ตอนที่ 70
4. จริตกับการปฏิบัติธรรม
ถามที่หลวงพ่อกล่าวว่าการปฏิบัติธรรมมี 2 แนวทาง คือ แนวทางของผู้เป็นสมถยานิกกับวิปัสสนายานิกนั้น อยากทราบว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราควรเลือกเดินในแนวทางไหนครับ
ตอบหากอาตมาจะตอบเองก็อาจมีข้อถกเถียงกันยืดยาว จึงขอยกอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรมาอ่านให้ฟัง พระอรรถกถาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า "อนึ่ง (1) กายานุปัสสนาสติปัฏฐานที่มีนิมิตอันจะพึงบรรลุได้โดยไม่ยาก เป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญาอ่อน (2) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ อย่างหยาบ จึงเป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญากล้า (3) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์ที่แยกออกไม่มาก นัก เป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิก มีปัญญาอ่อน (4) ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์ที่แยกออกมาก เป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิก มีปัญญากล้า"
ถามถ้าเป็นพวกโทสจริตหรือราคจริต ควรใช้แนวทางของผู้เป็นสมถยานิกหรือวิปัสสนายานิกครับ
ตอบเรื่องจริต 6 คือราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต วิตกจริต และพุทธิจริต เป็นจริตที่ใช้พิจารณาเลือกอารมณ์เพื่อการทำสมถกรรมฐาน เช่นโทสจริตเหมาะที่จะเจริญเมตตา เป็นต้น สำหรับจริตที่ใช้พิจารณาเลือกอารมณ์เพื่อการทำวิปัสสนากรรมฐานมีเพียง 2 จริต คือตัณหาจริตกับทิฏฐิจริต และเท่าที่อาตมาสังเกตมา พวกปัญญาชนที่ชอบคิดมาก หรือมีความสุขกับการคิดวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ เป็นพวกทิฏฐิจริต ก็ควรจะเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานไปเลย โดยไม่ต้องไปทำสมถะก่อน เพราะถึงคิดจะทำจิตให้สงบจนถึงฌานก่อนก็คงทำได้ยาก เนื่องจากชอบคิดสงสัยหรือคาดคะเนมาก หากมุ่งจะทำความสงบให้ได้ก่อน ก็อาจไม่มีโอกาสได้เจริญวิปัสสนาจนตลอดชีวิต
ถามผมเคยได้ยินว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอารมณ์หยาบ ทำได้ง่าย และเหมาะกับวิปัสสนายานิก
ตอบอาตมาก็ได้ยินคำกล่าวอย่างนี้บ่อยเหมือนกัน และท่านผู้กล่าวสอนก็มีแหล่งที่มาของคำสอนที่น่าเชื่อถือเช่นกัน แต่ที่อาตมายกมาอ้างอิงเป็นคำสอนของพระอรรถกถาจารย์ ไม่ใช่คำสอนของอาตมา ประเด็นนี้ถ้าคุณยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจก็ไม่เป็นไร เอาแค่รับทราบ ไว้ทั้งสองอย่าง แล้วค่อยสังเกตพิจารณาเอาว่า เราเหมาะที่จะปฏิบัติอย่างไร คือใช้อารมณ์ใดแล้วสติเกิดบ่อยก็ควรใช้อารมณ์นั้นต่อไป
ส่วนที่ว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายนั้น อาตมาคิดว่าแต่ละฐานก็น่าจะทำได้ง่ายทั้งนั้น หากท่านผู้ปฏิบัติเคยฝึกฝนอบรมมาทางด้านนั้นๆ ในกาลก่อน แต่ความยากง่ายของแต่ละบุคคลอาจจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าทำฐานใดแล้วสติเกิดได้บ่อยก็น่าจะทำฐานนั้น อีกประการหนึ่งอาตมาเติบโตมาจากสายวัดป่า ครูบาอาจารย์ส่วนมากท่านทำสมถะกันก่อนแล้วจึงพิจารณากาย ก็ดูสมกับคำของพระอรรถกถาจารย์ ส่วนอาตมาไม่ค่อยได้ทำสมถะ พ่อแม่ครูอาจารย์คือหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านสอนอาตมาให้ดูจิตเอาเลย อันนี้เป็นประสบการณ์ ซึ่งเห็นว่าสอดคล้องกับคำของพระอรรถกถาจารย์เช่นกัน ส่วนท่านผู้อื่นจะเริ่มจากฐานใดก่อนก็สุดแต่ท่านจะเห็นสมควร
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า/
ความเชื่อบางอย่างของ "ชาวพุทธ")
