xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : กลวิธีดับทุกข์เพราะลูก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงลูกไว้ว่ามีอยู่ ๓ ประเภท คือ อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร และอวชาตบุตร โดยทรงยกเอาศีล ๕ มาเป็นมาตรวัดไว้ ดังนี้
อภิชาตบุตร ลูกที่สูงกว่าตระกูล คือ พ่อแม่ไม่มีศีล ๕ แต่ลูกเป็นผู้มีศีล ๕
อนุชาตบุตร ลูกที่เสมอกับตระกูล คือ พ่อแม่มีศีล ๕ และลูกก็เป็นผู้มีศีล ๕ ด้วย
อวชาตบุตร ลูกที่ต่ำกว่าตระกูล คือ พ่อแม่มีศีล ๕ แต่ลูกไม่มีศีล ๕
ในขัตติยสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ลูกคนใด เป็นลูกที่เชื่อฟัง..ลูกคนนั้นนับว่าเป็นลูกที่ประเสริฐสุดกว่าลูก ทั้งปวง” โดยนัยพระพุทธวจนะ ที่ได้ยกมากล่าวไว้นี้ เป็นเครื่องแสดงว่าพระพุทธองค์ทรงชี้ให้ดูว่าลูกจะดีหรือชั่ว เพราะมีศีล ๕ และการเชื่อฟังพ่อแม่
จากพระสูตรนี้ เราจะเห็นว่ามันช่าง “สวนทาง” กับความ คิดและการกระทำของพ่อแม่ในยุคปัจจุบันเพียงไร พ่อแม่ในยุคปัจจุบันมักมุ่งแต่จะหาเงินไว้ให้ลูก หวังให้ลูกเรียนเก่ง เรียนสูง ทำงานเบา ทำงานมีเกียรติ ได้เงินเดือนสูง ร่ำรวย แต่จะไม่สนใจคุณธรรมในตัวของลูกเลย ผลก็คือพ่อแม่ส่วนมากในยุคนี้ ต้องผิดหวังน้ำตาตก เป็นโรค ประสาท ทั้งที่มีเงินทองเหลือล้น ต้องกับพุทธภาษิตว่า
“คนมีลูก ย่อมเสียใจเพราะลูก... คนมีวัว ก็ย่อมเสียใจ เพราะวัวเหมือนกัน”
เพราะลูกในยุคปัจจุบัน พากันเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” เป็นส่วนมากเสียแล้ว ต้นเหตุก็เกิดจากการ “เลี้ยงลูกไม่ถูกวิธี” นั่นเอง คือมักตามใจลูกในทางผิดๆ เช่น ถนอมลูก ไม่ยอมให้ทำอะไรเลย มีพ่อแม่หรือมีคนรับใช้ทำให้เสร็จ ลูกอยากได้อะไรก็ให้ อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ตามใจ ประเคนให้ ตามใจทุกสิ่ง
ผลหรือ? ลูกก็เลยกลายเป็นลูกเทวดา ปรารถนาอะไร ก็ได้ดั่งใจ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ใช้เงินเก่ง ไม่เห็นคุณ ค่าของเงิน ทำอะไรไม่เป็น ตีนไม่ติดดิน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
ทางที่ถูกนั้น ควรมุ่งปลูกฝังคุณธรรม หรือศีลธรรมลง ในจิตใจของลูกแต่เมื่อยังเล็กอยู่ เพราะเมื่อเด็กมีศีลธรรม หรือคุณธรรมในใจแล้ว ย่อมเป็นลูกที่มีกตัญญูกตเวทีต่อ พ่อแม่ เคารพและเชื่อฟังพ่อแม่ ย่อมทำในสิ่งที่ดีงาม นำความชื่นใจและปลื้มใจมาให้พ่อแม่เมื่อระลึกถึงเขา
แต่ถ้าลูกขาดคุณธรรมแล้ว ถึงจะมีความรู้วิชาชีพสูงก็ เอาตัวไม่รอด แม้พ่อแม่จะมีฐานะร่ำรวย ลูกก็จะผลาญหมด แต่ถ้าลูกเป็นคนดี ถึงฐานะจะยากจนลูกก็สร้างขึ้นมาได้
ถ้าไม่รีบปลูกฝังศีลธรรมลงในตัวของลูกไว้แต่เล็กๆแล้วโอกาสที่ลูกจะเป็นเด็กดีค่อนข้างยาก และจะยิ่งยากมากขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เพราะวิทยาการทางวัตถุ ยิ่งเจริญมากขึ้นเท่าไร จิตใจของคนในโลกก็ยิ่งต่ำลงเห็นแก่ตัวมากขึ้น โหดร้ายมากขึ้น ต้นเหตุที่สำคัญคือ ทุกคนต้องแข่งขันกันมีวัตถุให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมความสุขทางเนื้อหนัง การเอารัดเอาเปรียบกัน ก็ย่อมจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
