xs
xsm
sm
md
lg

ชนะอารมณ์ ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชนะอารมณ์ ตอนที่ 5

ธรรมจากหลวงปู่พุทธอิสระ

เมื่อใจนี้เป็นที่เกิดอารมณ์ อารมณ์ตัวเดียวทำให้เกิดสุข ทุกข์ มากมายอย่างนี้เราก็ต้องมาดูว่า ก่อนอื่นเราจะต้องรู้ก่อนว่าอารมณ์มันจะเข้ามาด้วยวิธีแบบไหน เราควรจะเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆอย่างนี้ว่า ตอนนี้เรามีบ้านอยู่ไหม บ้านเรามีประตูหรือเปล่า มีหน้าต่างไหม ถ้าเกิดฝนตกเราจำทำอย่างไร ไม่ให้เปียกฝน

เรื่องมันง่าย เพียงแค่ปิดประตูหน้าต่าง ฝนมันก็ไม่สาดเข้ามาในบ้าน ใช่ไหม ถ้าเราบอกว่าตอนนี้ เราทุกข์ทรมานเพราะตัวอารมณ์ หลวงปู่เปรียบอารมณ์เป็น ฝน ที่ทำให้เราหมดความสงบ ฝนที่ตกลงมาและพร้อมที่จะสาดรดบุคคลที่อยู่ในบ้าน ถ้าบุคคลๆนั้นเป็นคนฉลาด รู้ว่าฝนตกก็ต้องรีบเข้าไปหลบในบ้านเสียก่อน แล้วก็ปิดประตูหน้าต่างอย่างนี้ฝนจะเปียกเราได้หรือไม่ เมื่อเปรียบฝนเป็นอารมณ์ บ้างก็เปรียบได้เหมือนกับร่าง ส่วนจิตเปรียบเหมือนเจ้าของที่อยู่ในบ้าน

เมื่อฝนแห่งอารมณ์โทสะ อารมณ์โมหะ อารมณ์โลภ โกรธหลง ที่เกิดขึ้น เหล่านี้เป็นฝนทำให้บุคคลต้องทรมานต้องเปียกต้องปอน เป็นของธรรมดา ตามสภาวะของสีแห่งฝนนั้นๆ เช่น ราคะ ก็มีสีฝน กระดำกระด่าง โทสะ ก็มีสีฝน ดำ แล้วก็แดง โมหะ ก็มีสีแห่งความเป็นเปื้อนเขียวและเหลือง สิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็นน้ำฝนที่มีสี สกปรก ถ้าเราเอาตัวเองเข้าไปคลุกคลี ความรู้สึกทุกข์ทรมาน เดือดร้อน ความสกปรกจะเกิดตามมา

ทีนี้เราจะทำอย่างไร ที่จะไม่ให้ตัวเราเปียกฝน เกลือกกลั้วกับสิ่งเหล่านี้ เราก็ต้องคอยปิดประตูรูช่อง อย่าให้ฝนสาดส่อง รดเข้ามา ฉะนั้นเมื่อฝนเป็นอารมณ์ ฝนจะเข้ามาทางไหน ก็เข้ามาทางตา หู จมูก ทางลิ้น ทางกาย ซึ่งเปรียบได้กับประตูหน้าต่าง เมื่อเราเป็นเจ้าของบ้านซึ่งเปรียบได้กับจิต เราจะต้องคอยปิดประตู หน้าต่าง ไม่ให้ฝนแห่งอารมณ์สาดเข้ามา เพราะถ้าเรามัวแต่เปิดประตู เปิดประตูตา เปิดประตูจมูก เปิดประตูลิ้น เปิดประตูกาย เปิดประตูหู ให้ฝนแห่งอารมณ์สาดเข้ามาเปียกบุคคลที่อยู่ในบ้านหรือใจของเรานั้น เราก็จะต้องเศร้าหมอง ทำให้เราแปดเปื้อน เลอะเทอะ ต้องเดือดร้อน ต้องทุรนทุราย ต้องกระวนกระวาย ต้องขวนขวายดิ้นรน คนชนิดนี้จึงต้องตกเป็นทาส

