วันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี นับเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งของชาวไทย เพราะเป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่เราชาวไทยทั้งหลายถือว่าเป็นวันแม่แห่งชาติ และเป็นวันที่เราทั้งหลายได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิการชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นล้นพ้น อันหาที่เปรียบมิได้
คำว่า “แม่” เป็นคำพูดที่สั้นๆ แต่ทว่ามีความหมาย ลึกซึ้งยิ่งนัก ลึกซึ้งเกินกว่านักปราชญ์ทั้งหลายจะบรรยายให้จบสิ้นได้ เพราะแม่นั้นเป็นผู้ที่มีอุปการคุณต่อบุตรและธิดา อันยากยิ่งที่หาผู้ใดเสมอเหมือนได้ พระคุณของแม่นั้นมีมากมายมหาศาลนัก มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า และมากกว่าหยดน้ำในมหาสมุทร ความรักที่แม่มีต่อลูกนั้นก็หนักแน่นดุจแผ่นดิน
ด้วยเหตุนี้ ในกถาว่าด้วยการบำรุงมารดาบิดา ในคัมภีร์มังคลัตถทีปนี อันแสดงเนื้อความแห่งมงคลสูตร ท่านจึงกล่าวว่า “สตรีผู้ยังบุตรให้เกิด ชื่อว่ามารดา บุรุษ ผู้ยังบุตรให้เกิด ชื่อว่าบิดา บรรดาบิดามารดาเหล่านั้น มารดาเท่านั้นเป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ยาก”
ที่ท่านกล่าวไว้ว่า “มารดาเท่านั้น เป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ ยาก” เพราะนับตั้งแต่ลูกถือปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา มารดาย่อมเอาใจใส่ดูแลครรภ์เป็นอย่างดี ถามถึงฤกษ์ ฤดูกาล และปีที่ลูกจะเกิดมา บำรุงรักษาทารกผู้อยู่ใน ครรภ์ให้มีสุขภาพดี จวบจนกระทั่งคลอดออกมา มารดาย่อมปลอบโยนลูกผู้ร้องไห้ด้วยน้ำนม ด้วยการขับกล่อมด้วยเสียงเพลงและถ้อยคำอันอ่อนหวาน กอดถนอมลูกไว้แนบอก เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ได้ให้การศึกษาเล่าเรียน ทรัพย์สินสิ่งของอันมีค่าใดๆของมารดาที่มีอยู่ และทรัพย์สินใดๆของบิดาที่มีอยู่ มารดาย่อมคุ้มครองทรัพย์ ทั้งสองนั้นเพื่อลูกนั่นเอง เมื่อลูกเจริญวัยใหญ่กล้า มารดาย่อมประหวั่นพรั่นใจว่า ลูกจะประพฤติตนเหลวไหลหมกมุ่นอยู่ในสิ่งไม่พึงควร ไม่กลับมาบ้านในเวลาเย็น หรือเวลาค่ำคืน ย่อมเดือดร้อนใจด้วยประการฉะนี้
แต่คราวใดที่ลูกประพฤติตัวดี ไม่เหลวไหลในเรื่อง ไร้สาระ ครานั้นมารดาย่อมปลอดโปร่งโล่งใจ ปลื้มใจในความประพฤติของลูก ฉะนั้นหัวอกของคนเป็นมารดาหรือ แม่จึงเป็นภาวะที่ต้องหวานอมขมกลืนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความสุขและทุกข์โดยส่วนเดียว แต่จะมีทั้งสุขและ ทุกข์ควบคู่กันไป เพราะความรักและห่วงใยในลูกรัก
ลูกคนใดที่ทำให้แม่เบาใจ ปลอดโปร่งใจ และปลื้มปีติใจ เพราะความประพฤติอันดีงาม ลูกคนนั้นนั่นแหละย่อมได้ชื่อว่า ลูกที่ดีและเป็นลูกที่น่ารักอย่างแท้จริง ซึ่ง ก็หาได้ยากยิ่งนัก
ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอถือโอกาสนี้เสนอเรื่องราวสุดยอดของแม่ในครั้งพุทธกาล ที่โลกไม่อาจลืมได้เลย คือ
๑. พระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ ราชวงศ์ศากยะแห่งเมืองกบิลพัสดุ์ พระนางทรง เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะและพระนางยโสธรา ราชวงศ์โกสิยะ แห่งเมืองเทวทหนคร พระนางได้ประสูติพระราชโอรส ณ ป่าลุมพินีอันตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหนคร ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี
เมื่อพระนางสิริมหามายา ประสูติพระราชโอรสได้ ๗ วัน ก็สิ้นพระชนม์ลง แม้ว่าพระนางจะไม่มีโอกาสได้ ทรงเลี้ยงพระราชโอรสดังที่แม่ทั้งหลายพึงปฏิบัติก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับนับถือว่า
พระนางได้ประทานมหาบุรุษให้แก่ชาวโลกทั้งมวล เพราะพระราชโอรสของพระนางทรงพระนามว่า “สิทธัตถะ”นั้น ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนามาจนตราบเท่าทุกวันนี้
๒. พระนางปชาบดีโคตมี ทรงเป็นพระกนิษฐาภคินี (น้องสาว) ของพระนางสิริมหามายา และทรงเป็นพระชายาของพระเจ้าสุท โธทนะ พระนางมีราชบุตรพระองค์ หนึ่งทรงพระนามว่า “นันทกุมาร” มีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “รูปนันทา”
