๆเทใส่รังมดที่อยู่ในรูตาย ไม่มีเหลือ นอกจากนั้นแล้วก็คือหนู เธอเห็นเป็นไม่ได้ ทั้งเกลียดทั้งกลัว จะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ วิธีการคิดกำจัดหนูนอกจากการใช้กับดักให้ตายทันทีแล้ว ก็คือการใช้กาวดักหนูใส่ลงไปในจาน เมื่อหนูวิ่งมาติดกาว ก็พยายามดิ้น รนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดพ้นไปจากกาวที่เหนียวหนืด ยิ่งดิ้นเพื่อให้ตัวหลุด หนังที่หุ้มห่อตัวหนูกลับยิ่งถลอกหลุดออกจากตัวหนูแทน ทำให้หนู ได้รับความเจ็บปวดดิ้นสุดชีวิต ยิ่งดิ้นรนหนังเลิก เปิดอ้าออกจากตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งตายด้วยความ ทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ทั้งๆที่เขาก็อยู่ของ เขาดีๆ ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนทุกข์เข็ญให้ใคร เลย แต่ทำไมจึงจับจ้องแต่จะข่มเหงรังแก เข่นฆ่า ทั้งๆที่เขาก็ไม่มีทางต่อสู้ แม้แต่จะพูดเรียกร้อง ขอชีวิต ดังนั้น เขาจึงต้องตามล้างตามผลาญจอง เวรจองกรรม ทวงหนี้กรรมให้ต้องชดใช้ ให้ต้อง รับผิดชอบและสำนึกถึงบาปกรรมที่ทำกับพวกเขา ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษกฏแห่งกรรมจนได้ ไม่ว่าจะหลบลี้หนีไปไหนเขาก็จะต้องตามไปทวง คืนจนได้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยกรรม
ทุกวันนี้อาจารย์ปุ๊เองก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก จึงพยายามสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญกุศล เพื่อช่วยให้บาปกรรมความผิดนั้นบรรเทาเบาบางลงบ้าง เพราะเจ้ากรรมนายเวรอาจใจอ่อนยอมให้อโหสิกรรม แต่เมื่อใดก็ตามถ้าประมาท มีทีท่าว่า จะลืมนึกถึงบาปกรรมที่เคยทำไว้ ผิวหนังก็จะมีอาการผื่นเป็นปื้นแดงเป็นหย่อมๆ น้ำเหลืองไหลออกมา ทำให้เจ็บปวดแสบร้อนทุกข์ทรมานขึ้นมา ทันที เหมือนๆกับกำลังถูกไฟเผา เป็นสัญญาณเตือนภัยทุกครั้งไป
อาจารย์ปุ๊ได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และได้อธิษฐานจิตเอาไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะสอนวิปัสสนาฯเป็นการทำบุญไถ่บาป อุทิศส่วนกุศลให้เจ้า กรรมนายเวร และบูชาคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปตลอดชีวิต