หลังวันวิวาห์ที่ชื่นสุข บ่าวสาวหลายคู่ล้วนปรารถนาจะมีบุตรธิดา เพื่อเป็นโซ่ทองคล้องใจกันไวสมดังพุทธบรรหารในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาตปฐปัณณาสก์สุมนวรรคที่ ๔ สูตรที่ ๙ ปุตตสูตร ความว่า
“มารดาบิดาผู้ฉลาด เล็งเห็นฐานะ ๕ ประการ จึงปรารถนาบุตร ด้วยหวังว่า บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักเลี้ยง ตอบเรา จักทำกิจแทนเรา วงศ์สกุลจักดำรงอยู่ได้นาน บุตรจักปกครองทรัพย์มรดก และเมื่อเราตายไปแล้วบุตรจักบำเพ็ญทักษิณาทานให้ ฉะนั้น บุตรผู้เป็นสัปบุรุษ ผู้สงบมีกตัญญูกตเวที เมื่อระลึกถึงบุรพคุณของท่าน จึงเลี้ยงมารดาบิดา ทำกิจแทนท่าน เชื่อฟังโอวาทดำรงวงศ์สกุล บุตรผู้มีศรัทธาสมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมเป็นที่สรรเสริญทั่วไป”
ตามนัยแห่งพระสูตรนี้ บุตรผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมเป็นที่สรรเสริญทั่วไป ควรเป็นตัวอย่างแก่บุตรทั้งหลายในประเทศไทย คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชจริยาวัตรที่ทรงปฏิบัติต่อสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนี และ ม.ล.บัว กิตติยากร เป็นที่ปรากฏแก่คนไทยทั้งแผ่นดิน ควรที่บุตรธิดาทั้งหลายจักได้ปฏิบัติตนตามรอยพระยุคลบาท สร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในครอบครัวของตน แลสุขนั้นจักขยายผลไปสู่สังคมที่ตนอาศัยในที่สุด
กตัญญูกตเวทิตาธรรม แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ให้ความอุปการะ ที่เรียกว่า“บุพการีชน” กับบุคคลที่รับความอุปการะ ที่เรียกว่า “กตัญญูกตเวทีชน”กตัญญู หมายถึง การรู้จักระลึกถึงบุญคุณที่บุพพการีชนได้กระทำแล้วต่อตน กตเวที หมายถึง การตอบแทนบุญคุณท่านผู้เป็นบุพการีชนของตน
พ่อแม่ เป็นบุพการีชนแรกของคนทั้งหลาย อุปการคุณที่ท่านได้กระทำต่อบุตรธิดาคือ บำรุงเลี้ยงดูบุตรธิดาตั้งแต่แรกเกิดจนเติบใหญ่ พร่ำสอนอบรมความรู้เบื้องต้นในการดำเนินชีวิต แนะนำสั่งสอนหลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม คอยปกป้องมิให้ภยันตรายมากล้ำกรายสนับสนุนบุตรธิดาให้ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมตรงตามต้องการ ครั้นเติบใหญ่ควรแก่การมีครอบครัวก็จัดหาภรรยา-สามีที่สมควรถูกใจบุตรธิดาให้ตามฐานะ พร้อมมอบทรัพย์สินให้ในโอกาสที่เหมาะสม
บุตรธิดา ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงอุปการคุณของพ่อแม่ได้อยู่เสมอ คราถึงวัยที่สามารถแสดงกตเวทีต่อท่าน ก็บำรุงเลี้ยงดูท่านให้ได้รับความสุขอย่างเต็มความสามารถของตน ยามท่านมีกิจธุระจักทำ หากกิจนั้นตนสามารถทำได้ก็รับภาระทำกิจนั้นแทนท่าน รักษาชื่อเสียงอันดีงามของวงศ์สกุลให้ดำรงสืบอยู่ต่อจากท่าน ทำตนให้ท่านได้เกิดความภาคภูมิใจ และยินดีมอบทรัพย์มรดกให้เมื่อยามที่พ่อแม่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็บำเพ็ญกุศลในศาสนาอุทิศผลให้แก่ท่าน
ครูอาจารย์ เป็นบุพการีชนที่สองของคนทั้งหลาย อุปการคุณที่ท่านทำต่อศิษย์ คือ อบรมสั่งสอนศิลปวิทยาให้แก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถ ไม่ปิดบังอำพรางหรือลำเอียงด้วยความรักความชัง แนะนำให้ศิษย์ได้รู้จักวิถีการดำเนินชีวิตไปสู่ความสำเร็จ คราที่ศิษย์ทำดีมีผลงาน ก็ยกย่องศิษย์ให้มีชื่อเสียงปรากฏในเพื่อนฝูง คราที่ศิษย์ทำไม่ดีก็พร่ำอบรมแก้ไขด้วยใจเมตตากรุณาหวังให้ศิษย์ได้เป็นคนดี ปกป้องศิษย์ให้พ้นจากภยันตรายทั้งหลายที่จักเกิดขึ้นในขณะตนมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่