เมื่อพระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ลง ในขณะที่ เจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุเพียง ๗ วัน พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบเจ้าชายสิทธัตถะให้พระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระมาตุจฉา (แม่น้า) เป็นผู้ทรงเลี้ยงดู
แม้ว่าพระนางปชาบดีโคตมีจะทรงมีพระโอรสและ พระธิดาของพระองค์เองก็จริง แต่มิได้ทำให้พระนางตั้งข้อรังเกียจในการที่จะทรงเลี้ยงดูอภิบาลพระราชกุมาร สิทธัตถะแม้แต่น้อย แต่กลับให้ความรักความเมตตา เสมือนหนึ่งเป็นพระราชโอรสอันเกิดจากพระอุระแห่งพระ องค์เองทีเดียว แม้เจ้าชายสิทธัตถะเองก็ทรงมีความรักความเคารพและผูกพันต่อพระนางปชาบดีโคตมี ดุจพระราชมารดาของพระ องค์เช่นกัน
พระนางปชาบดีโคตมี ทรงชื่นชมโสมนัสเมื่อเจ้าชาย สิทธัตถะอภิเษกสมรสกับ พระนางยโสธรา พระราชธิดาในพระเจ้าสุปปพุทธและพระนางอมิตา แห่งเมืองเทวทหนคร เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา อันเป็นเครื่องผูก มัดพระทหัยของเจ้าชายสิทธัตถะไม่ให้ทรงคิดออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม
แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชน มายุได้ ๒๙ พรรษา ทรงมีพระโอรส ประสูติแต่พระนางยโสธราพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “ราหุลกุมาร” พระองค์ก็เสด็จออกจากพระราชวัง ในยามราตรีดึกสงัดราตรีหนึ่ง เพื่อออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม ทั้งนี้เพื่อจะถ่ายถอนความทุกข์ยากที่มวลมนุษยชาติผจญกันอยู่ให้จงได้ และ ๖ ปีให้หลังพระองค์ ก็ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้เสด็จออกจาริกแสวงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ และก่อตั้งพระพุทธศาสนา ตามพุทธปณิธานทุกประการ
ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จโปรดพระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุทโธทนะและพระประยุรญาติทั้งหลายทั้งปวง พระนางปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉาก็ได้สดับธรรม เทศนาของพระพุทธองค์จนเข้าถึงซึ่งสัจธรรม และเมื่อพระนันทกุมาร พระราชบุตรของพระนางได้ออกผนวช รวมทั้งพระประยุรญาติทั้งหลายได้ออกบวชเป็นอันมาก พระนางจึงทูลขอต่อพระพุทธเจ้าขอได้โปรดประทานให้ สตรีได้มีโอกาสบวชเป็นพระภิกษุณีด้วยเถิด
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงรับฟังการร้องขอจากพระนางปชาบดีโคตมีผู้เป็นพระมาตุจฉานั้น พระองค์ทรงนิ่งเสีย มิได้ตรัสถ้อยคำใดๆเลย แม้จะได้รับการรบเร้าจากพระนางปชาบดีโคตมีครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดพระพุทธองค์ จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ไปสู่เมืองเวสาลี เพื่อหลีกเลี่ยงคำ ร้องขอของพระนางปชาบดีโคตมี
เมื่อเหตุการณ์ผันแปรไปอย่างนี้ คือไม่เป็นไปตาม ที่พระนางร้องขอ แต่พระนางเองก็ทรงตัดสินพระทัยเด็ด ขาดแล้ว สละเพศฆราวาส นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด พร้อมทั้งโกนพระเกศา ถือเพศเป็นบรรพชิต แล้วเสด็จไปเฝ้า พระพุทธเจ้ายังเมืองเวสาลี พระนางมีพระวรกายซูบผอม ผิวคล้ำเกรียม เพราะต้องเดินมานานวัน ขณะที่จะเข้า ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระวิหารนั้น พระอานนท์พุทธอนุชา ผู้ถวายงานอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ก็ออกมาพบพระนาง ปชาบดีโคตมีโดยบังเอิญ และเมื่อทราบความประสงค์ ของพระนางปชาบดีโคตมีแล้ว พระอานนท์ก็เข้าไปเฝ้ากราบทูลขอให้พระ องค์ทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมีได้บวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระอานนท์ถึงการที่พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะให้พระนางปชาบดีบวช เพราะถ้าทรงอนุญาตให้พระนางบวชได้ สตรีอื่นๆก็ต้องขอบวช อนึ่งนั้นเล่า สตรีเป็นมลทินแห่งพรหมจรรย์ เมื่อภิกษุ ภิกษุณี ใกล้ชิดกัน ความเสื่อมแห่งพรหมจรรย์และพระศาสนา ย่อมเกิดขึ้นได้
