xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : ตอนที่ ๑๐ กลุ่มเพื่อนพระยสะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กลุ่มเพื่อนพระยสะ คือ กลุ่มของพระที่เป็นเพื่อนเก่าของพระยสะตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส และได้ออกบวชตามเมื่อพระยสะออกบวช พระกลุ่มนี้มี ๕๔ รูป แต่ที่ปรากฏชื่อและได้รับจัดเข้าเป็นพระอสีติมหาสาวกมีเพียง ๔ รูป คือ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ ฉะนั้นในการกล่าวถึงกลุ่มเพื่อนพระยสะจะกล่าวถึงแต่เฉพาะพระสาวก ๔ รูปนี้เท่านั้น ซึ่งแต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้

สถานะเดิม
พระสาวกทั้ง ๔ รูป เกิดในวรรณะไวศยะ ในตระกูลเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสี แคว้นกาสี

ชีวิตฆราวาส
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าท่านดำเนินชีวิต อย่างไร แต่โดยเหตุที่เป็นบุตรเศรษฐีและเป็นได้ว่าคงดำเนินชีวิตไม่ต่างไปจาก พระยสะ กล่าวคือมีความเป็นอยู่สุขสบาย สมบูรณ์พูนสุขทุกประการ มีนางระบำบรรเลงดนตรีขับกล่อมเวลาเข้านอน

การออกบวชและบรรลุโสดาปัตติผล
ได้กล่าวไว้แล้วว่าพระสาวกทั้ง ๔ รูป ออกบวชตามพระยสะ พระไตรปิฏกกล่าว ถึงการออกบวชของท่านไว้ว่า
พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ และพระควัมปติเมื่อได้ทราบว่ายสะออก บวช ต่างมีความคิดเป็นอย่างเดียวกันว่า บัดนี้ยสะได้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดออกจากเรือนบวชแล้ว การบวชของยสะคงไม่ใช่ของต่ำต้อย ธรรมวินัยที่ยสะประพฤติคงไม่ต่ำทราม ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันเดินทางไปหาพระยสะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ด้วยความศรัทธา พระยสะได้พาทั้ง ๔ ท่านเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า หลังจากกราบทูลให้ทรงทราบถึงประวัติส่วนตัวของแต่ละท่านแล้ว ได้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟัง พระพุทธเจ้าได้ตรวจดูอุปนิสัยแล้วก็ได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ให้ฟังตามลำดับ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ทั้ง ๔ ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ครั้นแล้วได้ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยวิธีบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาอย่างที่ทรงประทานแก่พระปัญจวัคคีย์ โดยตรัสว่า
“พวกเธอจงเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรา กล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหม-จรรย์ เพื่อทำทุกข์ให้หมดสิ้นไปโดยชอบเถิด”
จบพระพุทธดำรัสทั้ง ๔ ท่านก็ได้เป็น พระสมบูรณ์แบบในพระพุทธศาสนา และปรากฏชื่อว่า พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ มานับแต่นั้น

บรรลุอรหัตผล
หลังจากบวชแล้ว พระพุทธเจ้ายังคงแสดงธรรมโปรดอยู่เนืองๆ ไม่ช้าพระสาวก ทั้ง ๔ รูปนั้นก็ได้บรรลุอรหัตผล

งานสำคัญ
พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ และพระควัมปติ อยู่ในคณะพระธรรมจาริกรุ่นแรก ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไป ประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๖๐ รูป บรรดาพระสาวก ๔ รูปนี้ ในคัมภีร์มีกล่าวไว้แต่เรื่องของพระควัมปติว่า ท่านได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาถึงสหชาตินครในแคว้นเจตี ซึ่งอยู่ทางเหนือ
พระควัมปติ หลังจากที่ได้บรรลุอรหัตผลแล้ว คราวหนึ่งได้จำพรรษาอยู่ ณ ป่าอัญชนวัน เมืองสาเกต กับพระพุทธเจ้า
และพระภิกษุสามเณรจำนวนมาก ปรากฏว่าเสนาสนะไม่พอ พระภิกษุสามเณรที่ไม่ ได้เสนาสนะต้องพากันไปจำวัดตามหาดทรายชายฝั่งแม่น้ำสรภูมิซึ่งอยู่ใกล้ๆ วิหารตกเที่ยงคืนเกิดฝนตกน้ำหลากพระเณรต้องหนีน้ำกันจ้าละหวั่น ความทราบถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงใช้พระควัมปติให้ไปใช้ฤทธิ์กั้นสายน้ำช่วยพระเณรที่กำลังเดือดร้อน ท่านไปตามพุทธบัญชาแล้วใช้พลังฤทธิ์กั้นสายน้ำไม่ให้ไหลมารบกวนพระเณรอีก อยู่มาวันหนึ่งท่านกำลังนั่งแสดงธรรมให้เทวดาฟัง พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสสรรเสริญท่านว่า
เทวดาและมนุษย์ต่างพากันนอบน้อม พระควัมปติ ผู้ใช้ฤทธิ์ ห้ามแม่น้ำสรภูมิไม่ ให้ไหล พระควัมปติไม่ติดอยู่ในกิเลสและตัณหาใดๆ ไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งสิ้น ล่วงพ้นเครื่องข้องได้ทุกอย่าง เป็นมหามุนี ผู้ขึ้นฝั่งแห่งภพได้