ศิษย์ ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงอุปการคุณของครูอาจารย์ได้อยู่เสมอ เมื่อถึงกาลที่ตนสามารถแสดงกตเวทีต่อท่านได้ ก็กระทำทันที เช่น ตั้งใจเรียนศิลปะวิทยาที่ครูอาจารย์พร่ำสอน เชื่อฟังคำแนะนำที่เกิดประโยชน์จากใจเมตตากรุณาของท่าน ยามท่านเดินมาก็ลุกขึ้นยืนรับด้วยความอ่อนน้อม ยามท่านประสงค์ความช่วยเหลือใน กิจการใด ก็เข้าไปช่วยเหลือท่านด้วยความเต็มใจ รับใช้ อุปัฏฐากท่านตามกำลังความสามารถของตน
พระสงฆ์หรือนักบวชในศาสนา เป็นบุพการีชนที่สามของคนทั้งหลาย อุปการคุณที่ท่านทำต่อศาสนิกชนคือ สั่งสอนอบรมหลักธรรมที่พระศาสดาได้แสดงไว้ให้ศาสนิกชนได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามหลักธรรมนั้นๆ จนศาสนิกชนสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันให้เกิดผลตามที่แสดงไว้ในหลักธรรมนั้น แจกแจงแสดงถึงความประพฤติที่ชั่วร้ายนำมาซึ่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและสังคม พร้อมทั้งย้ำให้รู้ว่านี้เป็นข้อห้ามที่พระศาสดาได้บัญญัติไว้ไม่ให้ปฏิบัติ แนะนำพรรณนาถึงความดีที่นำความสุขให้บังเกิดขึ้นแก่ตนเองและสังคม ให้รู้ว่านี้คือข้อปฏิบัติที่พระศาสดาทรงย้ำให้กระทำอยู่เสมอ อนุเคราะห์สงเคราะห์ศาสนิกชนด้วยน้ำใจอันเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา บอกพรรณนาถึงสิ่งที่ศาสนิกชนยังไม่เคยฟังในหลักธรรมของพระศาสดา แจกแจงหลักธรรมที่ศาสนิกชนเคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มกระจ่างมากขึ้น แนะนำวิถีดำเนินชีวิตไปสู่สวรรค์หรือสุคติในศาสนายามเมื่อต้องตายไปจากโลกนี้
ศาสนิกชน ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงอุปการคุณของพระสงฆ์หรือนักบวชในศาสนาได้อยู่เสมอเมื่อประสงค์จะแสดงกตเวทีต่อท่าน ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจอย่างถูกต้องตามที่ท่านสอน ด้วยความยินดีต้อนรับท่านเสมอ เมื่อท่านมาเยือนบ้านเรือน ช่วยเหลือในกิจการของท่านตามกำลังความสามารถของตน บริจาคทรัพย์สินและแรงกายในการทำนุบำรุงวัดหรือศาสนสถานที่ท่านพำนักอยู่ให้มีควรแก่สมณบริโภค จะทำ จะพูด จะคิดนึกสิ่งใดที่เกี่ยวเนื่องกับท่าน ต้องกระทำด้วยความเคารพและเมตตาต่อท่าน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นบุพการีชนที่สี่ของพสกนิกร พระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรคือพระราชทานโครงการที่อำนวยสุขประโยชน์ให้แก่พสกนิกรอย่าง ทั่วถึง ทั้งยามปกติและประสบภัยพิบัติ พระราชทานพระบรมราโชวาทที่เป็นหลักธรรมกอปรประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตที่อำนวยสันติสุขแก่บุคคลและคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าตามโอกาสต่างๆ ยามประเทศชาติเกิดวิกฤตการณ์ ทรงเป็นผู้นำพาพสกนิกรให้พ้นจากภัยแห่งวิกฤตการณ์นั้น ทรงมอบหมายให้พระบรมวงศานุวงศ์ปฏิบัติพระราชกิจแทนพระองค์เพื่อความต่อเนื่องของพระราชกิจนั้นๆ ตลอด ๕๙ ปี ที่ทรงครองสิริราชสมบัติ พระมหากรุณาธิคุณได้ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทยเป็นอเนกประการ
พสกนิกร ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณได้อยู่เสมอ เมื่อประสงค์จะแสดงกตเวที แด่พระองค์ ด้วยการถวายความเคารพและจงรักภักดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ปกป้องเทิดทูนรักษาพระเกียรติยศให้มั่นคง ดำเนินชีวิตให้อยู่ในกรอบของกฎหมายบ้านเมือง น้อมนำพระบรมราโชวาทมาเป็นหลักปฏิบัติตนให้เกิดสันติสุขแก่ตนและสังคมที่ตนอาศัย ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาชุมชนของตนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีมีสันติสุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันตามแนวพระราชดำริ การใดที่จะช่วยแบ่งเบาพระราชภาระ ก็ขวนขวายดำเนินการให้สำเร็จทันที ปฏิบัติตนให้แสดงออกถึงความภูมิใจที่ได้เป็นพสกนิกรภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
สามีภรรยา ย่อมเป็นบุพการีชนที่ห้าของกันแลกัน อุปการคุณที่สามีทำต่อภรรยาคือ ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา คือให้เกียรติปกป้องภรรยาอยู่เสมอ ไม่ดูหมิ่น ไม่ประพฤตินอกใจ มอบความเป็นใหญ่ในการดูแลบ้านเรือนและบริหารทรัพย์สินให้ จัดหาเครื่องแต่งตัวเครื่องประทินผิวให้ภรรยาตามโอกาสอันควร ช่วยแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูบุตรธิดาตามกาล อุปการคุณที่ภรรยาทำต่อสามีคือให้ความยกย่องนับถือว่าเป็นสามี รับภาระจัดการงานใน บ้านเรือนให้ดี มีความขยัน ไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง รักษาบริหารทรัพย์ที่สามีหามาได้ให้เกิดมีสุขประโยชน์แก่ครอบครัว ไม่ประพฤตินอกใจสามี อนุเคราะห์สงเคราะห์ญาติของสามีตามกำลังความสามารถ ให้ได้รับความสุขสบายตามฐานะ
สามีภรรยา ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงอุปการคุณที่ตนได้รับอยู่เสมอ เมื่อประสงค์จะแสดงกตเวทีต่อกัน ก็พึงทำหน้าที่ของตนให้สมฐานะบรรพชนผู้ฉลาดจึงสอนภรรยาให้กราบเท้าสามีก่อนนอนเสมอ และสอนให้นอนที่หลังแต่ตื่นก่อนสามี พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมสอนสามีให้สำนึกว่าภรรยาได้มอบกายและชีวิตให้ตนปกป้อง ดังนั้นสามีพึงรู้สำนึกหน้าที่ของตนว่าต้องทำให้ภรรยาได้รับความสุขอยู่เสมอ
ผู้บังคับบัญชา (เจ้านาย) ย่อมเป็นบุพพการีชนที่หกของผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) อุปการคุณที่ท่านทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชาคือ จัดหางานให้ทำตามกำลังความสามารถ อบรมพัฒนาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สนับสนุนให้มีความเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน มีความเสมอภาคในการบังคับบัญชา ปราศจากอคติ ปกครองด้วยคุณธรรม ปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาให้พ้นจากข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล ให้เงินเดือน ให้การรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้ ไม่ทำร้ายด้วยกายหรือวาจา ไม่เอาเปรียบแรงงาน
ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงคุณของผู้บังคับบัญชาอยู่เสมอ พึงแสดงกตเวทีด้วยการทำงานในหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต พัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับงาน พัฒนางานให้มีคุณภาพมากขึ้น สรรเสริญคุณของท่านให้ปรากฏแก่ผู้อื่น ปกป้องรักษาเกียรติยศของท่าน ไม่นินทา ไม่มุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจากอำนาจหน้าที่ของตนและผู้บังคับบัญชา
มิตร ย่อมเป็นบุพการีชนที่เจ็ดของมิตร อุปการคุณที่มิตรพึงทำต่อกันคือ ให้ปันสิ่งของ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การใดที่เป็นสุขประโยชน์ของมิตร ก็เร่งทำการนั้นให้สำเร็จ รักษาผลประโยชน์ของมิตรด้วยใจเมตตากรุณาต่อกัน เจรจากันด้วยถ้อยคำไพเราะ มีความเสมอภาคต่อกันไม่ละทิ้งกันยามเมื่อมิตรพบภัยพิบัติ เมื่อมีภัยถึงมิตรพร้อมเป็นที่พึ่งพำนักให้ ให้ความนับถือต่อครอบครัวของมิตรไม่เอาเปรียบ ยกย่องมิตรทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่พามิตรไปสู่ความล้มเหลวของชีวิต
มิตร ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงคุณของมิตรที่ได้กระทำแล้วต่อตนอยู่เสมอ เมื่อจะแสดงกตเวทีต่อมิตรผู้นั้น ก็พึงปฏิบัติตนเช่นเดียวกัน
ความกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมความประพฤติส่วนดีของบุคคลที่มีความสัมพันธ์ดังแสดงมานี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ต้องมีความตั้งใจจริง พยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงใจและมีจริยธรรม เห็นความสำคัญของบุพการีชนอย่างถ่องแท้ จึงสามารถปฏิบัติตนได้ดังกล่าวมา