พระอานนท์แม้จะเข้าใจในพระดำรัสนั้น แต่ก็มีใจเห็นใจในความอุตสาหะของพระนางปชาบดี ทรงทูลขอ อนุญาตต่อพระศาสดา โดยการอ้างถึงเมื่อพระพุทธองค์ ยังทรงพระเยาว์ มีพระชนม์ได้ ๗ วัน พระราชมารดาสิ้นพระชนม์ลง ก็ได้พระนางปชาบดีโคตมีพระองค์นี้ทรง เป็นผู้เลี้ยงดูพระองค์มาดุจพระราชโอรสของพระนางเองทีเดียว จึงขอได้โปรดอนุญาตให้พระนางได้บวชด้วยเถิด
ครั้นแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมีบวชเป็นภิกษุณีได้ตามที่ขอ ซึ่งพระอานนท์ก็ ได้บอกความนั้นแก่พระนางปชาบดีโคตมี
ฉะนั้นพระนางปชาบดีโคตมี จึงนับเป็นสตรีคนแรก ที่ได้บวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะกล่าว อีกอย่างหนึ่งว่าพระนางปชาบดีโคตมีทรงเป็น“พระมารดาแห่งภิกษุณี” ก็เห็นจะได้กระมัง
การณ์ที่เป็นไปได้เพียงนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความเป็น “แม่” แม้จะไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิด เป็นเพียงแม่ เลี้ยงที่มีน้ำใจรักและเมตตาต่อเด็ก เสมือนลูกที่เกิดจากอกของตน ยังมีผลสำเร็จถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นลูกตน แม่จะได้รับผลานิสงส์มากมายสักเพียงใด
ส่วนพระนันทกุมาร ซึ่งเป็นพระโอรสของพระนางปชาบดีโคตมี ได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว และพระนางรูปนันทา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระนางปชาบดีโคตมี ก็ได้ออกบวชพร้อมกับศากยนารีทั้งหลายและสตรีในตระ กูลอื่นๆ และได้บรรลุพระอรหันต์เช่นกัน
เพราะฉะนั้น พระนางปชาบดีโคตมีจึงนับว่า “เป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง” เพราะเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของพระพุทธเจ้า และเป็นพระ มารดาของพระโอรสและพระราชธิดา ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงเป็นพระมารดาหรือพระแม่ที่เป็นพระอรหันต์อีกด้วย
๓. พระนางยโสธรา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นนับได้ว่าเป็นสตรีที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง เพราะนับตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชแล้ว พระนางก็มิได้ทรงย่อท้อต่อชีวิต แม้ว่าจะเป็นสตรีที่ผู้คนทั้งหลายมองว่าเป็นสตรีหม้าย พระนางก็ไม่เคยแสดงออกถึงความน้อยพระทัยหรือความท้อแท้เหนื่อยหน่ายต่อชีวิต พระกรณียกิจที่สำคัญคือการที่ทรงดูแลเลี้ยงดูและทรง ให้การอบรมพระนิสัยแก่พระโอรสน้อยนามว่าราหุลอย่างใจจดใจจ่อ และด้วยความใกล้ชิด
ชีวิตครั้งหนึ่งเคยประทับอยู่ในปราสาทพระราชวังอันโอ่อ่า แต่เมื่อไร้พระบิดาของราหุลแล้ว พระนางก็ขอ ปลีกพระองค์มาประทับในเรือนธรรมดา ฉลองพระองค์ ก็ทรงใช้ผ้าอาภรณ์ที่ปุถุชนโดยทั่วงไปใช้สอยกัน ทั้งนี้ มิใช่การทอดอาลัยในชีวิต แต่เป็นการประพฤติอนุวัตร ตามพระสิทธัตถะ ผู้ออกบวชแสวงหาโมกขธรรม พระเกศาที่ดกดำเป็นเงางามก็ถูกปลงลงหมดสิ้น ในยามที่สดับว่าพระสิทธัตถะกุมารประพฤติปฏิบัติธรรมโดยประการใด เช่นมีการอดพระกระยาหาร เป็นต้น พระนางก็ทรงอดพระกระยาหารไปด้วย ทรงปลื้มปีติพระทัยเมื่อ ได้สดับข่าวว่า พระสิท ธัตถะทรงบรรลุธรรมและรอคอย วันที่พระสิทธัตถพุทธะจะเสด็จมาเยือน
ทำไมพระนางยโสธราจึงมีจิตใจที่มั่นคงต่อเจ้าชายสิทธัตถะถึงปานนั้น ถ้าจะมองย้อนหลังไปในอดีตชาติ คือชาติสุดท้ายที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร และพระนาง ยโสธรานั้นก็เป็นพระนางมัทรี ที่มีพระทัยรักมั่นคงในพระเวสสันดรตลอดเวลา ไม่ว่าจะต้องตกทุกข์ได้ยากขนาดไหน พระนางไม่เคยคิดแค้นเคืองพระเวสสันดรเลย แม้ว่าพระเวสสันดรได้ยกชาลี-กัณหา สองพระพี่น้อง อันเป็นพระโอรสและพระธิดาของพระองค์ให้แก่ชูชก
ความรัก ความเคารพ ความผูกพันนั้น มิได้หายไป ไหน แต่ก่อรูปเป็นนามธรรมฝังลึกลงในจิต ติดตามข้าม ภพข้ามชาติ อันเป็นการยืนยันถึงหลักกรรมในพระพุทธศาสนาว่า กรรมนั้นมีจริง ให้ผลได้จริง และนี่คือคำตอบ ว่าทำไมพระนางยโสธราจึงมีจิตมั่นคงในพระสิทธัตถพุทธะยิ่งนัก
