xs
xsm
sm
md
lg

ประทีปส่องธรรม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การทำสมถะมีประโยชน์กับนักปฏิบัติทุกคน แต่จำเป็นสำหรับนักปฏิบัติบางคน

ตอนที่ 74

7. สมถะกับสัมมาสมาธิ
ถาม การที่หลวงพ่อกล่าวว่าสมถะมีมาก่อนพระพุทธเจ้า แสดงว่าการทำสมถะไม่สำคัญใช่ไหมครับ แล้วที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเจริญศีล สมาธิ ปัญญา จะไม่ขัดกับคำกล่าวที่ว่าสมถะไม่สำคัญหรือครับ

ตอบ การที่กล่าวว่าการทำสมถะมีมาก่อนพระพุทธเจ้า ทำให้บางท่านเกิดความสงสัยว่า สมถะเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่เรื่องนี้พระ พุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไว้อย่างชัดเจนว่า (294) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน? คือ สมถะและวิปัสสนา (อาคันตุกาคารสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พระสุตตันตปิฎกเล่ม 11 พระไตรปิฎกเล่ม 19)

การทำสมถะมีประโยชน์กับนักปฏิบัติทุกคน แต่จำเป็นสำหรับนักปฏิบัติบางคน
ทั้งนี้เพราะ
1. การทำสมถะมีประโยชน์กับนักปฏิบัติทุกคนในแง่ที่ว่า
(1) สมถะเป็นเครื่องข่มนิวรณ์ จิตที่ปราศจากนิวรณ์เท่านั้นจึงควรแก่งานวิปัสสนา
และ
(2) เป็นที่พักผ่อนอันสบายของจิตยามเกิดความอ่อนล้าของจิตในระหว่างการเจริญวิปัสสนา ครูบาอาจารย์วัดป่าท่านมักเปรียบการทำสมถะว่าเหมือนกับการลับมีด ถ้าเราใช้มีดแล้วไม่เคยลับมีด การตัดสิ่งที่ต้องการย่อมยากลำบากเพราะตัดไม่ค่อยจะขาด หรือขาดก็ต้องใช้แรงมาก บางคราวท่านก็เปรียบเทียบว่าเหมือนคน ทำงานย่อมต้องการการพักผ่อน จิตก็ต้องการการพักหลังจากการเจริญปัญญาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน และการทำสมถะเป็นการหาที่พัก ที่ดีให้กับจิต
2. การทำสมถะจำเป็นและขาดไม่ได้ สำหรับสมถยานิกหรือผู้ปฏิบัติที่ใช้สมาธินำปัญญา คือต้องทำสมถะจนเกิดฌานเสียก่อน แล้วค่อยพิจารณาองค์ธรรมให้เกิดปัญญาในภายหลัง แต่การทำสมถะไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ขาดเสียไม่ได้ สำหรับวิปัสสนายานิกหรือผู้ปฏิบัติที่ใช้ปัญญานำสมาธิ คือผู้เจริญสติสัมปชัญญะระลึกรู้รูปนามไปเลย แล้วจิตจึงค่อยรวมเข้าอัปปนาสมาธิเองในภายหลัง
เป็นความจริงที่ว่า ผู้บรรลุธรรมจะต้องบรรลุด้วยปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติทุกคน หมายความว่า เราต้องมีทั้งปัญญาและสมาธิจึงจะบรรลุธรรมได้ แต่ก็ขอให้เราแยกกันให้ออก ระหว่างการทำสมถะกับสมาธิ คือการทำสมถะมีผลให้เกิดสมาธิจริง แต่การมีสมาธิไม่จำเป็นต้องเกิดจากการทำสมถะเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีขณิกสมาธิ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ของการทำวิปัสสนา อาจไม่ต้องเริ่มมาจากการทำสมถะก็ได้ อย่างไรก็ตามผู้ใดทำสมถะได้ก็มีประโยชน์ เหมือนกับคนสองคนเดินทางไกล คนหนึ่งต้องนอนกลางดินกินกลางทรายไปตลอดทาง อีกคนหนึ่งเดินทางไกลพอเหนื่อยก็มีที่พักแรมอันสะดวกสบาย สองคนนี้ใครสบายกว่ากันก็คงพอนึกได้

ถาม หมายความว่าการทำสมถะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่ควรทำ ดังนั้นเราไม่ต้องนั่งสมาธิเลยก็ได้ ใช่ไหมครับ

