xs
xsm
sm
md
lg

คนรู้ใจ : "ตายแล้วต้องไปให้ครบทั้ง 32" กับทัศนะการบริจาคอวัยวะเป็นทาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่องที่ 118 วิสัชนา "การบริจาคอวัยวะ" ตอน 1/2

คำถามหนึ่งยอดฮิตที่คนมักถามกันคือ "ตายแล้วไปไหน" ขณะเดียวกัน หลายคำพูดที่มักได้ยินจากผู้เฒ่าผู้แก่มักบอกว่า เวลาตายให้เอาร่างกายไปครบ 32 ไม่เช่นนั้นชาติหน้าเกิดมาแล้วอวัยวะไม่ครบ

ด้วยคำพูดของผู้เฒ่าผู้แก่ จึงกลายเป็นปัญหาตามมาว่า คนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนไม่นิยมที่จะบริจาคอวัยวะ ด้วยเพราะเกรงว่าชาติหน้าร่างกายไม่ครบ 32 ทั้งๆ ที่พุทธศาสนาสอนให้เรารู้จัก "ทาน" หรือ "การให้"

และความจริงที่เจ็บปวดคือ ปัจจุบันมีเพื่อนมนุษย์จำนวนมากรอคอยการรับบริจาคอวัยวะและดวงตาที่ไม่มีประโยชน์แล้วจากร่างกายที่จิตดับ เขาเหล่านั้นอยู่ด้วยความหวังจากอวัยวะของผู้มีจิตศรัทธาในการบริจาคอวัยวะและดวงตา

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในคำพูดที่ว่า "ตายแล้วต้องไปให้ครบทั้ง 32" ลองพิจารณาอ่านบทสัมภาษณ์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ในหนังสือ "พระพุทธศาสนากับการบริจาคอวัยวะ" ที่จัดพิมพ์โดย ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย

ปุจฉา : มีข้อห้ามในศาสนาพุทธหรือไม่เกี่ยวกับเรื่อง "การบริจาคอวัยวะ"

วิสัชนา : ตามปกติแล้วไม่มีข้อห้ามมีแต่จะสนับสนุน เพราะการบริจาคอวัยวะเป็นการเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ต้องการให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ และมีความสุข การบริจาคจึงเป็นหลักธรรมที่สำคัญของศาสนาไม่ว่าจะเป็น "ทศพิธราชธรรม" ก็ดี การบำเพ็ญ "บารมี" ของพระพุทธเจ้าเมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็ดี ก็มีการบริจาคเป็นคุณธรรมข้อแรก เรียกว่า "ทาน" และ "ทานบารมี" คือ การให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยเฉพาะในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น การบริจาคอวัยวะเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นความดีที่จำเป็นเลยทีเดียว ที่ต้องทำเพราะการก้าวไปสู่โพธิญาณ ต้องมีความเข้มแข็งของจิตใจในการเสียสละเพื่อความดี

ทั้งนี้ทานที่เป็นบารมีจะแบ่งเป็น 3 ขั้น เช่นเดียวกับบารมีอื่นๆ คือ

ทานบารมีระดับสามัญ คือ การบริจาคทรัพย์สินเงินทองของนอกกาย ถึงจะมากมายแค่ไหนก็จะอยู่ในระดับนี้

ทานระดับรอง หรือ ทานจวนสูงสุด เรียกชื่อเฉพาะว่า "ทานอุปบารมี" ได้แก่ความเสียสละทำความดีถึงขั้นสามารถบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้

ทานปรมัตถบารมี คือ ทานบารมีขั้นสูงสุด ได้แก่ การบริจาคชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือ เพื่อรักษาธรรม

แน่นอนว่าการบริจาคอวัยวะนั้นเป็นคุณธรรมสำคัญ และเป็นบุญมากตามหลักพระพุทธศาสนา นอกจากเป็นบารมีขั้นทานอุปบารมีแล้ว ยังโยงไปหาหลักสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "มหาบริจาค" คือ การบริจาคใหญ่ ซึ่งพระโพธิสัตว์จะต้องปฎิบัติอีก 5 ประการคือ บริจาคทรัพย์ บริจาคราชสมบัติ บริจาคอวัยวะและนัยน์ตา บริจาคตัวเองหรือบริจาคชีวิต และบริจาคบุตรภรรยา