ก็เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา และพระประยูรญาตินั้น พระนางมิได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธ เจ้าเลย ทรงรอให้พระพุทธองค์เสด็จมาสู่ที่พำนักของตน “ถ้าพระองค์ไม่เสด็จมา เราก็ไม่ไปหา” นั้นเป็นความคิดของสตรีที่ต้องของอนไว้ก่อน
แต่ก็ได้ผล เพราะหลังจากแสดงธรรมในกรุงกบิลพัสดุ์ ๒-๓ ครั้งไม่ปรากฏว่ามีพระนางยโสธราอยู่ในแวดวงพระประยูรญาติ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปยังที่พำนักของ พระนางพร้อมด้วยพระพุทธบิดา
พระนางยโสธราทอดพระเนตรเห็นพระพุทธองค์ จึงมิอาจจะดำรงสติให้มั่นคงได้ เสด็จเข้าไปเฝ้าแทบพระบาท ทรงพระกันแสงจนพระอัสสุชนนองพระพักตร์ พระพุทธองค์ทรงประทับนิ่ง มิได้ตรัสถ้อยคำใดๆ ทรงปล่อยให้พระนางกันแสง จนกว่าจะทรงพอพระทัย จนพระเจ้าสุทโธทนะตรัสเตือนว่า สิทธัตถะนั้นเป็นนักบวชแล้ว พระนางจึงได้สติจากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา จนพระนางได้เข้าถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแล้ว
ต่อมา พระนางยโสธราได้ทรงแนะนำให้พระราหุลกุมารรู้จักพระพุทธเจ้า และสอนให้ทูลขอราชสมบัติจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระราหุลกุมารว่า สมบัติอื่นใดย่อมมีความเสื่อมสิ้นไปไม่คงทนถาวร เราจะให้อริยทรัพย์แก่เธอดังนี้ แล้วมอบราหุลกุมารนั้นให้ พระสารีบุตรบวชเป็นสามเณร และเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๗ ขวบ (เป็นต้นบัญญัติว่า ผู้จะเป็นสามเณรได้ต้องมีอายุตั้งแต่ ๗ ขวบขึ้นไป) และได้อุปสมบทเมื่อพระชนมายุ ๒๐ ชันษา ได้บรรลุอรหันต์ในเวลาต่อมา
พระนางยโสธรานับได้ว่าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดแก่อภิชาตบุตรโดยแท้ เพราะมีโอรสเป็นพระอรหันต์
๔. นางวิสาขา ยอดมหาอุบาสิกา ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดมหาอุบาสิกาผู้บำรุงพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา นางวิสาขาเป็นธิดาของธนญชัยเศรษฐี แห่งเมืองสาเกต นางเป็นคนเฉลียวฉลาดมาก ได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาและบรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ
ต่อมาเมื่อเจริญวัยเป็นหญิงสาว เพียบพร้อมด้วยความงามเบญจกัลยาณี คือมี ผมงาม เนื้องาม กระดูกงาม ผิวงาม วัยงาม และได้แต่งงานกับปุณณวัฒนกุมาร ซึ่งเป็นบุตรมิคารเศรษฐีในเมืองสาวัตถี
มิคารเศรษฐีนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสในพวกนักบวชเปลือยหรือพวกอเจลกะ มักจะทำการสักการะแก่พวกอเจลกะเป็นนิจ เศรษฐีจึงให้นางวิสาขาไปไหว้นักบวชพวกนั้น แต่นางวิสาขาไม่ยอมออกไปไหว้พร้อมกับตำหนิว่า นักบวชพวกนั้นไม่มีหิริโอตตัปปะ นักบวชเปลือยเป็นภาพที่สตรีไม่พึงเห็น เศรษฐีไม่พอใจและได้มีปากเสียงกับนางวิสาขาหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องเศรษฐีเป็นฝ่ายผิดตลอด
วันหนึ่งนางวิสาขานิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ หมู่ใหญ่มาฉันภัตตาหารในบ้าน แล้วเชิญมิคารเศรษฐีพ่อผัวมาฝังพระธรรมเทศนา พวกอเจลกะไม่ยอมให้เศรษฐีเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถ้าจะฟังธรรมต้องเอาฝ้าม่านกั้นไว้ไม่ให้เห็นพระพุทธเจ้า
ครั้นเวลาแสดงธรรมพระพุทธเจ้าทรงเทศนาธรรมไปตามอัธยาศัย มิคารเศรษฐีได้บรรลุโสดาปัตติผล ยกผ้าม่านขึ้นแล้วคลานไปถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่าตนได้ตรัสรู้ธรรมเพราะอาศัยหญิงสะใภ้วิสาขาผู้นี้ และขอเป็นบุตรของนางวิสาขาโดยยกให้นางวิสาขาเป็นแม่ เพราะฉะนั้นเวลาที่นางวิสาขามีบุตรคนแรก นางจึงตั้งชื่อว่า มิคารกุมาร และนางเองก็ได้ชื่อว่า “วิสาขามิคารมารดา”
นางวิสาขามีบุตร ๑๐ คน และมีบุตรี ๑๐ คน รวมเป็น ๒๐ คน แต่ละคนมีลูกหลานเหลนรวมแล้วหลายพันคน ทุกคนเป็นลูกหลานเหลนที่ดี ไม่มีใครทำให้วงศ์ตระกูลเสียหายเลย นางวิสาขามีอายุยืน ๑๒๐ ปี ได้สร้างโลหะปราสาทถวายในพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นแห่งแรกของโลก
นางวิสาขาย่อมได้ชื่อว่าเป็นยอดของแม่คนหนึ่ง เพราะไม่เพียงอบรมลูกหลานเหลนให้เป็นคนดีเท่านั้น แต่ยังทำให้คนพาลอย่างพ่อผัวคือมิคารเศรษฐี ได้รับรสแห่งธรรมในพระพุทธศาสนา และยอมตนเป็นลูกนางวิสาขา ก็เท่ากับว่านางวิสาขาทำให้พ่อผัวนั้นเกิดในทางธรรม มีธรรมเป็นโภชนาหารหล่อเลี้ยงจิตใจนั่นเอง