ตอบ พวกเราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านสอนว่าธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่งมี 2 อย่างคือสมถะกับวิปัสสนา เราชาวพุทธก็ต้องเชื่อฟังท่าน จะพูดเอาตามใจชอบว่าไม่ควรทำสมถะย่อมเป็นการไม่สมควร เพราะสมถะจำเป็นสำหรับผู้ปฏิบัติบางคน แต่มีประโยชน์กับผู้ปฏิบัติทุกคน
แต่ขอให้สังเกตถ้อยคำของพระพุทธเจ้าให้ดี ท่านเน้นว่าควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่เจริญแบบไร้สติ ไร้ปัญญา หมายความว่าเราจะทำสมถะหรือวิปัสสนาก็ตาม เราต้องรู้ว่า
(1) เราจะทำอะไร (สมถะ/วิปัสสนา)
(2) จะทำเพื่ออะไร (สงบ/พ้นทุกข์)
(3) จะทำอย่างไร (มีสติรู้อารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง/มีสติสัมปชัญญะรู้รูปนามตามความเป็นจริง) และ
(4) ระหว่างทำก็ต้องมีสติปัญญารู้ชัดว่าทำอะไรอยู่ด้วย หากในเวลาที่ควรทำสมถะก็ฝืนจะเจริญปัญญา ในเวลาที่ควรเจริญปัญญากลับไปทำให้จิตหยุดนิ่งอยู่กับสมถะ อย่างนี้ก็นับว่าปฏิบัติไม่ถูก และในเวลาทำสมถะและวิปัสสนา เราจะทิ้งสติไม่ได้ ไม่ใช่นั่งเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือนั่งเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วบอกว่าเป็นการทำสมถะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อันนั้นเป็นความเข้าใจผิดเสียแล้ว เรื่องนี้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนไว้ชัดเจนน่าฟังมาก ว่า "ทำสมาธิมากก็เนิ่นช้า คิดพิจารณามากก็ฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน จะเดิน (รวมทั้งเดินจงกรม) ก็ต้องเดินด้วยความมีสติจะนั่ง (รวมทั้งนั่งสมาธิ) ก็ต้องนั่งด้วยความมีสติ เพราะมีสติก็คือมีความเพียร ขาดสติก็คือขาดความเพียร"
ประเด็นที่คุณถามจึงตอบได้ว่า สัมมาสมาธิเป็นสิ่งที่จำเป็นและ ขาดไม่ได้สำหรับทุกคนที่ปรารถนามรรคผลนิพพาน ส่วนการทำสมถะมีประโยชน์กับทุกคน แต่จำเป็นสำหรับสมถยานิก สำหรับเรื่องการนั่งสมาธินั้น ขอตอบว่า เรามีสมาธิได้ในทุกอิริยาบถ ไม่เฉพาะในอิริยาบถนั่งเท่านั้น แต่ถ้าจะนั่งทำสมถะแบบขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย อย่างที่นิยมกันนั้น หากเป็นการทำด้วยปัญญาอันยิ่งก็ควรทำ แต่ หากทำเพราะคิดว่านั่นคือทั้งหมดของการปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา หรือทำเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นตามอำนาจของกิเลสตัณหา หรือทำเอาความเคลิบเคลิ้มขาดสติ อย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง
อาตมามีข้อสังเกตว่าสมถะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะผู้ปฏิบัติต้องคอยแก้จิตที่ไม่ดีให้ดี ต้องคอยแก้จิตที่ไม่สงบให้สงบ เมื่อจิตดีและสงบแล้วก็ต้องคอยรักษาไว้ สมถะทำยากแต่พวกเราชอบทำ เพราะเชื่อว่าจำเป็นเหลือเกินสำหรับการเจริญวิปัสสนา พอพูดถึงการปฏิบัติธรรมพวกเราก็จะเริ่มคิดถึงการหลับตานั่งสมาธิกันก่อนอย่างอื่น