พ่อแม่ก็ต้องออกไปหาเงินเพื่อให้พอค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โอกาสจะเลี้ยงลูกเองแบบเก่าจึงไม่มีสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกก็ยิ่งจะห่างไกลออกไปทุกที ด้วยเหตุนี้ เพื่อนจึงมีความสำคัญ ที่ลูกมักจะให้ความเชื่อถือมากกว่าพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ที่ดีส่วนมาก มักจะไม่ตามใจลูกในทางที่ผิด เมื่อเห็นลูกทำผิดก็มักจะตักเตือนหรือดุด่า จนถึงเฆี่ยนตี เป็นต้น ตรงกันข้ามกับเพื่อนมีแต่คำหวาน ตามอกตามใจ แม้ในสิ่งที่ผิดๆ ลูกจึงมักจะรักเพื่อนมากกว่า คนเราเมื่อรักกันแล้วก็ย่อมจะต้องถนอมน้ำใจกัน ก็มักจะพยายาม ทำอะไรๆ ตามที่เพื่อนชอบหรือขอร้อง จุดมืดหรือจุดสว่างของลูกจึงอยู่ตรงนี้เอง ถ้าคบกับเพื่อนที่ดีก็เป็นบุญตัว ถ้าคบเพื่อนชั่วก็พาตัวพินาศเสียอนาคต กว่าจะรู้สึกตัว ก็หมดโอกาสเสียแล้ว
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ลูกๆ ไม่ให้ความเคารพหรือเชื่อ ฟังพ่อแม่ ก็เกี่ยวกับการประพฤติตัวของพ่อแม่เอง เช่น
-ไม่ให้ความอบอุ่นกับลูก ถือว่ามีเงินให้ใช้ มีข้าวให้กินอิ่มท้องก็เป็นบุญแล้ว ลืมไปว่าคนเรามีทั้งกายและใจ การให้อาหารก็ควรให้ทั้งอาหารกายและอาหารใจ
-ทำตัวอย่างที่ไม่ดี เช่น ติดเหล้า ติดการพนัน ติดผู้หญิง โกง หากินผิดกฎหมาย หรือเอาเปรียบสังคมฯ
-ถืออารมณ์มากกว่าเหตุผล เมื่อลูกทำผิดเล็กน้อยก็ถือเป็นเรื่องใหญ่โตคอขาดบาดตาย ใช้อารมณ์ ใช้อำนาจ เข้าข่ม ซึ่งจะเอาชนะได้ก็แต่กาย แต่หาได้ชนะจิตใจลูกไม่
-รักลูกตามอารมณ์ คือ ต้องการให้ลูกทำอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ต้องเรียนวิชานั้น ต้องทำงานอย่างนี้ ทำเหมือนลูกไม่มีหัวใจ เหตุเพียงเพราะพ่อหรือแม่ชอบ เป็นต้น
-จู้จี้ขี้บ่น ทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ย่อมไม่ชอบคน จู้จี้ขี้บ่นด้วยกันทั้งนั้น คนฟังมักรำคาญ ส่วนคนบ่นมักไม่ รำคาญ พ่อแม่ที่อยากให้ลูกๆ อยู่ใกล้ชิด ควรจะระวังข้อนี้ไว้ด้วย
-เลี้ยงลูกให้ขี้เกียจ คือ กลัวลูกจะเหนื่อยจะลำบาก เลยทำอะไรๆ แทนเสียหมด ลูกก็เลยทำอะไรไม่เป็น ก็เลย กลายเป็น “เลี้ยงลูกไม่ให้โต”
การเลี้ยงลูกที่ดี ควรใช้หลัก ๔ ขั้น คือ แม่น้ำ,ลูกยอ, กอไผ่ และใส่เตา
-แม่น้ำ คือ เอาน้ำเย็นเข้าปลอบ พูดจาด้วยภาษาดอกไม้ เมื่อลูกรู้ว่ายังมีคนรักและเมตตาเขาด้วยความจริง ใจ ด้วยเหตุผลและความเป็นจริง ไม่ใช้อารมณ์ เขาก็ย่อม จะเชื่อฟังบ้าง
-ลูกยอ คือ ใช้วิธียกย่องชมเชยในสิ่งที่ลูกมีและทำได้ ให้กำลังใจในการทำความดี ถ้าถลำทำชั่วก็ขอให้กลับตัวใหม่ อย่าประณามกันรุนแรง คนเราทำผิดกันได้ เมื่อผิดแล้วก็ต้องยอมรับ และต้องกลับตัวจึงจะถือว่ามีเชื้อของบัณฑิต
-กอไผ่ คือ การใช้เรียวไผ่หวดก้น เมื่อใช้ไม้นวมมาสองขั้นไม่สำเร็จ ก็จะต้องใช้ไม้แข็งกันบ้าง แต่ระวัง.. ต้องตีด้วยเหตุผลและความเป็นจริง อย่าได้เผลอใส่อารมณ์ (โกรธ) บวกเข้าไปเป็นอันขาด ความหวังดีจะกลายเป็นร้าย ไปทันที
-ใส่เตา คือ การเผาหรือฌาปนกิจ เมื่อ ๓ ขั้นไม่สำเร็จ ก็ใช้ไม้สุดท้ายคือ คิดว่า “เขาได้ตายจากเราไปแล้ว” ก็ควร จะเผาเขาไปเลย คือต้อง “ทำใจ” ให้ได้ ถ้าเขาเป็นลูกล้างลูกผลาญ ก็ขอให้จบกันเท่านี้
การทำใจในข้อนี้ ถ้าพ่อแม่มีธรรมะในใจต่ำก็จะทำไม่ได้ เพราะไม่อาจจะตัดใจได้ แต่ถ้าศึกษาธรรมะอย่างถูกวิธีแล้ว จะทำได้ง่ายมาก นั้นคือระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง จะฝืนกฎแห่งกรรมไปหาได้ไม่ แม้แต่พระ พุทธเจ้าเอง ท่านก็ทรงอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมเช่นกัน
การที่เรามีลูกดีระลึกแล้วมีแต่ความชื่นใจและสบายใจ ก็เป็นเพราะผลของกุศลกรรมที่เราทำไว้ได้มาสนองเรา เกิดจากผลของกรรมดี การที่เรามีลูกไม่ดี เกิดมาล้างผลาญ ก่อแต่ความทุกข์ และนำแต่ความเดือดร้อนมาให้ไม่รู้จักสิ้นสุด นั่นก็เป็นเพราะ ผลของอกุศลกรรมของเราเองทำไว้ และกำลังให้ผลเราอยู่...