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวสุดยอดของแม่ในครั้งพุทธกาลที่เรารู้จักกันดีมากว่า 2,500 ปีแล้ว
คำว่า “แม่” เป็นคำพูดที่สั้นๆ แต่ทว่ามีความหมาย ลึกซึ้งยิ่งนัก ลึกซึ้งเกินกว่านักปราชญ์ทั้งหลายจะบรรยายให้จบสิ้นได้ เพราะแม่นั้นเป็นผู้ที่มีอุปการคุณต่อบุตรและธิดา อันยากยิ่งที่หาผู้ใดเสมอเหมือนได้ พระคุณของแม่นั้นมีมากมายมหาศาลนัก มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า และมากกว่าหยดน้ำในมหาสมุทร ความรักที่แม่มีต่อลูกนั้นก็หนักแน่นดุจแผ่นดิน
ด้วยเหตุนี้ ในกถาว่าด้วยการบำรุงมารดาบิดา ในคัมภีร์มังคลัตถทีปนี อันแสดงเนื้อความแห่งมงคลสูตร ท่านจึงกล่าวว่า “สตรีผู้ยังบุตรให้เกิด ชื่อว่ามารดา บุรุษ ผู้ยังบุตรให้เกิด ชื่อว่าบิดา บรรดาบิดามารดาเหล่านั้น มารดาเท่านั้นเป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ยาก”
ที่ท่านกล่าวไว้ว่า “มารดาเท่านั้น เป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ ยาก” เพราะนับตั้งแต่ลูกถือปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา มารดาย่อมเอาใจใส่ดูแลครรภ์เป็นอย่างดี ถามถึงฤกษ์ ฤดูกาล และปีที่ลูกจะเกิดมา บำรุงรักษาทารกผู้อยู่ใน ครรภ์ให้มีสุขภาพดี จวบจนกระทั่งคลอดออกมา มารดาย่อมปลอบโยนลูกผู้ร้องไห้ด้วยน้ำนม ด้วยการขับกล่อมด้วยเสียงเพลงและถ้อยคำอันอ่อนหวาน กอดถนอมลูกไว้แนบอก เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ได้ให้การศึกษาเล่าเรียน ทรัพย์สินสิ่งของอันมีค่าใดๆของมารดาที่มีอยู่ และทรัพย์สินใดๆของบิดาที่มีอยู่ มารดาย่อมคุ้มครองทรัพย์ ทั้งสองนั้นเพื่อลูกนั่นเอง เมื่อลูกเจริญวัยใหญ่กล้า มารดาย่อมประหวั่นพรั่นใจว่า ลูกจะประพฤติตนเหลวไหลหมกมุ่นอยู่ในสิ่งไม่พึงควร ไม่กลับมาบ้านในเวลาเย็น หรือเวลาค่ำคืน ย่อมเดือดร้อนใจด้วยประการฉะนี้
แต่คราวใดที่ลูกประพฤติตัวดี ไม่เหลวไหลในเรื่อง ไร้สาระ ครานั้นมารดาย่อมปลอดโปร่งโล่งใจ ปลื้มใจในความประพฤติของลูก ฉะนั้นหัวอกของคนเป็นมารดาหรือ แม่จึงเป็นภาวะที่ต้องหวานอมขมกลืนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความสุขและทุกข์โดยส่วนเดียว แต่จะมีทั้งสุขและ ทุกข์ควบคู่กันไป เพราะความรักและห่วงใยในลูกรัก
ลูกคนใดที่ทำให้แม่เบาใจ ปลอดโปร่งใจ และปลื้มปีติใจ เพราะความประพฤติอันดีงาม ลูกคนนั้นนั่นแหละย่อมได้ชื่อว่า ลูกที่ดีและเป็นลูกที่น่ารักอย่างแท้จริง ซึ่ง ก็หาได้ยากยิ่งนัก
ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอถือโอกาสนี้เสนอเรื่องราวสุดยอดของแม่ในครั้งพุทธกาล ที่โลกไม่อาจลืมได้เลย คือ
๑. พระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ ราชวงศ์ศากยะแห่งเมืองกบิลพัสดุ์ พระนางทรง เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะและพระนางยโสธรา ราชวงศ์โกสิยะ แห่งเมืองเทวทหนคร พระนางได้ประสูติพระราชโอรส ณ ป่าลุมพินีอันตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหนคร ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี
เมื่อพระนางสิริมหามายา ประสูติพระราชโอรสได้ ๗ วัน ก็สิ้นพระชนม์ลง แม้ว่าพระนางจะไม่มีโอกาสได้ ทรงเลี้ยงพระราชโอรสดังที่แม่ทั้งหลายพึงปฏิบัติก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับนับถือว่า
พระนางได้ประทานมหาบุรุษให้แก่ชาวโลกทั้งมวล เพราะพระราชโอรสของพระนางทรงพระนามว่า “สิทธัตถะ”นั้น ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนามาจนตราบเท่าทุกวันนี้
๒. พระนางปชาบดีโคตมี ทรงเป็นพระกนิษฐาภคินี (น้องสาว) ของพระนางสิริมหามายา และทรงเป็นพระชายาของพระเจ้าสุท โธทนะ พระนางมีราชบุตรพระองค์ หนึ่งทรงพระนามว่า “นันทกุมาร” มีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “รูปนันทา”
เมื่อพระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ลง ในขณะที่ เจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุเพียง ๗ วัน พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบเจ้าชายสิทธัตถะให้พระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระมาตุจฉา (แม่น้า) เป็นผู้ทรงเลี้ยงดู
