ปุจฉา
นอนสวดมนตบาปไหม์
หลวงปู่ครับ สงสัยว่านอนสวดมนต์ไหว้พระเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
วิสัชนา
อุตส่าห์นอนเลยเหรอ! เห็นใจเถอะกระดูกไม่ดี มันสู้อุตส่าห์นอนก็ดีแล้ว ไม่พนมมือ พยักหน้ากับพระบอกว่า หลวงพ่อเหมือนเดิม มันสวดก็ดีแล้ว ดีกว่าบอกหลวงพ่อเหมือนเดิม เหมือนเดิมอะไรล่ะ ก็เหมือนเดิมเมื่อวานนี้ หนูนะโม 3 จบ วันนี้ก็เหมือนเดิม วันแรกก็ลดเหลือสอง วันที่สองลดเหลือหนึ่ง แล้ววันสุดท้ายก็เหมือนเดิม
เพราะฉะนั้น นอนสวดก็ยังดีลูกก็ทำเถอะ อะไรที่เราทำแล้วมันสบายใจ ไม่ลำบากจนเกินไป แต่มันน่าเกลียดนะลูก น่าเกลียด จะทำดีทั้งที ปัดโถ่! เวรกรรม นอนก็เอาเหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่พยายามจะคืบหาของเล่น พอเขาห้ามไม่ให้เล่น ก็นอนเอาตีนเขี่ยก็ยังดี ไม่ได้เล่นด้วยมือก็เอาตีนเขี่ยเอาเงาทับอะไรอย่างนี้ เหมือนกับคนไม่ตั้งใจจะทำดีให้กับตัวเอง เอาเป็นว่า ทำได้ดีทำไปเถอะ คิดว่าตัวเองเป็นง่อยพิการก็ไม่เป็นไร แต่มันจะฝึกนิสัยให้เป็นคนหยาบกระด้าง มักง่าย มักเหมือนกันแต่ไม่ใช่มรรคแปด แต่มักง่าย มักเห็นแก่ตัว แล้วก็มักสันหลังยาว เกียจคร้าน และจะทำอะไรที่ดีไปกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว พวกนี้จะจบอยู่ตรงนั้น ขนาดนอนสวดมนต์ก็ยังเอา ก็ยังดีกว่าไม่เอาอะไรเลย ดีกว่าอยู่เฉยๆ ลูกขออนุโมทนาในกุศล และเจตนาในท่านที่นอนสวดมนต์ด้วย
ปุจฉา
ฝันเกิดเขึ้นได้อย่างไร
ถ้าบางคนฝันร้ายและเกิดกลัวคิดมาก ความฝันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร
วิสัชนา
ความฝันเกิดขึ้นได้จากเหตุ 4 อย่าง คือ
1. ลมกำเริบ ร่างกายเรานี้มีธาตุลม คือความไม่ปกติแห่งธาตุ เราอาจจะเก็บกด คิดมาก ใคร๋ครวญ วิตกกังวลและเก็บเอาไว้ จนกลายเป็นความกำเริบเมื่อตอนนอนหลับ เขาว่าคนนอนหลับเป็นคนที่ไม่ใช่คน เหมือนมีคำถามที่พราหมณ์มาถามพระพุทธเจ้าว่า สาวกของพระองค์เป็นพระทุกลมหายใจหรือเปล่า พระศาสดาทรงแสดงต่อพราหมณ์ผู้นั้นว่า "ไม่เลย พราหมณ์ ตราบใดที่สาวกแห่งเราเป็นคนขาดสติ คนมอมเมา คนงมงาย และก็คนหลับ" แสดงว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่ถือว่า คนที่บวชเข้ามาตอนหลับนั้นเป็นพระ แล้วเป็นอะไร ก็เป็นสามัญชนธรรมดา เพราะคนหลับคือคนขาดสติ เราศาสดาไม่ยอมรับคนขาดสติเป็นสาวก การหลับมันขาดผู้ควบคุม กิริยาอาการที่เราเก็บกดเอาไว้ สมัยที่มีสติก็ไม่มีการเก็บกด เพราะขาดผู้ควบคุม ก็จะกำเริบแล้วก็เลื่อนไหลออกไปแสวงหาสิ่งต่างๆ นอกกาย เขาเรียกว่า ไม่มีสติในการนอน
