เรื่องที่ 112 วิบากกรรม
หลายคนเกิดอาการกระตุกทางใจกับข่าวร้ายจากสื่อต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะคดีฆ่าโหดในหลายรูปแบบ แม้ในครอบครัวเชื้อเถา สายเลือดเดียวกันก็ตาม มันเป็นความรู้สึกหดหู่ใจ หลังจากที่ใจถูกปลุกให้ตื่นขึ้นรับรู้ความจริงเหล่านี้"พี่น้อง" คำๆ นี้ดูมีความหมายพอๆ กับ "พ่อแม่" เพราะมันถูกหล่อเลี้ยงด้วยชีวิตและจิตใจ โดยเฉพาะจิตใจที่เต็มไปด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และ "การให้อภัย"
ซึ่งหากไม่เป็นดังนั้น ก็อนุมานได้ว่ามันเป็นวิบากกรรมที่ครอบครัวนั้นๆ กำลังเผชิญอยู่ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เราน่าทบทวนหาเหตุของผล ณ วันนี้ มากกว่าจะสรุปอย่างง่ายว่าเป็น "กรรม" ที่เรามักจะกระทำกัน
พุทธศาสนาถือหลักแห่งเหตุและผล ถือว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย ผลที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุ และเมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้ว ผลก็ย่อมเป็นไปโดยอาศัยเหตุปัจจัยนั้น
กรรมเป็นเรื่องของหลักเหตุผลที่เกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์ เมื่อมันเป็นหลักของเหตุผล ต้องมีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นเราไม่สามารถปฏิเสธกรรมเก่า แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องเป็นเพราะกรรมเก่าไปหมด
เราไม่สามารถแก้กรรมในอดีตให้ไม่ทำไม่ได้ แต่เรามีทางใช้ประโยชน์จากมันได้ ในแง่ที่จะเป็นบทเรียนแก่ตนเอง รู้จุดที่จะแก้ไขปรับปรุง และที่สำคัญรู้จักพิจารณาไตร่ตรองมองเห็นเหตุผล ทำให้เป็นคนหนักแน่นในเหตุผล พร้อมทั้งเป็นคนรู้จักรับผิดชอบตนเอง ให้รู้จักพิจารณาว่าผลที่เกิดกับตนเองเกี่ยวข้องกับการกระทำของตัวเราอย่างไร ไม่มัวโทษผู้อื่นอยู่เรื่อยและไม่ใช่มัวรอรับแต่ผลของกรรมเก่า
เมื่อพิจารณาเห็นเหตุผลแล้ว ก็จะเป็นบทเรียนสำหรับคิดแก้ไขปรับปรุงตนเองต่อไป จุดที่พระพุทธเจ้าต้องการมากที่สุดคือเรื่องปัจจุบัน เพราะว่าอดีตเราไปทำแก้คืนไม่ได้ แต่ปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราทำได้ เรามีอิสรภาพมากทีเดียวในปัจจุบันที่จะกระทำการต่างๆ
เรามักจะละเลยที่จะมองหาเหตุของผลที่เกิดขึ้นแต่พยายามกลบเกลื่อนผลที่ตนทำ แล้วอ้างว่าเป็นกรรมเก่าที่ต้องเผชิญ อาการของพี่น้องบางครอบครัวที่ก่อศึกสายเลือด ก็เช่นเดียวกัน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาเหล่านั้นลืิมแทนที่ความโกรธด้วย "การให้อภัย" ให้อภัยโดยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไม่ได้ชดใช้กรรมที่เขากระทำ เพราะอย่างน้อยเขาก็ต้องชดใช้กรรมทางใจของเขาอยู่แล้ว ซึ่งเรียกได้ว่ามันเลวร้ายยิ่งกว่าการชดใช้กรรมใดๆ ทั้งหมด
ผมถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กจากผู้ใหญ่ที่เลี้ยงผมมา ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดว่า "พ่อแม่ไม่เคยโกรธลูก พร้อมจะให้อภัยเสมอและไม่มีใครรักเราและหวังดีกับเราเท่าพ่อแม่และพี่น้องในครอบครัว"
ทุกวันนี้ผมยังเชื่อมั่นต่อคำสอนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รักและหวังดีต่อใครนอกจากคนในครอบครัวนะครับ
เขียนบทความนี้ลอยมาให้อ่าน เผื่อว่าศึกสายเลือดในข่าวจากสื่ออาจจะเบาบางลงได้บ้าง
