xs
xsm
sm
md
lg

บทความจาก นสพ. ผู้จัดการ

x

มองปัญหา ด้วยปัญญา : "วิธีชนะอารมณ์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปุจฉา

ชนะอารมณ์

เบื่อแพ้ใจ อยากเป็นผู้ชนะอารมณ์บ้าง ขอคำแนะนำครับ

วิสัชนา

พวกเราทั้งหลายพากันเกลียดกลัวความทุกข์ ซึ่งเก็บอัดไว้ข้างในใจ เหตุเพราะการไม่รู้จักระวังอารมณ์
อารมณ์คือมาร อารมณ์คือบ่วงแห่งมาร เมื่อไม่ระวัง ผลที่ออกมา ก็คือ ความทุกข์

อารมณ์ เป็นของที่เกิดขึ้นภายนอก มันไม่ได้คงอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย ยกเว้นแต่ เราเอาตัวของเรา คือจิตหรือใจของเรา ไปผูกกับสิ่งเหล่านั้นไว้

เสียงที่พูดความจริงก็ดี ไม่จริงก็ดี ที่ถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ดี กิริยาอาการท่าทางที่ชอบใจก็ดี ไม่ชอบใจก็ดี ล้วนเป็นเพียงกิริยา คำพูดก็คือคำพูดมันจะทำให้เกิดความสุขความทุกข์ไม่ได้ ถ้าไม่เอาใจเข้าไปยึดไว้ เหมือนเราเอาถุงพลาสติกเปล่าๆไปอ้ารอให้ลมมันเข้า เสร็จแล้วก็ปิดปากถุง สุดท้ายเมื่อลมมันเข้าไปในถุงแล้ว อะไรเกิดขึ้น! ความอึดอัดขัดเคือง รำคาญ ของผู้เป็นเจ้าของถุงนั้นก็เกิด คนฉลาดเขารู้ตัวว่าลมพัดผ่านมา ก็อย่าไปเปิดถุงอ้ารับลม พูดง่ายๆอย่าไปสนใจในอารมณ์ต่างๆที่คนอื่นทำให้เราต้องเกิดอารมณ์ และตัวเราเองอย่าปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์แห่งความชอบใจไม่ชอบใจ

เมื่อเราเอาจิตของเราไปผูกกับรส รูป กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วปรุงแต่งให้เป็นความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ปรุงแต่งให้เป็นเวทนา เมื่อเวทนาเกิดขึ้นก็กลายเป็นอารมณ์ คือ ความอยากความทนได้ยาก คือ ความทุกข์ก็ตามมา

ดังนั้น เมื่อเรารู้ว่าเวทนาทำให้เกิดอารมณ์จากการที่ตาเห็นรูป เราจึงต้องสำรวมตา อย่างที่องค์สมเด็จพระศาสดาพระองค์ทรงสอนให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ เช่น สำรวมว่าเอาตาทำหน้าที่มองรูป แต่ก็ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องแยกแยะว่ารูปชนิดนี้ มีความสวย ชอบใจ รูปชนิดนี้ไม่สวย ไม่ชอบใจ คราใดที่ตามองรูปแล้วปรุงแต่ง แยกว่ารูปสวย พอใจ นั่นเป็นเพราะเรามองด้วยจิตที่มีราคะ เรียกว่า ราคะมูลจิต คือ หมายถึงรูปที่ตาเห็นเกิดความสัมผัสรับรู้ แล้วปรุงแต่งด้วยอารมรณ์ราคะที่เป็นพื้นฐานของจิตที่สั่งสมพอกพูนมาแต่อดีตที่เรียกว่า กิเลสอนุสัย ได้แก่ กิเลสที่ติดแน่นมาจากชาติภพที่แล้วและก่อนที่จะเกิดราคะมูลจิต หรือกิเลสอนุสัยเกิดขึ้นติดตัวเรามาได้ เพราะอวิชาความไม่รู้ ไม่เข้าใจสภาวะที่แท้จริงของสิ่งทั้งปวง และถ้าตาเห็นรูปแล้วปรุงแต่ง แยกว่ารูปไม่สวย ไม่ชอบใจ นั่นก็เป็นเพราะเรามองรูปนั้นด้วยจิตที่มีโทสะ เรียกว่า โทสะมูลจิต ซึ่งโทสะมูลจิตนี้ ก็มีลักษณะอาการเกิดเหมือนๆกับราคะมูลจิตเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นถ้าเรายังปล่อยให้ตามองรูป ตามแต่กิเลสที่เป็นอนุสัยจะพาไป โดยเอาใจไปจดจ่อกับตาและรูป แล้วก็แยกแยะออกมาถูกบ้าง ควรบ้าง ไม่ถูกบ้าง ไม่ควรบ้าง สุดท้ายก็มีแต่ความทุกข์ทรมาน เพราะชาวบ้านก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่เราสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเราเอง วิธีการแก้ง่ายนิดเดียว คือ ต้องระงับอารมณ์