อีกประเด็นหนึ่งของลมกำเริบคือ ร่างกายไม่ปกติ ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย สุขภาพไม่ดี ก็เป็นเหตุทำให้เกิดความฝัน
2. จิตอาวรณ์ คือ คนหมกมุ่นครุ่นคิด นอนก็คิด นั่งก็คิด คิดแต่เรื่องที่เราต้องการคิด คิดได้ทุกอิริยาบถในขณะเดียวกันเวลาหลับก็นำเอาไปคิดด้วย เช่น สาวคิดถึงหนุ่ม เป็นต้น ก็ทำให้เกิดความฝัน
3. ลางสังหรณ์ ความสังหรณ์นี้ อาจเกิดขึ้นใน 60% ของความจริง คือเราสังหรณ์ว่า ถ้าเราไปวัดฝนต้องตกหนักแน่ๆ เป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ แล้วฝนก็เผอิญตกมาจริงๆ ตามที่เราสังหรณ์ เรียกว่าเกิดโดยลางสังหรณ์ ลักษณะคล้ายกับคนที่มีสัมผัสพิเศษที่เรียกว่า มิติที่ 4 สามารถสัมผัสได้ แต่มันเลือนลางเต็มที
4. เทพบันดาล ประเด็นนี้ไม่ค่อยเจอ ส่วนใหญ่จะเจอประเภทลมกำเริบ จิตอาวรณ์ อาจจะมีเหตุปัจจัยอะไรที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ตัวอย่างเช่น เราเป็นคนปกติ คำว่าปกติ คือหลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ทำอะไรก็เป็นสุข จิตใจมันโปร่งโล่งเบาสบาย แต่เผอิญนอนหลับไปแล้ว มันได้เห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าเราเห็นไฟไหม้ตรงนั้น เห็นน้ำท่วมตรงนี้เหมือนอย่างปีที่เขามีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬนั้น หลวงปู่นอนไปประมาณ ตี 1 กว่าๆ ก็มีความรู้สึกว่า ตัวเองเดินไปบนอากาศ แล้วก็มีคนที่โดนยิงตาย จากหลายสถานที่ เดินขึ้นมาหาแล้วมากราบ บอกว่า ผมหมดวาสนา ดิฉันหมดวาสนา หนูหมดวาสนา อะไรอย่างนี้ พอรุ่งเช้าครูที่เขามาบวชชีพราหมณ์อยู่ เขาจะกลับไปโรงเรียน หลวงปู่ก็เลยบอกเขาว่า อีหนูเอ๊ยอย่าไปเลย โรงเรียนยังไม่เปิดหรอก แล้วโรงเรียนก็ปิดจริงๆ ลักษณะอย่างนี้เขาเรียกเทพบันดาลก็ได้ เพราะเราได้ไปเห็นสิ่งที่มันเกิดล่วงหน้า แล้วมันก็เกิดได้จริงๆ ตามนั้น
ปุจฉา
ฌานสมาบัติ
การเข้าฌานสมาบัติ ทำจิตอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไร และผู้ที่ตักบาตรกับพระที่ออกจากฌานสมาบัติจะได้อานิสงส์อย่างไร?