แม้ว่าพระนางปชาบดีโคตมีจะทรงมีพระโอรสและ พระธิดาของพระองค์เองก็จริง แต่มิได้ทำให้พระนางตั้งข้อรังเกียจในการที่จะทรงเลี้ยงดูอภิบาลพระราชกุมาร สิทธัตถะแม้แต่น้อย แต่กลับให้ความรักความเมตตา เสมือนหนึ่งเป็นพระราชโอรสอันเกิดจากพระอุระแห่งพระ องค์เองทีเดียว แม้เจ้าชายสิทธัตถะเองก็ทรงมีความรักความเคารพและผูกพันต่อพระนางปชาบดีโคตมี ดุจพระราชมารดาของพระ องค์เช่นกัน
พระนางปชาบดีโคตมี ทรงชื่นชมโสมนัสเมื่อเจ้าชาย สิทธัตถะอภิเษกสมรสกับ พระนางยโสธรา พระราชธิดาในพระเจ้าสุปปพุทธและพระนางอมิตา แห่งเมืองเทวทหนคร เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา อันเป็นเครื่องผูก มัดพระทหัยของเจ้าชายสิทธัตถะไม่ให้ทรงคิดออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม
แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชน มายุได้ ๒๙ พรรษา ทรงมีพระโอรส ประสูติแต่พระนางยโสธราพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “ราหุลกุมาร” พระองค์ก็เสด็จออกจากพระราชวัง ในยามราตรีดึกสงัดราตรีหนึ่ง เพื่อออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม ทั้งนี้เพื่อจะถ่ายถอนความทุกข์ยากที่มวลมนุษยชาติผจญกันอยู่ให้จงได้ และ ๖ ปีให้หลังพระองค์ ก็ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้เสด็จออกจาริกแสวงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ และก่อตั้งพระพุทธศาสนา ตามพุทธปณิธานทุกประการ
ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จโปรดพระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุทโธทนะและพระประยุรญาติทั้งหลายทั้งปวง พระนางปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉาก็ได้สดับธรรม เทศนาของพระพุทธองค์จนเข้าถึงซึ่งสัจธรรม และเมื่อพระนันทกุมาร พระราชบุตรของพระนางได้ออกผนวช รวมทั้งพระประยุรญาติทั้งหลายได้ออกบวชเป็นอันมาก พระนางจึงทูลขอต่อพระพุทธเจ้าขอได้โปรดประทานให้ สตรีได้มีโอกาสบวชเป็นพระภิกษุณีด้วยเถิด
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงรับฟังการร้องขอจากพระนางปชาบดีโคตมีผู้เป็นพระมาตุจฉานั้น พระองค์ทรงนิ่งเสีย มิได้ตรัสถ้อยคำใดๆเลย แม้จะได้รับการรบเร้าจากพระนางปชาบดีโคตมีครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดพระพุทธองค์ จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ไปสู่เมืองเวสาลี เพื่อหลีกเลี่ยงคำ ร้องขอของพระนางปชาบดีโคตมี
เมื่อเหตุการณ์ผันแปรไปอย่างนี้ คือไม่เป็นไปตาม ที่พระนางร้องขอ แต่พระนางเองก็ทรงตัดสินพระทัยเด็ด ขาดแล้ว สละเพศฆราวาส นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด พร้อมทั้งโกนพระเกศา ถือเพศเป็นบรรพชิต แล้วเสด็จไปเฝ้า พระพุทธเจ้ายังเมืองเวสาลี พระนางมีพระวรกายซูบผอม ผิวคล้ำเกรียม เพราะต้องเดินมานานวัน ขณะที่จะเข้า ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระวิหารนั้น พระอานนท์พุทธอนุชา ผู้ถวายงานอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ก็ออกมาพบพระนาง ปชาบดีโคตมีโดยบังเอิญ และเมื่อทราบความประสงค์ ของพระนางปชาบดีโคตมีแล้ว พระอานนท์ก็เข้าไปเฝ้ากราบทูลขอให้พระ องค์ทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมีได้บวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระอานนท์ถึงการที่พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะให้พระนางปชาบดีบวช เพราะถ้าทรงอนุญาตให้พระนางบวชได้ สตรีอื่นๆก็ต้องขอบวช อนึ่งนั้นเล่า สตรีเป็นมลทินแห่งพรหมจรรย์ เมื่อภิกษุ ภิกษุณี ใกล้ชิดกัน ความเสื่อมแห่งพรหมจรรย์และพระศาสนา ย่อมเกิดขึ้นได้
พระอานนท์แม้จะเข้าใจในพระดำรัสนั้น แต่ก็มีใจเห็นใจในความอุตสาหะของพระนางปชาบดี ทรงทูลขอ อนุญาตต่อพระศาสดา โดยการอ้างถึงเมื่อพระพุทธองค์ ยังทรงพระเยาว์ มีพระชนม์ได้ ๗ วัน พระราชมารดาสิ้นพระชนม์ลง ก็ได้พระนางปชาบดีโคตมีพระองค์นี้ทรง เป็นผู้เลี้ยงดูพระองค์มาดุจพระราชโอรสของพระนางเองทีเดียว จึงขอได้โปรดอนุญาตให้พระนางได้บวชด้วยเถิด