ด้วยเหตุนี้พระศาสดาทรงสอนให้ชาวเราทั้งหลาย สำรวมตาในการมองรูป มิใช่ห้ามมิให้มอง พระองค์ทรงให้มองได้ แต่จงมองด้วยปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เป็นทุกข์ทนได้ยาก เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสภาพลง ไม่คงที่ทุกอย่างในรูปเป็นสิ่งที่ต้องอิงอาศัยเหตุปัจจัยเป็นอยู่

องค์สมเด็จพระพิชืตมาร ศาสดาสัมมาสัมพุทธะ ผู้ทรงพระปัญญาอันประเสริฐ จึงทรงสอนให้ชาวเราทั้งหลาย อย่ามองรูปด้วยเห็นว่าเป็นเลศ แต่งจงมองให้ทะลุความเป็นเลศนั้นเข้าไป จนเห็นแจ้งสภาพความจริงของรูปจนรู้ว่า มีองค์ประกอบด้วยเหตุปัจจัยอะไร จักได้ไม่หลงยึดติดในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน รสที่รับ กลิ่นที่ดม สัมผัสที่มี ดีและชั่วที่ปรากฏแก่จิต เหล่านี้เป็นวิธีตัดวงจรของการสืบต่ออนุสัยกิเลสที่มีมาแต่อดีต และปัจจุบันกิเลสได้แก่กิเลสที่จักเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ในบรรดาอินทรีย์ทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ มีอยู่อย่างเดียวที่น่าจะสำรวมมากที่สุด ก็คือ ใจ เพราะใจเป็นเหมือนนายใหญ่ ใจเปรียบเหมือนแม่ทัพ ส่วนตา หู จมูก ลิ้น กาย เปรียบเหมือนนายกอง หรือสมุนมือขวา มือซ้าย ทำหน้าที่ตามคำสั่งของแม่ทัพ ถ้าแม่ทัพดี คำสั่งที่ใช้ลูกน้องก็ย่อมสั่งในสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร หมายความว่า ถ้าใจดี ใจเรียบร้อย ใจน่ารัก ใจสว่าง สะอาด สงบ การมองรูปก็มองด้วยปัญญา พิจารณารู้เท่าทันตามความเป็นจริงของรูปที่เห็น มันก็ไม่เกิดความรู้สึก ไม่ต้องไปเก็บกดอารมณ์ที่มากระทบ แต่ถ้าการมองรูปแล้วบังเกิดอาการปรุงแต่ง พร้อมทั้งเกิดเป็นอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น สุดท้ายก็จะมีความวุ่นตามมา

ถ้าเราบอกว่าตอนนี้เราทุกข์ทรมานเพราะตัวอารมณ์ หลวงปู่เปรียบอารมณ์เป็นฝน มื่อเปรียบฝนเป็นอารมณ์ บ้านก็เปรียบได้กับร่างกาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ส่วนจิตก็เปรียบเหมือนเป็นเจ้าของอยู่ในบ้าน เมื่อฝนแห่งอารมณ์ คือ อารมณ์โทสะ อารมณ์โมหะ อารมณ์ราคะ อารมณ์ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้น เป็นฝนที่ทำให้บุคคลต้องทรมาน ต้องเปียกปอนเป็นของธรรมดา ตามสภาวะของสีแห่งฝนนั้นๆ เช่น ราคะก็มีสีของฝนกระดำกระด่าง โทสะก็มีสีของฝนแห่งความดำและแดง โมหะมีสีแห่งความเปรอะเปื้อน ความเขียวๆเหลืองๆ ความช้ำใน สิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็นน้ำฝนที่มีสี มีความสกปรก ถ้าเราเอาตัวเองเข้าไปคลุกคลี ความรู้สึกทุกข์ทรมาน เดือดร้อน ความสกปรกปฏิกูลพึงรังเกียจย่อมเกิดตามมา ทีนี้เราจะทำอย่างไร ที่จะไม่ให้ตัวเราเปียกปอน เกลือกกลั้วกับสิ่งเหล่านี้ เราก็ต้องคอยปิดประตูรูช่อง อย่าให้ฝนสาดรอดเข้ามาได้

ฉะนั้น เมื่อฝนเป็นอารมณ์ ฝนจะเข้าทางไหน ก็เข้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ซึ่งเปรียบได้กับประตู หน้าต่าง เมื่อเราเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งเปรียบได้กับจิต เราก็ต้องคอยปิดประตู หน้าต่าง ไม่ให้ฝนแห่งอารมณ์สาดเข้ามา