วิสัชนา
เราจะต้องเข้าใจความหมายของคำว่า "ฌาน" ก่อน ฌาน
ตัวนี้ไม่ใช่นอกชาน ไม่ใช่ที่ไกล แต่มันเป็นเรื่องใกล้ๆ อยู่ในตัวเรา
ฌานตัวนี้ แปลว่า ตัวปัญญา หยั่งรู้
เพราะฉะนั้น พระที่เข้าฌานสมาบัติ คือ พระที่มีปัญญาหยั่งรู้
อารมณ์จิตเป็นอย่างไร ก็อารมณ์จิตแห่งฌาน ปัญญาหยั่งรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ เรียกว่า พระผู้เข้าฌาน
ผู้ที่ทำบุญกับผู้ที่มีความรู้สภาวะธรรมในขณะนั้นๆ ถือว่าจะได้รับอานิสงส์ปัญญาหยั่งรู้ไปด้วย ถือว่าจะได้รับอานิสงส์แห่งผลแห่งความดี ที่พระผู้เข้าฌานนั้นกำลังประพฤติปฏิบัติด้วย ถือว่าเป็นผล บุญอันใหญ่
ปุจฉา
มืดสู่สว่าง
เวลาหลวงปู่ไปอยู่ถ้ำมืดๆ มีวิธีปฏิบัติอย่างไร จากความมืดไปสู่ความสว่าง
วิสัชนา
เพียงแค่เราทำใจให้สว่างแล้วรอบข้างมันก็จะสว่างเอง เหมือนกย่างตอนนี้ ถ้าจับตัวหลวงปู่ร้อน มีไข้ขึ้นเรียกว่าป่วย และถ้าหลวงปู่ป่วยทั้งกายและใจ จะมานั่งตอบปัญหาก็คงตอบไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันป่วยแต่กายก็ให้ป่วยไป แต่อย่าไปป่วยใจตามมัน เช่นเดียวกัน ถ้ามันมืดก็ให้มันมืดแต่ตัว แต่ใจอย่ามืดบอดก็ใช้ได้ อะไรมันจะมีอำนาจเหนือใจคงไม่มี
นอนสวดมนตบาปไหม์
หลวงปู่ครับ สงสัยว่านอนสวดมนต์ไหว้พระเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
วิสัชนา
อุตส่าห์นอนเลยเหรอ! เห็นใจเถอะกระดูกไม่ดี มันสู้อุตส่าห์นอนก็ดีแล้ว ไม่พนมมือ พยักหน้ากับพระบอกว่า หลวงพ่อเหมือนเดิม มันสวดก็ดีแล้ว ดีกว่าบอกหลวงพ่อเหมือนเดิม เหมือนเดิมอะไรล่ะ ก็เหมือนเดิมเมื่อวานนี้ หนูนะโม 3 จบ วันนี้ก็เหมือนเดิม วันแรกก็ลดเหลือสอง วันที่สองลดเหลือหนึ่ง แล้ววันสุดท้ายก็เหมือนเดิม
เพราะฉะนั้น นอนสวดก็ยังดีลูกก็ทำเถอะ อะไรที่เราทำแล้วมันสบายใจ ไม่ลำบากจนเกินไป แต่มันน่าเกลียดนะลูก น่าเกลียด จะทำดีทั้งที ปัดโถ่! เวรกรรม นอนก็เอาเหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่พยายามจะคืบหาของเล่น พอเขาห้ามไม่ให้เล่น ก็นอนเอาตีนเขี่ยก็ยังดี ไม่ได้เล่นด้วยมือก็เอาตีนเขี่ยเอาเงาทับอะไรอย่างนี้ เหมือนกับคนไม่ตั้งใจจะทำดีให้กับตัวเอง เอาเป็นว่า ทำได้ดีทำไปเถอะ คิดว่าตัวเองเป็นง่อยพิการก็ไม่เป็นไร แต่มันจะฝึกนิสัยให้เป็นคนหยาบกระด้าง มักง่าย มักเหมือนกันแต่ไม่ใช่มรรคแปด แต่มักง่าย มักเห็นแก่ตัว แล้วก็มักสันหลังยาว เกียจคร้าน และจะทำอะไรที่ดีไปกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว พวกนี้จะจบอยู่ตรงนั้น ขนาดนอนสวดมนต์ก็ยังเอา ก็ยังดีกว่าไม่เอาอะไรเลย ดีกว่าอยู่เฉยๆ ลูกขออนุโมทนาในกุศล และเจตนาในท่านที่นอนสวดมนต์ด้วย