เพราะฉะนั้นหลวงปู่จึงสอนให้พวกเราทั้งหลายพยายามทำตัวปลดปล่อย ปลดอารมณ์ แล้วการปิดประตูหน้าต่างไม่ใช่หมายถึงว่า เดินปิดตา นั่งปิดตา นั่งปิดจมูก นอนปิดปาก หรือปิดหู ความหมายของการปิดก็คือ เมื่อตาเห็นรูป เกิดความรู้สึกก็ใช้ปัญญา พิจารณาที่แท้จริงของรูปที่เห็นแล้ววางเฉย อย่ารับเอาผลแห่งอารมณ์ทางตามาทำใจให้เศร้าหมอง

เมื่อหูฟังเสียงเกิดความรู้สึกก็ใช้ปัญญาพิจารณารู้จริง ให้รู้ตามความเป็นจริง เสร็จแล้วก็วางเฉย อย่ารับเอาผลแห่งเสียงที่ปรากฏเป็นอารมณ์ทางหูเข้ามาทำใจให้เศร้าหมอง เมื่อจมูกได้กลิ่น ก็ใช้ปัญญาพิจารณาจนรู้แจ้งแล้วทำความวางเฉย อย่าเอาฝนแห่งอารมณ์ทางจมูก ทางกลิ่น มาทำให้ใจ ในคนที่อยู่บ้านเราเศร้าหมอง เมื่อลิ้นรับรสเกิดความรู้สึกก็ต้องวางเฉยอย่ารับเอาฝนแหงอารมณ์ทางรส ทำให้ใจเราเศร้าหมอง มาทุกข์ทรมาน เปียกปอนกับฝนที่สาดรดเข้ามา

ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่า เวลานี้ฝนมันเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว ตั้งมาจากบุคคลคนนี้ บุคคลคนนี้จะทำให้เราเปียกฝน ถ้าอย่างนั้นถ้าเห็นหน้า ฝน แล้วก็ต้องทำอย่างไร เรื่องมันไม่ยากก็วิ่งเข้าบ้าน ปิดประตู ทำใจ เตรียมใจ ปกป้องใจเสียก่อน ที่จะไปเจอกับอารมณ์ที่มากับบุคคลเหล่านั้น ทำใจให้มันยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นปกติ ต้านทานสู้กับมันเสีย ไม่ใช้สู้ ที่หลัง หรือมันชักธงรบ เมื่อมันชักธงรบเราก็จะต้องแพ้ไปก่อน

เหตุผลก็เพราะเรามัวรอให้เขาตีหัวก่อน แล้วค่อยตีเขาตอบ พูดอย่างนี้ไม่ได้สอนให้เขาทะเลาะกัน พูดอย่างนี้เพื่อให้เราตั้งท่าเตรียมจะรบกับอารมณ์ที่บุคคลนั้นจะใส่ให้เรา ทำใจเอาไว้เสมอทุกครั้งที่จะต้องไปเห็นหน้ามันว่า นี้เราต้องไปเผชิญกับอารมณ์แห่งความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าความทุกข์เป็นความทรมานต้องระวังใจ เพราะถ้าเรายังมีความหมกหมุ่น มัวเมาใหลหลงอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เราก็ต้องทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น ต้องเพียรพยายามทำใจให้มันเป็นปกติไว้เสมอ บอกกับตัวเองเสมอว่าเวลานี้เราอยู่ใกล้บ่อน้ำที่มีความสกปรก มันจะกระเซ็นมาถูกเรา เมื่อไหร่ก็ได้ ต้องมีสติรับรู้อยู่ตลอดเวลา