หลายคนเกิดอาการกระตุกทางใจกับข่าวร้ายจากสื่อต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะคดีฆ่าโหดในหลายรูปแบบ แม้ในครอบครัวเชื้อเถา สายเลือดเดียวกันก็ตาม มันเป็นความรู้สึกหดหู่ใจ หลังจากที่ใจถูกปลุกให้ตื่นขึ้นรับรู้ความจริงเหล่านี้"พี่น้อง" คำๆ นี้ดูมีความหมายพอๆ กับ "พ่อแม่" เพราะมันถูกหล่อเลี้ยงด้วยชีวิตและจิตใจ โดยเฉพาะจิตใจที่เต็มไปด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และ "การให้อภัย"
ซึ่งหากไม่เป็นดังนั้น ก็อนุมานได้ว่ามันเป็นวิบากกรรมที่ครอบครัวนั้นๆ กำลังเผชิญอยู่ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เราน่าทบทวนหาเหตุของผล ณ วันนี้ มากกว่าจะสรุปอย่างง่ายว่าเป็น "กรรม" ที่เรามักจะกระทำกัน
พุทธศาสนาถือหลักแห่งเหตุและผล ถือว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย ผลที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุ และเมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้ว ผลก็ย่อมเป็นไปโดยอาศัยเหตุปัจจัยนั้น
กรรมเป็นเรื่องของหลักเหตุผลที่เกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์ เมื่อมันเป็นหลักของเหตุผล ต้องมีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นเราไม่สามารถปฏิเสธกรรมเก่า แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องเป็นเพราะกรรมเก่าไปหมด
เราไม่สามารถแก้กรรมในอดีตให้ไม่ทำไม่ได้ แต่เรามีทางใช้ประโยชน์จากมันได้ ในแง่ที่จะเป็นบทเรียนแก่ตนเอง รู้จุดที่จะแก้ไขปรับปรุง และที่สำคัญรู้จักพิจารณาไตร่ตรองมองเห็นเหตุผล ทำให้เป็นคนหนักแน่นในเหตุผล พร้อมทั้งเป็นคนรู้จักรับผิดชอบตนเอง ให้รู้จักพิจารณาว่าผลที่เกิดกับตนเองเกี่ยวข้องกับการกระทำของตัวเราอย่างไร ไม่มัวโทษผู้อื่นอยู่เรื่อยและไม่ใช่มัวรอรับแต่ผลของกรรมเก่า
เมื่อพิจารณาเห็นเหตุผลแล้ว ก็จะเป็นบทเรียนสำหรับคิดแก้ไขปรับปรุงตนเองต่อไป จุดที่พระพุทธเจ้าต้องการมากที่สุดคือเรื่องปัจจุบัน เพราะว่าอดีตเราไปทำแก้คืนไม่ได้ แต่ปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราทำได้ เรามีอิสรภาพมากทีเดียวในปัจจุบันที่จะกระทำการต่างๆ
เรามักจะละเลยที่จะมองหาเหตุของผลที่เกิดขึ้นแต่พยายามกลบเกลื่อนผลที่ตนทำ แล้วอ้างว่าเป็นกรรมเก่าที่ต้องเผชิญ อาการของพี่น้องบางครอบครัวที่ก่อศึกสายเลือด ก็เช่นเดียวกัน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาเหล่านั้นลืิมแทนที่ความโกรธด้วย "การให้อภัย" ให้อภัยโดยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไม่ได้ชดใช้กรรมที่เขากระทำ เพราะอย่างน้อยเขาก็ต้องชดใช้กรรมทางใจของเขาอยู่แล้ว ซึ่งเรียกได้ว่ามันเลวร้ายยิ่งกว่าการชดใช้กรรมใดๆ ทั้งหมด
ผมถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กจากผู้ใหญ่ที่เลี้ยงผมมา ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดว่า "พ่อแม่ไม่เคยโกรธลูก พร้อมจะให้อภัยเสมอและไม่มีใครรักเราและหวังดีกับเราเท่าพ่อแม่และพี่น้องในครอบครัว"
ทุกวันนี้ผมยังเชื่อมั่นต่อคำสอนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รักและหวังดีต่อใครนอกจากคนในครอบครัวนะครับ
เขียนบทความนี้ลอยมาให้อ่าน เผื่อว่าศึกสายเลือดในข่าวจากสื่ออาจจะเบาบางลงได้บ้าง