แล้วการปิดประตู หน้าต่าง ไม่ใช่หมายถึงว่าเดินปิดตา นั่งปิดหู นั่งปิดจมูก นอนปิดปาก แต่การปิดนี้คือ เมื่อตาเห็นรูป เกิดความรู้สึกก็ใช้ปัญญา พิจารณาสภาพแท้จริงของรูปที่เห็นแล้ววางเฉย อย่ารับเอาฝนแห่งอารมณ์ทางตาเข้ามา ทำให้ใจเศร้าหมอง เป็นต้น

เมื่อรู้ตัวว่าความทุกข์เป็นความทรมาน ต้องระวังใจ เพราะถ้าเรายังมีความหมกมุ่น มัวเมา และใหลหลงอยู่ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ก็ต้องทำใจให้มันเป็นปกติไว้อยู่เสมอ

เพราะฉะนั้น การที่มีชีวิตอยู่อย่างเป็นผู้ระวังอารมณ์นี้ เรียกว่า สติ สติก็มาจากการสร้างเสริมให้เกิดขึ้นจนเป็นสมาธิ คือความตั้งใจ ตั้งใจว่าวันนี้ถ้าเราเจอบุคคลเหล่านั้นที่จะสาดฝนใส่ตัวเรา เราต้องทำความรู้สึกว่าเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาที่จะต้องสาดให้เราเกิดความทรมาน

ถ้ามันหนีไม่ได้ ก็เป็นของธรรมดาที่เราต้องมีความรู้สึก แต่ถ้าเราเดือดร้อนไปตามสภาวะที่มันสาดมา เราจะเป็นผู้ขาดทุน คือเสียประโยชน์ เช่น ถ้าเราทำความรู้สึกในตัวของเราว่า คนคนนั้นถ้ามันจะมาด่าเรา ก็ทำความรู้สึกเฉยๆเหมือนอย่างนั้น สุดท้ายมันก็ต้องยอมแพ้ไปโดยปริยาย

เพราะฉะนั้นต้องมีการปิด เแค่นี้เองเราก็สามารถจะค่อยๆ ปลด ค่อยๆ วาง ค่อยๆ ปล่อย ค่อยๆ เว้น

หลวงปู่อยากให้พวกเราทั้งหลายเป็นคนวางทุกอย่าง การวางในที่นี้ไม่ใช่สอนให้เป็นคนขี้เกียจ แต่ให้รู้จักปลด ให้รู้จักทำหน้าที่ พ่อก็ทำหน้าที่ของพ่อ แม่ก็ทำหน้าที่ของแม่ ลูกก็ทำหน้าที่ของลูกที่ดี เมื่อทุกคนทำไปตามหน้าที่ที่ดีแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของตัวเองที่ต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวางอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่แบกในอารมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีอุปาทานติดในอารมณ์ต่างๆ เป็นผู้ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ไม่ผูกพัน ในสิ่งทั้งหลายในโลก

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เธอทั้งหลายจงทำใจให้สะอาด สว่าง สงบ เป็นผู้อยู่ในโลกอย่างเป็นผู้ไม่ติดยึดในสิ่งใดๆ เมื่อไม่ติดในอะไรๆ และไม่มีอะไรจะติด สุดท้ายก็สามารถที่จะอยู่เหนืออารมณ์ เหนือกฎเกณฑ์ เหนือโลก และเหนือธรรมชาติ เมื่อเป็นผู้อยู่เหนือทุกอย่างแล้ว ก็สามารถจะใช้ชีวิตในโลก ได้อย่างเป็นอิสระและสุขใจทุกๆสถานที่ ทั้งยังอยู่ได้ด้วยความเป็นไทไม่เป็นทาส คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่พระองค์ทรงตรัสว่า เราคือโลก โลกคือเรา เราคือจิต จิตคือเรา

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราต้องเพียรพยายามที่จะระวังป้องกันมิให้อารมณ์ทั้งดีและไม่ดีทั้งปวงเข้ามาเป็นนายของเรา ชักชูเราให้แสดงอาการกิริยาไม่ถูกต้อง หรืออย่าให้ตัวเองตกเป็นทาสของอารมณ์ วันใดเวลาใดที่เรามีความรู้สึกว่า เราเริ่มเป็นทาสของอารมณ์ เมื่อตกเป็นทาส เรารู้ตัวต้องดึงออกมาเป็นไทให้ได้ ครั้นเราสามารถที่จะระแวดระวังไม่ให้อารมณ์ทั้งดีและไม่ดีทั้งปวงเข้ามาเป็นนายของเราได้แล้ว เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในโลกอย่างมีชัยชนะ เป็นอิสระ พบความสุข หมดทุกข์ทั้งกายและใจ เช่นนี้จึงจะใช้คำพูดได้เต็มปากว่า เราคือโลก โลกคือเรา เราคือจิต จิตคือเรา เพราะสภาวะของโลกและจิต มิได้มีความสุข ความทุกข์ไปกับอารมณ์ต่างๆที่มารบกวนวุ่นวาย

