ผู้เขียน พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส วัดสุทัศนเทพวราราม กทม.
หลายอย่างจะมียุทธศาสตร์ร่วม จะมีแกนกลางที่เป็นตัวประสาน หลายกิจกรรมทางศีลธรรม ทำแล้วไม่ได้ผลยั่งยืน ไม่ชัดเจน ไม่สืบเนื่อง ก็เพราะต่างคนต่างทำ ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีการประสานสอดคล้อง ไม่มี่เป้าหมายใหญ่ร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น ต้องการรณรงค์ศีล 5 แต่ทำได้แค่ทำป้ายติดไว้ตามวัด ไม่มีใคร ไม่มีมวลชนรับลูกต่อ แต่ถ้าหากโรงเรียนวิถีพุทธรับลูกต่อ แต่ถ้าหากโรงเรียนวิถีพุทธรับลูก พร้อมใจกันจับมือรณรงค์ทั่วประเทศ และทำให้ต่อเนื่องเป็นวิถีชีวิต ก็จะมีมวลชน มีผลกระทบ มีแรงกระทำต่อสังคมได้ หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่เห็นตรงกันอยู่แล้วก็ร่วมพลังทำกันได้เลย เช่น สำนักพุทธฯ มีนโยบายให้ข้าราชการปฏิบัติธรรมปีละ 3-5 วัน โดยไม่คิดเป็นวันลา ก็เป็นเรื่องเดียวกับนโยบายโครงการโรงเรียนวิถีพุทธฯ ที่ต้องการให้ครูและผู้บริหารโรงเรียนวิถีพุทธต้องปฏิบัติธรรม ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของข้าราชการก็คือครู และถ้าตัวแปรในสังคมส่วนนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ ก็จะส่งผลต่อเนื่องสู่สังคมอย่างมหาศาล ประหนึ่งเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ และถ้าหากสังคมเปลี่ยนแปลงไปจนถึงระดับกู้ “วัฏจักรแห่งความเจริญ วัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้” ขึ้นมาได้ กลับคืนมาสู่สังคมได้อย่างแท้จริง ถึงจุดนั้น การแก้ปัญหายาเสพติด ความยากจน การคอรัปชั่น อบายมุข ฯลฯ ก็จะได้รับการแก้ไขได้อย่างยั่งยืน ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ก็จะเป็นจริงได้จากรากฐาน จากการทำเหตุ มิใช่การวาดหวังผล และกระทำเพียงสิ่งที่ฉาบฉวยเฉพาะหน้าไม่ยั่งยืน
อุปมา ประเทศไทย ก็จะเป็นเหมือนโรงเรียนโรงเรียนหนึ่ง ที่เริ่มเข้าสู่ความเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ เริ่มพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการศึกษาที่แท้จริงขึ้นมาอีกครั้ง และจะไปสรรค์สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ขึ้นมาโอบล้อมคนทั้งสังคมไทยอีกครั้ง อ้อมกอดแห่งมารดาคือธรรมะจะกลับมาโอบกอดปกป้องคนไทยทั้งสังคมได้อีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่ตัวจริงของสังคมไทยจะกลับคืนมา ถ้าเราทำเหตุปัจจัยฝ่ายดีอย่างนี้ได้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จะไปเร็วไปช้าไม่เป็นไร ขอให้ต่อเนื่อง มีพัฒนาการไปเรื่อยๆ อาตมาเชื่อว่า 1 ปีจะเห็นผลระดับโรงเรียน 2-3 ปี จะเห็นผลระดับชุมชนของเครือข่ายย่อยๆ 4-5 ปี จะเห็นผลระดับเครือข่ายใหญ่ และเมื่อถึงจุดนั้น ประเทศไทยอาจผันตนเองพัฒนาขึ้นมาเป็นประเทศไทยต้นแบบในการแก้ไขปัญหาสังคมของโลกได้ และเชื่อมั่นว่าสังคมที่มีความยั่งยืนแท้จริงด้วยสติปัญญามาจากรากฐาน ย่อมสามารถที่จะรักษาภาวะความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเมืองไว้ได้ และสามารถเท่าทันรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงแม้ในสถานการณ์ที่ยากๆ จากภายนอกได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงประเทศไทยจะเป็นต้นแบบแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกทีเดียว
ถ้าสังคมของเรายังยืนอยู่บนขาของตนเองไม่ได้มั่นคง แต่หลงกระแสวิ่งแข่งกับเขาไปจะเกิดอะไรขึ้นในทางตรงข้ามหากสังคมไทยหยัดยืนอยู่ได้บนสองขาของตนเองยืนได้มั่นคงจากรากฐาน ก็เป็นอันหวังได้ว่าประเทศไทยเราจะเดินก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งและปลอดภัย ยั่งยืน
สิ่งเหล่านี้มิใช่สิ่งเพ้อฝัน แต่เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่มีมาจากรากฐาน จากรูปธรรมที่เกิดขึ้นจริงในโรงเรียนวิถีพุทธต้นแบบหลายๆ แห่ง และกำลังดำเนินไปอยู่ เหตุปัจจัยในระดับก้าวหน้านั้นเป็นไปได้ แต่ศาสนาพุทธสอนให้เรามิให้เอาแต่คอยรอ อ้อนวอน ร้องขอ งอมืองอเท้า แต่สอนให้เรามีปัญญาเห็นเหตุเห็นปัจจัยและให้ทำเหตุให้ถูกต้อง ต้องการผลอย่างไร ก็ให้ทำเหตุที่ตรงกับผล เมื่อทำเหตุได้ถึงพร้อม ผลนั้นก็ย่อมจะเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้จึงอยู่ที่ “การทำเหตุแห่งโรงเรียนวิถีพุทธให้ถึงพร้อม” ด้วยกันทุกฝ่ายนั้นเอง