เหตุนี้ สมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงนิพนธ์ว่า “ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี”
ธรรมชาติของคนเราย่อมตกอยู่ในอำนาจของความอยากได้อยากมี ความโกรธและความหลง ที่เป็นกิเลสพื้นฐานที่ครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา คนที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสเหล่านี้ มักเป็นคนอกตัญญูกตเวที คือคนที่ไม่รู้จักอุปการคุณของผู้อื่น และไม่รู้จักทดแทนคุณท่าน เขาเป็นคนที่สังคมประณามว่าเป็นคนชั่วคนเลว พึงพิจารณาจากพ่อแม่ที่ตกอยู่ในอำนาจกิเลสทั้งสาม ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ เลี้ยงลูกแบบทิ้งๆขว้างๆ ไม่ขวนขวายหาสุขประโยชน์แก่ลูก มุ่งแสวงหาสุขใส่ตัวเพียงส่วนเดียว ลูกจะเป็นจะตายเช่นไรไม่สนใจ บางรายเมื่อคลอดลูกแล้วก็ไปทิ้งตามที่สาธารณะ เช่นนี้ก็ไม่ควรเรียกว่าเป็นบุพการีชน บุตรธิดาที่ถูกกิเลสครอบงำ ก็มุ่งแต่ทำสิ่งต่างๆที่อำนวยสุขประโยชน์แก่ตน ไม่สนใจความทุกข์ยากเดือดร้อนของพ่อแม่ สร้างปัญหาให้ท่านไม่รู้จบ ท่านทำไม่ถูกใจก็ด่าว่า เขาเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กใจแตกที่สร้างปัญหาในสังคม มักถูกประณามว่า ลูกทรพี แม้เป็นลูกกตัญญูกตเวทีมาตลอดแต่เมื่อถูกกิเลสครอบงำเพียงชั่ววูบ ก็เป็นลูกทรพีได้เช่นกัน ดังนิทานพื้นบ้านจังหวัดยโสธรเรื่องกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่
เมื่อเข้าใจในกตัญญูกตเวทิตาธรรมดังนี้ คงพบสัจธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเด่นชัดในประเทศไทยขณะนี้ คือความอกตัญญูกตเวทีของคนที่สร้างภัยพิบัติแก่สังคมคนเหล่านี้มุ่งแต่ผลประโยชน์ของตนและหมู่คณะ เขาจึงทำลายล้างผลาญชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นได้อยู่เสมอ เสียงปืนเสียงระเบิดที่ดังอยู่ในปัตตานี นราธิวาส และยะลา การทุจริตในวงราชการ และอีกหลายกรณี ล้วนเป็นผลงานของเขาทั้งสิ้น
กัลยาณชนทั้งหลาย จงศึกษาและปฏิบัติตามพระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าฯ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๔๘ นี้เถิด ดังความตอนที่ว่า “...คำประณามของท่านต่อบุคคลที่อำมหิตเหล่านั้น จะได้ผลไปไกลทั่วโลกว่า คนอำมหิตเหล่านี้รังแกคนไทยที่ประกอบสัมมาอาชีพอย่างบริสุทธิ์แท้ๆ มารังแกอยู่เช่นนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าเราทำได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านลองไปคิดเอง ลองปรึกษากัน คิดเองว่าถึงเวลาหรือยัง ควรหรือยังที่เราจะพร้อมใจรวมหัวกัน ไม่ยอมอยู่นั่งเฉยๆ เงียบเฉย ระเบิดตูมหรือเกิดอะไรขึ้นก็เฉยอยู่อย่างเดียว มอบให้เป็นงานของรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ เราทำเช่นนี้ไม่ได้ เราควรจะรวมหัวกัน รวมใจช่วยคุ้มครองประเทศไทยโดยไม่ต้องถืออาวุธ เป็นพลังที่ถูกต้อง แสดงความคิดเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่อำมหิตโหดร้าย ตัดสิทธิมนุษยชน แทนที่จะได้อยู่อย่างสมประกอบอยู่อย่างดี ทำมาหากิน ตัดสิทธิของคนไทยทั้งสิ้นกลายเป็นคนที่ขาขาด ตาบอด แขนขาด อย่างนี้ อันตรายถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงหวังอย่างยิ่งว่า คนไทยทั้งหลายที่ข้าพเจ้ามีความหวังอย่างมากที่เชิญมา เท่ากับว่าเป็นผู้ที่ออกปากสาบานมาแล้วว่าจะตอบแทนพระคุณแผ่นดิน หวังว่าท่านจะสามัคคีปรองดอง พร้อมใจกันตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เพื่อสร้างประเทศไทยที่น่าอยู่ไว้ให้ลูกหลานไทยสืบไป...”
ความกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมที่บุคคลสามารถปฏิบัติได้ยาก เหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ตติยปัณณาสก์ อาปายิกวรรคที่ ๒ สูตรที่ ๒ ทุลลภสูตร ว่าด้วยบุคคลหาได้ยาก ความว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏแห่งบุคคล ๓ จำพวกหาได้ยากในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑, บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ๑, กตัญญูกตเวทีบุคคล ๑, ความปรากฏแห่งบุคคล ๓ จำพวกนี้แลหาได้ยากในโลก”
กตัญญูกตเวทิตาธรรม คือธรรมที่จะนำประเทศไทยไปสู่ความวัฒนาสถาพร มีแต่สันติสุขและสันติภาพ ดังนั้นผู้ปรารถนามุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นเช่นนั้น จึงต้องประพฤติตนเป็นคนดีมีความกตัญญูกตเวที ตลอดชีวิตแล
“มารดาบิดาผู้ฉลาด เล็งเห็นฐานะ ๕ ประการ จึงปรารถนาบุตร ด้วยหวังว่า บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักเลี้ยง ตอบเรา จักทำกิจแทนเรา วงศ์สกุลจักดำรงอยู่ได้นาน บุตรจักปกครองทรัพย์มรดก และเมื่อเราตายไปแล้วบุตรจักบำเพ็ญทักษิณาทานให้ ฉะนั้น บุตรผู้เป็นสัปบุรุษ ผู้สงบมีกตัญญูกตเวที เมื่อระลึกถึงบุรพคุณของท่าน จึงเลี้ยงมารดาบิดา ทำกิจแทนท่าน เชื่อฟังโอวาทดำรงวงศ์สกุล บุตรผู้มีศรัทธาสมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมเป็นที่สรรเสริญทั่วไป”
ตามนัยแห่งพระสูตรนี้ บุตรผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมเป็นที่สรรเสริญทั่วไป ควรเป็นตัวอย่างแก่บุตรทั้งหลายในประเทศไทย คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชจริยาวัตรที่ทรงปฏิบัติต่อสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนี และ ม.ล.บัว กิตติยากร เป็นที่ปรากฏแก่คนไทยทั้งแผ่นดิน ควรที่บุตรธิดาทั้งหลายจักได้ปฏิบัติตนตามรอยพระยุคลบาท สร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในครอบครัวของตน แลสุขนั้นจักขยายผลไปสู่สังคมที่ตนอาศัยในที่สุด
กตัญญูกตเวทิตาธรรม แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ให้ความอุปการะ ที่เรียกว่า“บุพการีชน” กับบุคคลที่รับความอุปการะ ที่เรียกว่า “กตัญญูกตเวทีชน”กตัญญู หมายถึง การรู้จักระลึกถึงบุญคุณที่บุพพการีชนได้กระทำแล้วต่อตน กตเวที หมายถึง การตอบแทนบุญคุณท่านผู้เป็นบุพการีชนของตน
พ่อแม่ เป็นบุพการีชนแรกของคนทั้งหลาย อุปการคุณที่ท่านได้กระทำต่อบุตรธิดาคือ บำรุงเลี้ยงดูบุตรธิดาตั้งแต่แรกเกิดจนเติบใหญ่ พร่ำสอนอบรมความรู้เบื้องต้นในการดำเนินชีวิต แนะนำสั่งสอนหลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม คอยปกป้องมิให้ภยันตรายมากล้ำกรายสนับสนุนบุตรธิดาให้ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมตรงตามต้องการ ครั้นเติบใหญ่ควรแก่การมีครอบครัวก็จัดหาภรรยา-สามีที่สมควรถูกใจบุตรธิดาให้ตามฐานะ พร้อมมอบทรัพย์สินให้ในโอกาสที่เหมาะสม
บุตรธิดา ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงอุปการคุณของพ่อแม่ได้อยู่เสมอ คราถึงวัยที่สามารถแสดงกตเวทีต่อท่าน ก็บำรุงเลี้ยงดูท่านให้ได้รับความสุขอย่างเต็มความสามารถของตน ยามท่านมีกิจธุระจักทำ หากกิจนั้นตนสามารถทำได้ก็รับภาระทำกิจนั้นแทนท่าน รักษาชื่อเสียงอันดีงามของวงศ์สกุลให้ดำรงสืบอยู่ต่อจากท่าน ทำตนให้ท่านได้เกิดความภาคภูมิใจ และยินดีมอบทรัพย์มรดกให้เมื่อยามที่พ่อแม่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็บำเพ็ญกุศลในศาสนาอุทิศผลให้แก่ท่าน
ครูอาจารย์ เป็นบุพการีชนที่สองของคนทั้งหลาย อุปการคุณที่ท่านทำต่อศิษย์ คือ อบรมสั่งสอนศิลปวิทยาให้แก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถ ไม่ปิดบังอำพรางหรือลำเอียงด้วยความรักความชัง แนะนำให้ศิษย์ได้รู้จักวิถีการดำเนินชีวิตไปสู่ความสำเร็จ คราที่ศิษย์ทำดีมีผลงาน ก็ยกย่องศิษย์ให้มีชื่อเสียงปรากฏในเพื่อนฝูง คราที่ศิษย์ทำไม่ดีก็พร่ำอบรมแก้ไขด้วยใจเมตตากรุณาหวังให้ศิษย์ได้เป็นคนดี ปกป้องศิษย์ให้พ้นจากภยันตรายทั้งหลายที่จักเกิดขึ้นในขณะตนมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่