ฉะนั้น ถ้ามีเวลาว่างจากการงาน ต้องรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ หรือขณะที่ทำการงานก็ภาวนาไปในตัวด้วยก็ได้ การทำอย่างนี้เรียกว่าเป็นวิธีลับมีด และรักษาคมมีด

การรักษาคมของมีด คือทรงอารมณ์ไว้ในอารมณ์ภาวนา อย่าปล่อยให้จิตหลงระเริงไปในเรื่องราคะ โทสะ โมหะ อบรมจิตให้อยู่ในองค์ภาวนา


ภาวนา ตัวนี้แปลว่าทำให้มั่น ในที่นี้หมายเอาการทำสติให้ตั้งมั่น ทำการรู้อาการลมหายใจอย่างตั้งมั่น ว่าลมเข้าหรือออก เข้ายาวหรือออกสั้นรู้ให้ชัด รู้ให้มั่นคงไม่ลืมหลง ก็เรียกว่าภาวนา หรือรู้จักความเป็นไปของกาย ชีวิต อารมณ์จิต ตามความเป็นจริงอยู่ทุกขณะ โดยไม่ลืมหลง ดำรงความรู้แจ้งเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลา เช่นนี้ท่านก็เรียกว่าภาวนา

เราต้องเอาความดีชนะความชั่ว เอาความอ่อนชนะความแข็ง เอาความเย็นชนะความร้อน ความละเอียดชนะความหยาบ เอาความฉลาดชนะความหลง จะเห็นว่าแต่ละคำของหลวงปู่นั้นมีแต่ความชนะ ไม่มีความพ่ายแพ้หรือตกเป็นทาสใดๆทั้งหมด หลวงปู่กำลังสอนให้พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ชนะในโลก ชนะทุกๆอย่างในโลก สุดท้ายชนะ ชาติ ชรา มรณะ และพยาธิ

ข้อสำคัญ ก่อนที่เราจะชนะอย่างนั้น เราต้องชนะตัวเราเองเสียก่อน คือชนะอารมณ์ เป็นผู้มีจุดยืนในตัวของตัวเอง มีการปฏิบัติของตัวเองด้วยความอิสระในการปฏิบัติ ในลักษณะของความไม่ยึดไม่ผูกพัน และวิธีการที่จะมีจุดยืนสำหรับตัวเราในการปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ก็คือ มีความรู้สึกว่าอารมณ์ใดที่เราชอบใจก็รู้สึกปกติ

ปกติตัวนี้หลวงปู่จะไม่พูดคำว่าเฉยๆ แต่ความเป็นปกติของอารมณ์ คือ เมื่อมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่สนใจ ไม่เยื่อใย ไม่ไยดีต่อมัน ถ้ามันมีประโยชน์ก็พิจารณาปฏิบัติตาม แต่ถ้าขาดประโยชน์ ขาดลักษณะของความเกิดขึ้นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเกิดประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม เราก็มีความรู้สึกว่าปล่อยวาง ถ้ามันเป็นเรื่องของความทุกข์ความทรมาน เราได้ยินแล้วเข้าหูซ้าย ก็ปล่อยให้มันย้ายออกหูขวา อย่าเปิดหัวใจไปอ้ารับอารมณ์เหล่านั้นมาเก็บไว้

หลวงปู่เคยเขียนบทโศลกไว้ว่า ลูกรัก อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอาลัย แล้วเราจักไม่มีอะไรในอารมณ์นั้นๆ ลูกรัก ห้องขังหรือคุกแห่งอารมณ์ มีแต่ตัวเจ้าเท่านั้นที่จะปิดหรือเปิดมันได้

เพราะจิตใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ อันเกิดจากความปรุงแต่งของเรานั่นแหละ คือการสร้างคุกขังตัวเราเอง แต่ถ้าเราปรารถนาที่จะปลดปล่อยตนเอง เรื่องมันก็ไม่ยาก แค่หยุดการปรุงแต่งต่ออารมณ์ทั้งปวง แค่นี้ก็จบแล้ว


ฉะนั้น ถ้ารู้จักวางภาระ รู้จักวางหน้าที่ และไม่ยึดในอารมณ์ รู้จักทำใจให้สว่าง สะอาด และสงบ เราก็สามารถจะพ้นทุกข์ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น