ครั้นแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมีบวชเป็นภิกษุณีได้ตามที่ขอ ซึ่งพระอานนท์ก็ ได้บอกความนั้นแก่พระนางปชาบดีโคตมี
ฉะนั้นพระนางปชาบดีโคตมี จึงนับเป็นสตรีคนแรก ที่ได้บวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะกล่าว อีกอย่างหนึ่งว่าพระนางปชาบดีโคตมีทรงเป็น“พระมารดาแห่งภิกษุณี” ก็เห็นจะได้กระมัง
การณ์ที่เป็นไปได้เพียงนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความเป็น “แม่” แม้จะไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิด เป็นเพียงแม่ เลี้ยงที่มีน้ำใจรักและเมตตาต่อเด็ก เสมือนลูกที่เกิดจากอกของตน ยังมีผลสำเร็จถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นลูกตน แม่จะได้รับผลานิสงส์มากมายสักเพียงใด
ส่วนพระนันทกุมาร ซึ่งเป็นพระโอรสของพระนางปชาบดีโคตมี ได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว และพระนางรูปนันทา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระนางปชาบดีโคตมี ก็ได้ออกบวชพร้อมกับศากยนารีทั้งหลายและสตรีในตระ กูลอื่นๆ และได้บรรลุพระอรหันต์เช่นกัน
เพราะฉะนั้น พระนางปชาบดีโคตมีจึงนับว่า “เป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง” เพราะเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของพระพุทธเจ้า และเป็นพระ มารดาของพระโอรสและพระราชธิดา ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงเป็นพระมารดาหรือพระแม่ที่เป็นพระอรหันต์อีกด้วย
๓. พระนางยโสธรา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นนับได้ว่าเป็นสตรีที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง เพราะนับตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชแล้ว พระนางก็มิได้ทรงย่อท้อต่อชีวิต แม้ว่าจะเป็นสตรีที่ผู้คนทั้งหลายมองว่าเป็นสตรีหม้าย พระนางก็ไม่เคยแสดงออกถึงความน้อยพระทัยหรือความท้อแท้เหนื่อยหน่ายต่อชีวิต พระกรณียกิจที่สำคัญคือการที่ทรงดูแลเลี้ยงดูและทรง ให้การอบรมพระนิสัยแก่พระโอรสน้อยนามว่าราหุลอย่างใจจดใจจ่อ และด้วยความใกล้ชิด
ชีวิตครั้งหนึ่งเคยประทับอยู่ในปราสาทพระราชวังอันโอ่อ่า แต่เมื่อไร้พระบิดาของราหุลแล้ว พระนางก็ขอ ปลีกพระองค์มาประทับในเรือนธรรมดา ฉลองพระองค์ ก็ทรงใช้ผ้าอาภรณ์ที่ปุถุชนโดยทั่วงไปใช้สอยกัน ทั้งนี้ มิใช่การทอดอาลัยในชีวิต แต่เป็นการประพฤติอนุวัตร ตามพระสิทธัตถะ ผู้ออกบวชแสวงหาโมกขธรรม พระเกศาที่ดกดำเป็นเงางามก็ถูกปลงลงหมดสิ้น ในยามที่สดับว่าพระสิทธัตถะกุมารประพฤติปฏิบัติธรรมโดยประการใด เช่นมีการอดพระกระยาหาร เป็นต้น พระนางก็ทรงอดพระกระยาหารไปด้วย ทรงปลื้มปีติพระทัยเมื่อ ได้สดับข่าวว่า พระสิท ธัตถะทรงบรรลุธรรมและรอคอย วันที่พระสิทธัตถพุทธะจะเสด็จมาเยือน
ทำไมพระนางยโสธราจึงมีจิตใจที่มั่นคงต่อเจ้าชายสิทธัตถะถึงปานนั้น ถ้าจะมองย้อนหลังไปในอดีตชาติ คือชาติสุดท้ายที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร และพระนาง ยโสธรานั้นก็เป็นพระนางมัทรี ที่มีพระทัยรักมั่นคงในพระเวสสันดรตลอดเวลา ไม่ว่าจะต้องตกทุกข์ได้ยากขนาดไหน พระนางไม่เคยคิดแค้นเคืองพระเวสสันดรเลย แม้ว่าพระเวสสันดรได้ยกชาลี-กัณหา สองพระพี่น้อง อันเป็นพระโอรสและพระธิดาของพระองค์ให้แก่ชูชก
ความรัก ความเคารพ ความผูกพันนั้น มิได้หายไป ไหน แต่ก่อรูปเป็นนามธรรมฝังลึกลงในจิต ติดตามข้าม ภพข้ามชาติ อันเป็นการยืนยันถึงหลักกรรมในพระพุทธศาสนาว่า กรรมนั้นมีจริง ให้ผลได้จริง และนี่คือคำตอบ ว่าทำไมพระนางยโสธราจึงมีจิตมั่นคงในพระสิทธัตถพุทธะยิ่งนัก
ก็เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา และพระประยูรญาตินั้น พระนางมิได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธ เจ้าเลย ทรงรอให้พระพุทธองค์เสด็จมาสู่ที่พำนักของตน “ถ้าพระองค์ไม่เสด็จมา เราก็ไม่ไปหา” นั้นเป็นความคิดของสตรีที่ต้องของอนไว้ก่อน