ศิษย์ ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงอุปการคุณของครูอาจารย์ได้อยู่เสมอ เมื่อถึงกาลที่ตนสามารถแสดงกตเวทีต่อท่านได้ ก็กระทำทันที เช่น ตั้งใจเรียนศิลปะวิทยาที่ครูอาจารย์พร่ำสอน เชื่อฟังคำแนะนำที่เกิดประโยชน์จากใจเมตตากรุณาของท่าน ยามท่านเดินมาก็ลุกขึ้นยืนรับด้วยความอ่อนน้อม ยามท่านประสงค์ความช่วยเหลือใน กิจการใด ก็เข้าไปช่วยเหลือท่านด้วยความเต็มใจ รับใช้ อุปัฏฐากท่านตามกำลังความสามารถของตน
พระสงฆ์หรือนักบวชในศาสนา เป็นบุพการีชนที่สามของคนทั้งหลาย อุปการคุณที่ท่านทำต่อศาสนิกชนคือ สั่งสอนอบรมหลักธรรมที่พระศาสดาได้แสดงไว้ให้ศาสนิกชนได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามหลักธรรมนั้นๆ จนศาสนิกชนสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันให้เกิดผลตามที่แสดงไว้ในหลักธรรมนั้น แจกแจงแสดงถึงความประพฤติที่ชั่วร้ายนำมาซึ่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและสังคม พร้อมทั้งย้ำให้รู้ว่านี้เป็นข้อห้ามที่พระศาสดาได้บัญญัติไว้ไม่ให้ปฏิบัติ แนะนำพรรณนาถึงความดีที่นำความสุขให้บังเกิดขึ้นแก่ตนเองและสังคม ให้รู้ว่านี้คือข้อปฏิบัติที่พระศาสดาทรงย้ำให้กระทำอยู่เสมอ อนุเคราะห์สงเคราะห์ศาสนิกชนด้วยน้ำใจอันเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา บอกพรรณนาถึงสิ่งที่ศาสนิกชนยังไม่เคยฟังในหลักธรรมของพระศาสดา แจกแจงหลักธรรมที่ศาสนิกชนเคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มกระจ่างมากขึ้น แนะนำวิถีดำเนินชีวิตไปสู่สวรรค์หรือสุคติในศาสนายามเมื่อต้องตายไปจากโลกนี้
ศาสนิกชน ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงอุปการคุณของพระสงฆ์หรือนักบวชในศาสนาได้อยู่เสมอเมื่อประสงค์จะแสดงกตเวทีต่อท่าน ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจอย่างถูกต้องตามที่ท่านสอน ด้วยความยินดีต้อนรับท่านเสมอ เมื่อท่านมาเยือนบ้านเรือน ช่วยเหลือในกิจการของท่านตามกำลังความสามารถของตน บริจาคทรัพย์สินและแรงกายในการทำนุบำรุงวัดหรือศาสนสถานที่ท่านพำนักอยู่ให้มีควรแก่สมณบริโภค จะทำ จะพูด จะคิดนึกสิ่งใดที่เกี่ยวเนื่องกับท่าน ต้องกระทำด้วยความเคารพและเมตตาต่อท่าน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นบุพการีชนที่สี่ของพสกนิกร พระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรคือพระราชทานโครงการที่อำนวยสุขประโยชน์ให้แก่พสกนิกรอย่าง ทั่วถึง ทั้งยามปกติและประสบภัยพิบัติ พระราชทานพระบรมราโชวาทที่เป็นหลักธรรมกอปรประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตที่อำนวยสันติสุขแก่บุคคลและคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าตามโอกาสต่างๆ ยามประเทศชาติเกิดวิกฤตการณ์ ทรงเป็นผู้นำพาพสกนิกรให้พ้นจากภัยแห่งวิกฤตการณ์นั้น ทรงมอบหมายให้พระบรมวงศานุวงศ์ปฏิบัติพระราชกิจแทนพระองค์เพื่อความต่อเนื่องของพระราชกิจนั้นๆ ตลอด ๕๙ ปี ที่ทรงครองสิริราชสมบัติ พระมหากรุณาธิคุณได้ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทยเป็นอเนกประการ
พสกนิกร ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณได้อยู่เสมอ เมื่อประสงค์จะแสดงกตเวที แด่พระองค์ ด้วยการถวายความเคารพและจงรักภักดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ปกป้องเทิดทูนรักษาพระเกียรติยศให้มั่นคง ดำเนินชีวิตให้อยู่ในกรอบของกฎหมายบ้านเมือง น้อมนำพระบรมราโชวาทมาเป็นหลักปฏิบัติตนให้เกิดสันติสุขแก่ตนและสังคมที่ตนอาศัย ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาชุมชนของตนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีมีสันติสุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันตามแนวพระราชดำริ การใดที่จะช่วยแบ่งเบาพระราชภาระ ก็ขวนขวายดำเนินการให้สำเร็จทันที ปฏิบัติตนให้แสดงออกถึงความภูมิใจที่ได้เป็นพสกนิกรภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