อดีตชาติ-เอตทัคคะ
พระสาวกทั้ง ๔ รูปนี้มิได้ปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะใดๆ ไว้แต่อดีตชาติเช่นเดียวกับพระยสะ เพียงแต่ได้ตั้งจิตปรารถนาเพื่อการเป็นพระมหาสาวกไว้เท่านั้น
ในอรรถกถาธรรมบทและอรรถกถาเถรคาถา (ปรมัตถทีปนี) มีกล่าวถึงเรื่องอดีตชาติของท่านไว้ว่า
คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้าคราวหนึ่ง พระสาวกทั้ง ๔ รูปนั้นได้เกิดร่วมกับพระยสะและเพื่อนอีก ๕๐ คน และได้ ทำความดีร่วมกันไว้โดยได้เที่ยวเก็บศพที่ ไม่มีญาติแล้วนำไปเผาที่ป่าช้าเป็นประจำ ความดีนี้ส่งผลให้ท่านได้อสุภสัญญา (ความสำคัญว่าร่างกายไม่ใช่ของสวย งาม) อันเป็นปัจจัยสำคัญให้ท่านได้ออก บวชและบรรลุอรหัตผลในชาติปัจจุบัน
นอกจากนั้นอรรถกถาเถรคาถา (ปรมัตถทีปนี) ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่อง อดีตชาติของพระควัมปติไว้อีกว่า ท่านได้ พบพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์ด้วยกัน เฉพาะที่ปรากฏพระนามมีอยู่ ๓ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าสิขี พระพุทธเจ้า โกนาคมนะ และพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าสิขีนั้น ท่านเกิด เป็นนายพรานเนื้อ ขณะตระเวนล่าเนื้ออยู่ ในป่าได้พบพระพุทธเจ้าสิขีแล้วเลื่อมใสได้ ทำบุญสำคัญ คือ บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้นานาพรรณ จากชาตินั้นบุญส่งผล ให้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกเป็นเวลานาน ครั้นมาเกิดเป็นมนุษย์อีกท่านก็ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ท่านเวียนว่ายตาย เกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าโกนาคมนะนั้น ท่านให้สร้างฉัตรและให้ยกพื้นขึ้นในพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระ-พุทธเจ้า ภายหลังที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดในครอบครัวเศรษฐี ตระกูลของท่านเลี้ยงวัวไว้หลายฝูงโดยจ้างพวกโคบาลเป็น คนเลี้ยง ส่วนท่านก็รับผิดชอบโดยเที่ยวตรวจดูตามฝูงโคเวลาที่พวกโคบาลต้อนออกไปหากินในทุ่งหญ้า ทุกวันที่ออกไปนั้นท่านได้เห็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง พระอรหันต์รูปนี้หลังจากบิณฑบาตในหมู่บ้าน แล้วก็จะออกมาฉันนอกหมู่บ้าน วันหนึ่งท่านเห็นแล้วเกิดความคิดขึ้นว่าพระคง จะร้อน จึงชวนพวกโคบาลสร้างปะรำมุงด้วยกิ่งซึกถวายพระอรหันต์ พระอรหันต์ได้นั่งฉันภัตตาหารทุกวันในปะรำไม้ซึกนั้น จากชาตินั้นบุญส่งผลให้ท่านไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่บริเวณใกล้ประตูวินานมีไม้ซึกขึ้นเป็นป่าใหญ่ออกดอกสวยงามบานสะพรั่งส่งกลิ่น หอมอบอวลตลอดปี ท่านเวียนว่ายตายเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์อยู่พุทธันดร หนึ่ง จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐี เป็นสหายของพระยสะ ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผลดังกล่าวแล้ว

วาจานุสรณ์
พระสาวกทั้ง ๔ รูปนั้น พบว่ามีอยู่เพียงพระวิมละกับพระสุพาหุเท่านั้นที่ ได้กล่าววาจาแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับการ ปฏิบัติธรรมของท่านไว้ดังนี้
พระวิมละ วันหนึ่งท่านอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัว มีฝนตก หนัก ฟ้าแลบ ลมพัดแรง แต่ท่านหาได้หวาดกลัวไม่ ท่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกขณะนั้นไว้ว่า
ธรณีชุ่มชื้นด้วยน้ำฝน
ลมพัดกิ่งไม้ไหว
สายฟ้าแลบแปลบปลาบ
แต่จิตของเราสิมั่นคง วิตกต่างๆ สงบ

พระสุพาหุ วันหนึ่ง ณ บริเวณที่ท่านพักอยู่มีฝนตกหนัก แต่ท่านไม่หวั่นไหว และได้กล่าวแสดงความรู้สึกขณะนั้นไว้ว่า
ฝนตกอยู่ไม่ขาดสาย
ฟังคล้ายเพลงขับอันไพเราะ
กุฏิของเรามุงไว้มิดชิด
ประตูหน้าต่างปิดสนิทแสนสบาย
ใจของเราหรือก็มั่นคง
ถ้าปรารถนา จงตกลงมาเถิดฝนเอ๋ย

(อ่านต่อฉบับหน้า)

กำลังโหลดความคิดเห็น