บริจาคบุตรภรรยานั้น คนสมัยใหม่อาจจะมองในทางที่ไม่ค่อยดี แต่ต้องเข้าใจว่าการบริจาคบุตรภรรยานี้ ไม่ใช่ไปมองในแง่ทอดทิ้งบุตรภรรยา แต่มองในแง่ที่สามารถสละความหวงแหน ยึดถือทางจิตใจอย่างคนทั่วไปที่เมื่อมีความยึดถือผูกพันด้วยความรักก็มักจะมีความเอนเอียงเป็นอย่างน้อย

ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ คือ พระโพธิสัตว์นั้นจิตใจจะต้องตรงต่อธรรม สามารถรักษาความถูกต้องโดยไม่เห็นแก่อะไรทั้งสิ้น จึงต้องสละความยึดถือแม้แต่ลูกเมียได้ แต่การจะสละบุตรภรรยาคือยอมให้เขาไปกับใครนั้น มีข้อแม้ว่าต้องให้เขายินดี พอใจหรือเต็มใจด้วย ถ้าเขาไม่พอใจก็ไม่บริจาค ท่านมีเงื่อนไขไว้แล้ว

หันกลับมาเรื่องการบริจาคอวัยวะ เป็นอันว่าพระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้าได้จำเป็นต้องบำเพ็ญมหาบริจาค ซึ่งมีการบริจาคอวัยวะ บริจาคนัตย์ตา บริจาคชีวิตรวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นการแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีการห้าม นอกจากจะทำด้วยโมหะและโดยไม่มีเหตุผล ส่วนการทำอย่างมีเหตุผลคือมีจิตเมตตากรุณา ต้องการเสียสละให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นนี้ท่านสนับสนุน

ปุจฉา : ถ้าถามว่าการบริจาคอวัยวะนั้นได้บุญหรือไม่ และใครเป็นคนได้ อย่างเช่นคนหนึ่งแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะไว้ แต่เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตายแล้วญาติได้ตัดสินใจบริจาค ลักษณะนี้ไม่ทราบว่าใครจะเป็นคนได้บุญ หรือได้บุญมากน้อยอย่างไร

วิสัชนา : ในแง่นี้ต้องแยกออกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นที่หนึ่งคือ "เป็นบุญหรือไม่?" ซึ่งตอบได้เลยว่าเป็นบุญอยู่แล้ว ดังที่พระโพธิสัตว์ท่านบริจาค และเป็นบุญชั้นสูงถึงขั้นเรียกว่าบารมีเลยทีเดียว แต่สำหรับคนทั่วไปจะมีความตั้งใจที่จะบรรลุโพธิญาณหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราไม่ได้มีความตั้งใจ ไม่ได้ตั้งปณิธานอย่างนี้ ก็ไม่เรียกว่าเป็นบารมี แต่เป็นบุญซึ่งจัดว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียวเพราะเป็นบุญที่ทำได้ยาก ต้องมีความเสียสละจริงๆ เป็นอันว่าได้บุญแน่นอน เพราะเกิดจากเจตนาที่เสียสละให้ด้วยความกรุณาปรารถนาดีต่อผู้อื่นอันใหญ่หลวง

ส่วนที่ว่า "ใครจะเป็นผู้ได้บุญ" นั้น ตอบง่ายๆ ว่าใครเป็นผู้บริจาค คนนั้นก็ได้เพราะมันอยู่ที่เจตนาของผู้นั้น ในกรณีที่เป็นคนที่ตายไปแล้วและญาติบริจาคก็เลยกลายเป็นว่าคนที่ตายไปแล้วไม่ได้รับ เพราะว่าไม่ได้เจตนาในแง่นี้ต้องพูดอีกขั้นหนึ่ง คือ ญาติที่บริจาคนั้นต้องอุทิศกุศลไปให้เขาอีกทีหนึ่ง ในทางธรรมถือว่าถ้าบริจาคในขณะที่ตัวยังเป็นอยู่ก็จะเป็นบุญชั้นสูง

ปุจฉา : คนที่ได้รับอวัยวะๆไปแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะได้รับผลบุญนั้นหรือไม่ เพราะทางศูนย์รับบริจาคอวัยวะไม่ได้บอกชื่อของคนที่บริจาคให้ผู้ที่รับอวัยวะไป จะอธิษฐานอย่างไรดี

วิสัชนา : แม้จะไม่ระบุชื่อผู้ที่เราอุทิศส่วนกุศลให้ เพียงแต่ตั้งใจว่าอุทิศให้แก่เจ้าของอวัยวะที่บริจาคให้เราหรือที่เราได้รับบริจาคนี้ก็พอแล้ว (อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
กำลังโหลดความคิดเห็น