สามีภรรยา ย่อมเป็นบุพการีชนที่ห้าของกันแลกัน อุปการคุณที่สามีทำต่อภรรยาคือ ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา คือให้เกียรติปกป้องภรรยาอยู่เสมอ ไม่ดูหมิ่น ไม่ประพฤตินอกใจ มอบความเป็นใหญ่ในการดูแลบ้านเรือนและบริหารทรัพย์สินให้ จัดหาเครื่องแต่งตัวเครื่องประทินผิวให้ภรรยาตามโอกาสอันควร ช่วยแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูบุตรธิดาตามกาล อุปการคุณที่ภรรยาทำต่อสามีคือให้ความยกย่องนับถือว่าเป็นสามี รับภาระจัดการงานใน บ้านเรือนให้ดี มีความขยัน ไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง รักษาบริหารทรัพย์ที่สามีหามาได้ให้เกิดมีสุขประโยชน์แก่ครอบครัว ไม่ประพฤตินอกใจสามี อนุเคราะห์สงเคราะห์ญาติของสามีตามกำลังความสามารถ ให้ได้รับความสุขสบายตามฐานะ
สามีภรรยา ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงอุปการคุณที่ตนได้รับอยู่เสมอ เมื่อประสงค์จะแสดงกตเวทีต่อกัน ก็พึงทำหน้าที่ของตนให้สมฐานะบรรพชนผู้ฉลาดจึงสอนภรรยาให้กราบเท้าสามีก่อนนอนเสมอ และสอนให้นอนที่หลังแต่ตื่นก่อนสามี พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมสอนสามีให้สำนึกว่าภรรยาได้มอบกายและชีวิตให้ตนปกป้อง ดังนั้นสามีพึงรู้สำนึกหน้าที่ของตนว่าต้องทำให้ภรรยาได้รับความสุขอยู่เสมอ
ผู้บังคับบัญชา (เจ้านาย) ย่อมเป็นบุพพการีชนที่หกของผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) อุปการคุณที่ท่านทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชาคือ จัดหางานให้ทำตามกำลังความสามารถ อบรมพัฒนาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สนับสนุนให้มีความเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน มีความเสมอภาคในการบังคับบัญชา ปราศจากอคติ ปกครองด้วยคุณธรรม ปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาให้พ้นจากข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล ให้เงินเดือน ให้การรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้ ไม่ทำร้ายด้วยกายหรือวาจา ไม่เอาเปรียบแรงงาน
ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงคุณของผู้บังคับบัญชาอยู่เสมอ พึงแสดงกตเวทีด้วยการทำงานในหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต พัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับงาน พัฒนางานให้มีคุณภาพมากขึ้น สรรเสริญคุณของท่านให้ปรากฏแก่ผู้อื่น ปกป้องรักษาเกียรติยศของท่าน ไม่นินทา ไม่มุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจากอำนาจหน้าที่ของตนและผู้บังคับบัญชา
มิตร ย่อมเป็นบุพการีชนที่เจ็ดของมิตร อุปการคุณที่มิตรพึงทำต่อกันคือ ให้ปันสิ่งของ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การใดที่เป็นสุขประโยชน์ของมิตร ก็เร่งทำการนั้นให้สำเร็จ รักษาผลประโยชน์ของมิตรด้วยใจเมตตากรุณาต่อกัน เจรจากันด้วยถ้อยคำไพเราะ มีความเสมอภาคต่อกันไม่ละทิ้งกันยามเมื่อมิตรพบภัยพิบัติ เมื่อมีภัยถึงมิตรพร้อมเป็นที่พึ่งพำนักให้ ให้ความนับถือต่อครอบครัวของมิตรไม่เอาเปรียบ ยกย่องมิตรทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่พามิตรไปสู่ความล้มเหลวของชีวิต
มิตร ผู้เป็นกตัญญูชน ย่อมรู้จักและระลึกถึงคุณของมิตรที่ได้กระทำแล้วต่อตนอยู่เสมอ เมื่อจะแสดงกตเวทีต่อมิตรผู้นั้น ก็พึงปฏิบัติตนเช่นเดียวกัน
ความกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมความประพฤติส่วนดีของบุคคลที่มีความสัมพันธ์ดังแสดงมานี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ต้องมีความตั้งใจจริง พยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงใจและมีจริยธรรม เห็นความสำคัญของบุพการีชนอย่างถ่องแท้ จึงสามารถปฏิบัติตนได้ดังกล่าวมา
เหตุนี้ สมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงนิพนธ์ว่า “ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี”