4. จริตกับการปฏิบัติธรรม
ถามที่หลวงพ่อกล่าวว่าการปฏิบัติธรรมมี 2 แนวทาง คือ แนวทางของผู้เป็นสมถยานิกกับวิปัสสนายานิกนั้น อยากทราบว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราควรเลือกเดินในแนวทางไหนครับ
ตอบหากอาตมาจะตอบเองก็อาจมีข้อถกเถียงกันยืดยาว จึงขอยกอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรมาอ่านให้ฟัง พระอรรถกถาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า "อนึ่ง (1) กายานุปัสสนาสติปัฏฐานที่มีนิมิตอันจะพึงบรรลุได้โดยไม่ยาก เป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญาอ่อน (2) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ อย่างหยาบ จึงเป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญากล้า (3) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์ที่แยกออกไม่มาก นัก เป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิก มีปัญญาอ่อน (4) ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์ที่แยกออกมาก เป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิก มีปัญญากล้า"
ถามถ้าเป็นพวกโทสจริตหรือราคจริต ควรใช้แนวทางของผู้เป็นสมถยานิกหรือวิปัสสนายานิกครับ
ตอบเรื่องจริต 6 คือราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต วิตกจริต และพุทธิจริต เป็นจริตที่ใช้พิจารณาเลือกอารมณ์เพื่อการทำสมถกรรมฐาน เช่นโทสจริตเหมาะที่จะเจริญเมตตา เป็นต้น สำหรับจริตที่ใช้พิจารณาเลือกอารมณ์เพื่อการทำวิปัสสนากรรมฐานมีเพียง 2 จริต คือตัณหาจริตกับทิฏฐิจริต และเท่าที่อาตมาสังเกตมา พวกปัญญาชนที่ชอบคิดมาก หรือมีความสุขกับการคิดวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ เป็นพวกทิฏฐิจริต ก็ควรจะเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานไปเลย โดยไม่ต้องไปทำสมถะก่อน เพราะถึงคิดจะทำจิตให้สงบจนถึงฌานก่อนก็คงทำได้ยาก เนื่องจากชอบคิดสงสัยหรือคาดคะเนมาก หากมุ่งจะทำความสงบให้ได้ก่อน ก็อาจไม่มีโอกาสได้เจริญวิปัสสนาจนตลอดชีวิต
ถามผมเคยได้ยินว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอารมณ์หยาบ ทำได้ง่าย และเหมาะกับวิปัสสนายานิก
ตอบอาตมาก็ได้ยินคำกล่าวอย่างนี้บ่อยเหมือนกัน และท่านผู้กล่าวสอนก็มีแหล่งที่มาของคำสอนที่น่าเชื่อถือเช่นกัน แต่ที่อาตมายกมาอ้างอิงเป็นคำสอนของพระอรรถกถาจารย์ ไม่ใช่คำสอนของอาตมา ประเด็นนี้ถ้าคุณยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจก็ไม่เป็นไร เอาแค่รับทราบ ไว้ทั้งสองอย่าง แล้วค่อยสังเกตพิจารณาเอาว่า เราเหมาะที่จะปฏิบัติอย่างไร คือใช้อารมณ์ใดแล้วสติเกิดบ่อยก็ควรใช้อารมณ์นั้นต่อไป
ส่วนที่ว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายนั้น อาตมาคิดว่าแต่ละฐานก็น่าจะทำได้ง่ายทั้งนั้น หากท่านผู้ปฏิบัติเคยฝึกฝนอบรมมาทางด้านนั้นๆ ในกาลก่อน แต่ความยากง่ายของแต่ละบุคคลอาจจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าทำฐานใดแล้วสติเกิดได้บ่อยก็น่าจะทำฐานนั้น อีกประการหนึ่งอาตมาเติบโตมาจากสายวัดป่า ครูบาอาจารย์ส่วนมากท่านทำสมถะกันก่อนแล้วจึงพิจารณากาย ก็ดูสมกับคำของพระอรรถกถาจารย์ ส่วนอาตมาไม่ค่อยได้ทำสมถะ พ่อแม่ครูอาจารย์คือหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านสอนอาตมาให้ดูจิตเอาเลย อันนี้เป็นประสบการณ์ ซึ่งเห็นว่าสอดคล้องกับคำของพระอรรถกถาจารย์เช่นกัน ส่วนท่านผู้อื่นจะเริ่มจากฐานใดก่อนก็สุดแต่ท่านจะเห็นสมควร
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า/
ความเชื่อบางอย่างของ "ชาวพุทธ")