แต่ก็ได้ผล เพราะหลังจากแสดงธรรมในกรุงกบิลพัสดุ์ ๒-๓ ครั้งไม่ปรากฏว่ามีพระนางยโสธราอยู่ในแวดวงพระประยูรญาติ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปยังที่พำนักของ พระนางพร้อมด้วยพระพุทธบิดา
พระนางยโสธราทอดพระเนตรเห็นพระพุทธองค์ จึงมิอาจจะดำรงสติให้มั่นคงได้ เสด็จเข้าไปเฝ้าแทบพระบาท ทรงพระกันแสงจนพระอัสสุชนนองพระพักตร์ พระพุทธองค์ทรงประทับนิ่ง มิได้ตรัสถ้อยคำใดๆ ทรงปล่อยให้พระนางกันแสง จนกว่าจะทรงพอพระทัย จนพระเจ้าสุทโธทนะตรัสเตือนว่า สิทธัตถะนั้นเป็นนักบวชแล้ว พระนางจึงได้สติจากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา จนพระนางได้เข้าถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแล้ว
ต่อมา พระนางยโสธราได้ทรงแนะนำให้พระราหุลกุมารรู้จักพระพุทธเจ้า และสอนให้ทูลขอราชสมบัติจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระราหุลกุมารว่า สมบัติอื่นใดย่อมมีความเสื่อมสิ้นไปไม่คงทนถาวร เราจะให้อริยทรัพย์แก่เธอดังนี้ แล้วมอบราหุลกุมารนั้นให้ พระสารีบุตรบวชเป็นสามเณร และเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๗ ขวบ (เป็นต้นบัญญัติว่า ผู้จะเป็นสามเณรได้ต้องมีอายุตั้งแต่ ๗ ขวบขึ้นไป) และได้อุปสมบทเมื่อพระชนมายุ ๒๐ ชันษา ได้บรรลุอรหันต์ในเวลาต่อมา
พระนางยโสธรานับได้ว่าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดแก่อภิชาตบุตรโดยแท้ เพราะมีโอรสเป็นพระอรหันต์
๔. นางวิสาขา ยอดมหาอุบาสิกา ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดมหาอุบาสิกาผู้บำรุงพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา นางวิสาขาเป็นธิดาของธนญชัยเศรษฐี แห่งเมืองสาเกต นางเป็นคนเฉลียวฉลาดมาก ได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาและบรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ
ต่อมาเมื่อเจริญวัยเป็นหญิงสาว เพียบพร้อมด้วยความงามเบญจกัลยาณี คือมี ผมงาม เนื้องาม กระดูกงาม ผิวงาม วัยงาม และได้แต่งงานกับปุณณวัฒนกุมาร ซึ่งเป็นบุตรมิคารเศรษฐีในเมืองสาวัตถี
มิคารเศรษฐีนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสในพวกนักบวชเปลือยหรือพวกอเจลกะ มักจะทำการสักการะแก่พวกอเจลกะเป็นนิจ เศรษฐีจึงให้นางวิสาขาไปไหว้นักบวชพวกนั้น แต่นางวิสาขาไม่ยอมออกไปไหว้พร้อมกับตำหนิว่า นักบวชพวกนั้นไม่มีหิริโอตตัปปะ นักบวชเปลือยเป็นภาพที่สตรีไม่พึงเห็น เศรษฐีไม่พอใจและได้มีปากเสียงกับนางวิสาขาหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องเศรษฐีเป็นฝ่ายผิดตลอด
วันหนึ่งนางวิสาขานิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ หมู่ใหญ่มาฉันภัตตาหารในบ้าน แล้วเชิญมิคารเศรษฐีพ่อผัวมาฝังพระธรรมเทศนา พวกอเจลกะไม่ยอมให้เศรษฐีเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถ้าจะฟังธรรมต้องเอาฝ้าม่านกั้นไว้ไม่ให้เห็นพระพุทธเจ้า
ครั้นเวลาแสดงธรรมพระพุทธเจ้าทรงเทศนาธรรมไปตามอัธยาศัย มิคารเศรษฐีได้บรรลุโสดาปัตติผล ยกผ้าม่านขึ้นแล้วคลานไปถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่าตนได้ตรัสรู้ธรรมเพราะอาศัยหญิงสะใภ้วิสาขาผู้นี้ และขอเป็นบุตรของนางวิสาขาโดยยกให้นางวิสาขาเป็นแม่ เพราะฉะนั้นเวลาที่นางวิสาขามีบุตรคนแรก นางจึงตั้งชื่อว่า มิคารกุมาร และนางเองก็ได้ชื่อว่า “วิสาขามิคารมารดา”
นางวิสาขามีบุตร ๑๐ คน และมีบุตรี ๑๐ คน รวมเป็น ๒๐ คน แต่ละคนมีลูกหลานเหลนรวมแล้วหลายพันคน ทุกคนเป็นลูกหลานเหลนที่ดี ไม่มีใครทำให้วงศ์ตระกูลเสียหายเลย นางวิสาขามีอายุยืน ๑๒๐ ปี ได้สร้างโลหะปราสาทถวายในพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นแห่งแรกของโลก
นางวิสาขาย่อมได้ชื่อว่าเป็นยอดของแม่คนหนึ่ง เพราะไม่เพียงอบรมลูกหลานเหลนให้เป็นคนดีเท่านั้น แต่ยังทำให้คนพาลอย่างพ่อผัวคือมิคารเศรษฐี ได้รับรสแห่งธรรมในพระพุทธศาสนา และยอมตนเป็นลูกนางวิสาขา ก็เท่ากับว่านางวิสาขาทำให้พ่อผัวนั้นเกิดในทางธรรม มีธรรมเป็นโภชนาหารหล่อเลี้ยงจิตใจนั่นเอง
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวสุดยอดของแม่ในครั้งพุทธกาลที่เรารู้จักกันดีมากว่า 2,500 ปีแล้ว