เช่นนี้การมีชีวิตอยู่อย่างเป็นผู้ระวังอารมณ์ ระวังไม่ให้ฝนเข้ามาเปียกตัวเอง ไม่ให้สาดเข้ามาทาง หู จมูก ลิ้น ทางกาย ความระวังอย่างนี้เขาเรียกว่า สติ สติมาจาการสร้างเสริมให้เกิดจนเป็นสมาธิ ความตั้งใจ ตั้งใจว่าวันนี้ถ้าเราเจอบุคคลเหล่านั้นที่จะสาดฝนใส่ตัวเรา เราต้องทำความรู้สึกว่าเป็นธรรมดา นั้นเป็นธรรมดาต้องสาดให้เราเกิดความทรมาน เราอยู่อย่างนั้น ไอ้สิ่งที่มันสาดเข้ามาก็เป็นของธรรมดาอีก ถ้ามันหนีไม่ได้ เป็นของธรรมดาว่า เราต้องเตรียมใจสำหรับวางเฉย อยู่เป็นปกติ ถ้าเราเดินไปตามสภาวะ ที่มันสาดเข้ามา นั้นผลประโยชน์ของเราก็ไม่ได้ สุดท้ายเราจะขาดทุน คือเสียประโยชน์แล้ว

ทีนี้ใครได้รับประโยชน์ บุคคลที่ได้รับประโยชน์ก็คือคนที่สาดโคลนใส่เรา กลายเป็นว่าเราสนับสนุนให้เขามีประโยชน์มากว่าเรา อย่างนี้จะถือว่าเราโง่กว่าเขา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราด่าใครสักคน แล้วเขาทำความรู้สึกเฉยๆ เราจะรู้สึกอย่างไร เรื่องมันก็คือเราต้องอกแตกตาย ดีไม่ดีก็หันไปเตะหมูเตะหมาด่าแมว เพราะมันกลุ้มใจ ด่าแล้วไม่รู้เรื่อง ด่าแล้วไม่ยอมเจ็บตามี่เราด่า แต่ถ้าเราทำความรู้สึกในตัวเราว่า คนๆนั้น มันกำลังจะด่าเรา ก็ทำความรู้สึกเฉยๆอย่างนั้น สุดท้ายมันก็จะอกแตกตายไปเอง ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้แช่งให้เขา แต่สุดท้ายมันก็ต้องยอมแพ้โดยปริยาย

เมื่อเรา ทั้งหลายอยู่ ในบ้าน ถ้าฝนตกก็ย่อมปิดประตูหน้าต่าง เพื่อป้องกัน ฝน ลม ไม่ให้สาดเข้ามา การที่พวกเรารู้จักปิดบ้าน ต้องทุกข์ทรมาน เปียกปอนไปด้วย หรือมีความรู้สึกเดือดการ ปิดวาจา ปิดจมูกปิดลิ้น ปิดหู ปิดตา ไม่ให้รับเอาฝนแห่งอารมณ์ เข้ามาทำให้คนที่อาศัยอยู่ในอดร้อนไปด้วย แค่นี้เราก็สามารถปลดปล่อยและค่อยๆวาง ต้องวางอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่แบกในอารมณ์ทั้งหลาย ยึดติดอยู่ในอารมณ์นั้นๆให้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ผู้พันต่อสิ่งทั้งหลายในโลก

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เธอทั้งหลายจงทำใจให้สะอาด สว่าง สงบ เป็นผู้อยู่ในโลกไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆเมื่อไม่ติดในอะไรๆ สุดท้ายก็สามารถอยู่เหนืออารมณ์ เหนือกฎเกณฑ์ เหนือธรรมชาติ เมื่อเป็นผู้อยู่เหนือทุกอย่าง ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างมีอิสระ สุขใจ ทุกสถานที่ แต่อยู่ได้โดยความไม่เป็นทาส เป็นไทย

คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง ที่องค์พระสมเด็จพระศาสดาทรงตรัสว่า เราคือรูป รูปคือเรา และเราก็อยู่เหนือรูป ผู้ชนะอยู่เหนือรูป ชนะทุกสิ่งที่มี แล้วเกิดขึ้นในโลก นั้นก็คือชนะอารมณ์ อารมณ์ความโลภโกรธ หลง ทั้งที่เป็นอดีตและปัจจุบัน จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือแล้วแต่อดีต อารมณ์ที่ชอบ อารมณ์ที่ชัง ทั้งหลายเหล่านี้เราจะชนะได้หมด แล้วก็เราจะมีชีวิตที่เป็นสุขเกิดขึ้น

ติดตามรายการ ธรรมะกับชีวิต ทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 05.00 - 06.00 น.
ทาง คลื่นสามัญประจำบ้าน

www.managerradio.com  

กำลังโหลดความคิดเห็น