ถาม ขออนุญาตถาม ตามความเข้าใจของดิฉัน สมถะเป็นของที่ทำได้ง่ายเพราะมีมาก่อนพระพุทธเจ้า ส่วนวิปัสสนาน่าจะทำได้ยาก เพราะหลวงพ่อก็กล่าวเองว่าวิปัสสนามีขึ้นเฉพาะเมื่อมีพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ตอบ สมถะทำยากเพราะมีกิจที่ต้องทำมาก เช่นคุณจะทำกสิณให้ได้ฌาน คุณต้องเริ่มหาตั้งแต่วัตถุที่จะใช้เพ่ง เช่นถ้าจะทำปฐวีกสิณหรือการเพ่งดิน คุณก็ต้องเตรียมดิน คัดเลือกดินนำมาทำเป็นดวงกสิณ จากนั้นคุณต้องหัดดูดวงกสิณนั้นด้วยตาของคุณ ดวงกสิณนั้นจัดเป็นบริกรรมนิมิต จนภาพของดวงกสิณติดใจ คือหลับตาก็เห็นภาพเหมือนเมื่อลืมตา ภาพนั้นจัดเป็นอุคคหนิมิต เท่านี้ยังไม่พอ คุณต้องรู้ภาพดวงกสิณในใจไปจนเกิดสิ่งที่เรียกว่าปฏิภาคนิมิต คือดวงกสิณในใจผ่องใสหมดจดปราศจากริ้วรอยราวกับแก้วผลึก และจะน้อมจิตให้ดวงกสิณเล็กใหญ่ก็ได้ตามปรารถนา เพียงแค่เริ่มต้นเท่านี้ยังไม่ทันถึงฌานก็ยากมากแล้ว ส่วนการนั่งสมาธิที่นั่งเคลิ้มๆ ลืมเนื้อลืมตัวไม่มีสตินั้น ไม่ใช่การทำสมถะแต่อย่างใด เอาล่ะสมมุติว่าคุณเพ่งกสิณจนได้ฌานแล้ว การจะรักษาฌานเอาไว้ก็เป็นงานยากอีก
ในขณะที่วิปัสสนานั้นยากก็ตรงที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจว่าจะทำอย่างไร เราจึงต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราศึกษาคำสอนของท่านจนเข้าใจแล้ว จะทราบว่าวิปัสสนาทำง่ายที่สุด ตัวอย่างเช่นเมื่อความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ถ้าคุณทำสมถะคุณจะต้องหาทางทำให้ความฟุ้งซ่านดับไปเพื่อให้จิตสงบ แล้วหาทางรักษาความสงบนั้นไว้ แต่ถ้าคุณจะทำวิปัสสนา คุณเพียงแต่รู้ว่าความฟุ้งซ่านกำลังปรากฏอยู่ในฐานะที่เป็นเพียงนามธรรมอันหนึ่งเท่านั้น โดยที่คุณไม่ต้องไปแก้ไขอะไรเลย

ถามรูปแบบของการทำสมถะจะต้องยึดตามคำสอนเรื่องกรรมฐาน 40 เท่านั้น หรือจะใช้อารมณ์กรรมฐานอย่างอื่นก็ได้ครับ

ตอบอารมณ์ของสมถกรรมฐานมีมากไม่มีประมาณ เพราะหาง่ายเนื่องจากใช้บัญญัติเป็นอารมณ์ ที่พระเถระชั้นหลังท่านจัดเป็น 40 อย่างก็เพียงทำเป็นตัวอย่างไว้เท่านั้น ในพระไตรปิฎกและอรรถกถายังมีการกล่าวถึงอารมณ์กรรมฐานอื่นๆ ไว้อีกมากมาย เช่นพระพุทธเจ้าทรงสอนท่านพระจุลปัณถกะให้ลูบคลำผ้าขาวและบริกรรมว่า "ผ้าเช็ด ฝุ่น ย่อมเช็ดฝุ่น" พระเถระบางรูปพิจารณาดอกบัวแดงที่ปักไว้บนพื้นทราย บางรูปพิจารณาการละลายของน้ำแข็งที่ชายคาพระคันธกุฎี พระเถรีบางรูปพิจารณาน้ำที่หกและซึมลงบนแผ่นดิน บางรูปพิจารณาโคมไฟที่ดับไป สามเณรบางรูปพิจารณาสอนตนเองโดยปรารภถึงการไขน้ำเข้านาและการดัดลูกศร เป็นต้น สำหรับพระเถระร่วมสมัยของพวกเรานี้ท่านเคยสอนสมถกรรมฐานแบบพิเศษไว้สำหรับบางคนก็มี เช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล สอนให้ศิษย์บางรูปคิดพิจารณาผมเพียงเส้นเดียว และหลวงพ่อพุธ ฐานิโย สอนให้พระรูปหนึ่งบริกรรมชื่อผู้หญิงแทนคำว่าพุทโธ เพราะท่านบริกรรมพุทโธแล้วพุทโธหายกลายเป็นชื่อผู้หญิงทุกที ท่านก็บริกรรมชื่อผู้หญิงจนจิตรวมได้เหมือนกัน อย่างนี้ก็มีมาแล้ว

(อ่านต่อวันจันทร์หน้า /
หลักและอุบายของการปฏิบัติธรรม)
กำลังโหลดความคิดเห็น