หลายอย่างจะมียุทธศาสตร์ร่วม จะมีแกนกลางที่เป็นตัวประสาน หลายกิจกรรมทางศีลธรรม ทำแล้วไม่ได้ผลยั่งยืน ไม่ชัดเจน ไม่สืบเนื่อง ก็เพราะต่างคนต่างทำ ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีการประสานสอดคล้อง ไม่มี่เป้าหมายใหญ่ร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น ต้องการรณรงค์ศีล 5 แต่ทำได้แค่ทำป้ายติดไว้ตามวัด ไม่มีใคร ไม่มีมวลชนรับลูกต่อ แต่ถ้าหากโรงเรียนวิถีพุทธรับลูกต่อ แต่ถ้าหากโรงเรียนวิถีพุทธรับลูก พร้อมใจกันจับมือรณรงค์ทั่วประเทศ และทำให้ต่อเนื่องเป็นวิถีชีวิต ก็จะมีมวลชน มีผลกระทบ มีแรงกระทำต่อสังคมได้ หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่เห็นตรงกันอยู่แล้วก็ร่วมพลังทำกันได้เลย เช่น สำนักพุทธฯ มีนโยบายให้ข้าราชการปฏิบัติธรรมปีละ 3-5 วัน โดยไม่คิดเป็นวันลา ก็เป็นเรื่องเดียวกับนโยบายโครงการโรงเรียนวิถีพุทธฯ ที่ต้องการให้ครูและผู้บริหารโรงเรียนวิถีพุทธต้องปฏิบัติธรรม ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของข้าราชการก็คือครู และถ้าตัวแปรในสังคมส่วนนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ ก็จะส่งผลต่อเนื่องสู่สังคมอย่างมหาศาล ประหนึ่งเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ และถ้าหากสังคมเปลี่ยนแปลงไปจนถึงระดับกู้ “วัฏจักรแห่งความเจริญ วัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้” ขึ้นมาได้ กลับคืนมาสู่สังคมได้อย่างแท้จริง ถึงจุดนั้น การแก้ปัญหายาเสพติด ความยากจน การคอรัปชั่น อบายมุข ฯลฯ ก็จะได้รับการแก้ไขได้อย่างยั่งยืน ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ก็จะเป็นจริงได้จากรากฐาน จากการทำเหตุ มิใช่การวาดหวังผล และกระทำเพียงสิ่งที่ฉาบฉวยเฉพาะหน้าไม่ยั่งยืน
อุปมา ประเทศไทย ก็จะเป็นเหมือนโรงเรียนโรงเรียนหนึ่ง ที่เริ่มเข้าสู่ความเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ เริ่มพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการศึกษาที่แท้จริงขึ้นมาอีกครั้ง และจะไปสรรค์สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ขึ้นมาโอบล้อมคนทั้งสังคมไทยอีกครั้ง อ้อมกอดแห่งมารดาคือธรรมะจะกลับมาโอบกอดปกป้องคนไทยทั้งสังคมได้อีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่ตัวจริงของสังคมไทยจะกลับคืนมา ถ้าเราทำเหตุปัจจัยฝ่ายดีอย่างนี้ได้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จะไปเร็วไปช้าไม่เป็นไร ขอให้ต่อเนื่อง มีพัฒนาการไปเรื่อยๆ อาตมาเชื่อว่า 1 ปีจะเห็นผลระดับโรงเรียน 2-3 ปี จะเห็นผลระดับชุมชนของเครือข่ายย่อยๆ 4-5 ปี จะเห็นผลระดับเครือข่ายใหญ่ และเมื่อถึงจุดนั้น ประเทศไทยอาจผันตนเองพัฒนาขึ้นมาเป็นประเทศไทยต้นแบบในการแก้ไขปัญหาสังคมของโลกได้ และเชื่อมั่นว่าสังคมที่มีความยั่งยืนแท้จริงด้วยสติปัญญามาจากรากฐาน ย่อมสามารถที่จะรักษาภาวะความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเมืองไว้ได้ และสามารถเท่าทันรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงแม้ในสถานการณ์ที่ยากๆ จากภายนอกได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงประเทศไทยจะเป็นต้นแบบแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกทีเดียว
ถ้าสังคมของเรายังยืนอยู่บนขาของตนเองไม่ได้มั่นคง แต่หลงกระแสวิ่งแข่งกับเขาไปจะเกิดอะไรขึ้นในทางตรงข้ามหากสังคมไทยหยัดยืนอยู่ได้บนสองขาของตนเองยืนได้มั่นคงจากรากฐาน ก็เป็นอันหวังได้ว่าประเทศไทยเราจะเดินก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งและปลอดภัย ยั่งยืน
สิ่งเหล่านี้มิใช่สิ่งเพ้อฝัน แต่เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่มีมาจากรากฐาน จากรูปธรรมที่เกิดขึ้นจริงในโรงเรียนวิถีพุทธต้นแบบหลายๆ แห่ง และกำลังดำเนินไปอยู่ เหตุปัจจัยในระดับก้าวหน้านั้นเป็นไปได้ แต่ศาสนาพุทธสอนให้เรามิให้เอาแต่คอยรอ อ้อนวอน ร้องขอ งอมืองอเท้า แต่สอนให้เรามีปัญญาเห็นเหตุเห็นปัจจัยและให้ทำเหตุให้ถูกต้อง ต้องการผลอย่างไร ก็ให้ทำเหตุที่ตรงกับผล เมื่อทำเหตุได้ถึงพร้อม ผลนั้นก็ย่อมจะเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้จึงอยู่ที่ “การทำเหตุแห่งโรงเรียนวิถีพุทธให้ถึงพร้อม” ด้วยกันทุกฝ่ายนั้นเอง