ธรรมชาติของคนเราย่อมตกอยู่ในอำนาจของความอยากได้อยากมี ความโกรธและความหลง ที่เป็นกิเลสพื้นฐานที่ครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา คนที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสเหล่านี้ มักเป็นคนอกตัญญูกตเวที คือคนที่ไม่รู้จักอุปการคุณของผู้อื่น และไม่รู้จักทดแทนคุณท่าน เขาเป็นคนที่สังคมประณามว่าเป็นคนชั่วคนเลว พึงพิจารณาจากพ่อแม่ที่ตกอยู่ในอำนาจกิเลสทั้งสาม ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ เลี้ยงลูกแบบทิ้งๆขว้างๆ ไม่ขวนขวายหาสุขประโยชน์แก่ลูก มุ่งแสวงหาสุขใส่ตัวเพียงส่วนเดียว ลูกจะเป็นจะตายเช่นไรไม่สนใจ บางรายเมื่อคลอดลูกแล้วก็ไปทิ้งตามที่สาธารณะ เช่นนี้ก็ไม่ควรเรียกว่าเป็นบุพการีชน บุตรธิดาที่ถูกกิเลสครอบงำ ก็มุ่งแต่ทำสิ่งต่างๆที่อำนวยสุขประโยชน์แก่ตน ไม่สนใจความทุกข์ยากเดือดร้อนของพ่อแม่ สร้างปัญหาให้ท่านไม่รู้จบ ท่านทำไม่ถูกใจก็ด่าว่า เขาเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กใจแตกที่สร้างปัญหาในสังคม มักถูกประณามว่า ลูกทรพี แม้เป็นลูกกตัญญูกตเวทีมาตลอดแต่เมื่อถูกกิเลสครอบงำเพียงชั่ววูบ ก็เป็นลูกทรพีได้เช่นกัน ดังนิทานพื้นบ้านจังหวัดยโสธรเรื่องกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่
เมื่อเข้าใจในกตัญญูกตเวทิตาธรรมดังนี้ คงพบสัจธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเด่นชัดในประเทศไทยขณะนี้ คือความอกตัญญูกตเวทีของคนที่สร้างภัยพิบัติแก่สังคมคนเหล่านี้มุ่งแต่ผลประโยชน์ของตนและหมู่คณะ เขาจึงทำลายล้างผลาญชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นได้อยู่เสมอ เสียงปืนเสียงระเบิดที่ดังอยู่ในปัตตานี นราธิวาส และยะลา การทุจริตในวงราชการ และอีกหลายกรณี ล้วนเป็นผลงานของเขาทั้งสิ้น
กัลยาณชนทั้งหลาย จงศึกษาและปฏิบัติตามพระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าฯ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๔๘ นี้เถิด ดังความตอนที่ว่า “...คำประณามของท่านต่อบุคคลที่อำมหิตเหล่านั้น จะได้ผลไปไกลทั่วโลกว่า คนอำมหิตเหล่านี้รังแกคนไทยที่ประกอบสัมมาอาชีพอย่างบริสุทธิ์แท้ๆ มารังแกอยู่เช่นนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าเราทำได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านลองไปคิดเอง ลองปรึกษากัน คิดเองว่าถึงเวลาหรือยัง ควรหรือยังที่เราจะพร้อมใจรวมหัวกัน ไม่ยอมอยู่นั่งเฉยๆ เงียบเฉย ระเบิดตูมหรือเกิดอะไรขึ้นก็เฉยอยู่อย่างเดียว มอบให้เป็นงานของรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ เราทำเช่นนี้ไม่ได้ เราควรจะรวมหัวกัน รวมใจช่วยคุ้มครองประเทศไทยโดยไม่ต้องถืออาวุธ เป็นพลังที่ถูกต้อง แสดงความคิดเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่อำมหิตโหดร้าย ตัดสิทธิมนุษยชน แทนที่จะได้อยู่อย่างสมประกอบอยู่อย่างดี ทำมาหากิน ตัดสิทธิของคนไทยทั้งสิ้นกลายเป็นคนที่ขาขาด ตาบอด แขนขาด อย่างนี้ อันตรายถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงหวังอย่างยิ่งว่า คนไทยทั้งหลายที่ข้าพเจ้ามีความหวังอย่างมากที่เชิญมา เท่ากับว่าเป็นผู้ที่ออกปากสาบานมาแล้วว่าจะตอบแทนพระคุณแผ่นดิน หวังว่าท่านจะสามัคคีปรองดอง พร้อมใจกันตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เพื่อสร้างประเทศไทยที่น่าอยู่ไว้ให้ลูกหลานไทยสืบไป...”
ความกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมที่บุคคลสามารถปฏิบัติได้ยาก เหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ตติยปัณณาสก์ อาปายิกวรรคที่ ๒ สูตรที่ ๒ ทุลลภสูตร ว่าด้วยบุคคลหาได้ยาก ความว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏแห่งบุคคล ๓ จำพวกหาได้ยากในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑, บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ๑, กตัญญูกตเวทีบุคคล ๑, ความปรากฏแห่งบุคคล ๓ จำพวกนี้แลหาได้ยากในโลก”
กตัญญูกตเวทิตาธรรม คือธรรมที่จะนำประเทศไทยไปสู่ความวัฒนาสถาพร มีแต่สันติสุขและสันติภาพ ดังนั้นผู้ปรารถนามุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นเช่นนั้น จึงต้องประพฤติตนเป็นคนดีมีความกตัญญูกตเวที ตลอดชีวิตแล