ควรคิดในแง่ดี และในแง่ของความเป็นจริงว่า เราได้ชด ใช้กรรมเก่าเสียแต่ในบัดนี้ก็เป็นการดีแล้ว จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปเสียที ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องไปใช้เขาอีก คิดได้อย่างนี้ เราก็สบายใจ
เท่าที่เห็นมา มีพ่อแม่เป็นอันมากเลี้ยงลูกไม่ถูกวิธี หรือไม่อาจจะเลี้ยงได้ เพราะมีปู่ย่า ตายาย หรือญาติคอยให้ท้าย ในทางที่ผิดๆ ลูกก็เลยเสียนิสัย ตามใจตัวเองและเห็นแก่ตัวจัด จนไม่อาจจะแก้ไขได้ ก็เป็นกรรมของลูกด้วย
ทางแก้
๑. ความกตัญญูและกตเวที เป็นพื้นฐานของคนดี ควรอบรมหรือปลูกฝังก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด ติดตามด้วยความ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน เสียสละ และมีระเบียบวินัย เป็นต้น
๒. ควรเลี้ยงลูกด้วยเหตุผล อย่าเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์ ตามใจสิ่งที่ถูกขัดใจในสิ่งที่ผิด ยกย่องเมื่อเขาทำดี ตำหนิหรือลงโทษเมื่อเขาทำผิด
๓. หัดให้ลูกเป็นคนรับผิดชอบตัวเอง เช่น หน้าที่ การงาน การเงิน เป็นต้น หัดให้เขาใช้ความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ควรชี้แนะไปเสียทุกสิ่ง
๔. ควร “เลี้ยงลูกให้โต” อย่าพยายาม “เลี้ยงลูกให้เตี้ย” เพราะเราไม่อาจตามเลี้ยงเขาได้จนตลอดชีวิต
๕. คำพูดที่ว่า “จงทำตามฉันสอน แต่อย่าทำตามฉันทำ” ไม่ควรนำมาใช้กับลูก นั่นคือ พ่อแม่ควรเป็นแบบพิมพ์ที่ดี และถูกต้อง ถ้าจำเป็นต้องทำชั่วก็อย่าให้ลูกรู้หรือเห็น เด็กจะเสียกำลังใจในการทำความดี และจะถือเป็นข้ออ้างในการ ทำความชั่ว แม้แต่เรื่องการดื่มสุราหรือการสูบบุหรี่ เป็นต้น
๖. อย่าห้ามลูกไม่ให้ทำอะไร ถ้าสิ่งนั้นไม่ผิด หรือไม่เป็น อันตราย เพราะเด็กย่อมอยากรู้และอยากเห็นเป็นทุนอยู่แล้ว ควรให้เขาได้ช่วยงานเราตามที่เขาชอบบ้าง
๗. ควรรักลูกด้วยพรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ให้ครบทั้ง ๔ ข้อ อย่าแสดงให้ลูกๆเห็นว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน (อคติ)
๘. ควรหาโอกาสพาลูกไปวัด ฟังเทศน์ ฟังธรรม ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตามสมควร โดยเฉพาะก่อนนอน ควรหัดให้ลูกไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา และกราบ ระลึกถึงผู้มีพระคุณ
๙. อย่าลืมว่า เรามีหน้าที่เลี้ยงลูกให้ดีเท่านั้น ถ้าเขาไม่ รักดีก็เป็นกรรมของเขาเอง ทุกคนไม่อาจฝืนกฎแห่งกรรมของตนได้
กำลังโหลดความคิดเห็น