ปุจฉา
ฝันเกิดเขึ้นได้อย่างไร
ถ้าบางคนฝันร้ายและเกิดกลัวคิดมาก ความฝันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร
วิสัชนา
ความฝันเกิดขึ้นได้จากเหตุ 4 อย่าง คือ
1. ลมกำเริบ ร่างกายเรานี้มีธาตุลม คือความไม่ปกติแห่งธาตุ เราอาจจะเก็บกด คิดมาก ใคร๋ครวญ วิตกกังวลและเก็บเอาไว้ จนกลายเป็นความกำเริบเมื่อตอนนอนหลับ เขาว่าคนนอนหลับเป็นคนที่ไม่ใช่คน เหมือนมีคำถามที่พราหมณ์มาถามพระพุทธเจ้าว่า สาวกของพระองค์เป็นพระทุกลมหายใจหรือเปล่า พระศาสดาทรงแสดงต่อพราหมณ์ผู้นั้นว่า "ไม่เลย พราหมณ์ ตราบใดที่สาวกแห่งเราเป็นคนขาดสติ คนมอมเมา คนงมงาย และก็คนหลับ" แสดงว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่ถือว่า คนที่บวชเข้ามาตอนหลับนั้นเป็นพระ แล้วเป็นอะไร ก็เป็นสามัญชนธรรมดา เพราะคนหลับคือคนขาดสติ เราศาสดาไม่ยอมรับคนขาดสติเป็นสาวก การหลับมันขาดผู้ควบคุม กิริยาอาการที่เราเก็บกดเอาไว้ สมัยที่มีสติก็ไม่มีการเก็บกด เพราะขาดผู้ควบคุม ก็จะกำเริบแล้วก็เลื่อนไหลออกไปแสวงหาสิ่งต่างๆ นอกกาย เขาเรียกว่า ไม่มีสติในการนอน
อีกประเด็นหนึ่งของลมกำเริบคือ ร่างกายไม่ปกติ ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย สุขภาพไม่ดี ก็เป็นเหตุทำให้เกิดความฝัน
2. จิตอาวรณ์ คือ คนหมกมุ่นครุ่นคิด นอนก็คิด นั่งก็คิด คิดแต่เรื่องที่เราต้องการคิด คิดได้ทุกอิริยาบถในขณะเดียวกันเวลาหลับก็นำเอาไปคิดด้วย เช่น สาวคิดถึงหนุ่ม เป็นต้น ก็ทำให้เกิดความฝัน
3. ลางสังหรณ์ ความสังหรณ์นี้ อาจเกิดขึ้นใน 60% ของความจริง คือเราสังหรณ์ว่า ถ้าเราไปวัดฝนต้องตกหนักแน่ๆ เป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ แล้วฝนก็เผอิญตกมาจริงๆ ตามที่เราสังหรณ์ เรียกว่าเกิดโดยลางสังหรณ์ ลักษณะคล้ายกับคนที่มีสัมผัสพิเศษที่เรียกว่า มิติที่ 4 สามารถสัมผัสได้ แต่มันเลือนลางเต็มที
4. เทพบันดาล ประเด็นนี้ไม่ค่อยเจอ ส่วนใหญ่จะเจอประเภทลมกำเริบ จิตอาวรณ์ อาจจะมีเหตุปัจจัยอะไรที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ตัวอย่างเช่น เราเป็นคนปกติ คำว่าปกติ คือหลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ทำอะไรก็เป็นสุข จิตใจมันโปร่งโล่งเบาสบาย แต่เผอิญนอนหลับไปแล้ว มันได้เห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าเราเห็นไฟไหม้ตรงนั้น เห็นน้ำท่วมตรงนี้เหมือนอย่างปีที่เขามีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬนั้น หลวงปู่นอนไปประมาณ ตี 1 กว่าๆ ก็มีความรู้สึกว่า ตัวเองเดินไปบนอากาศ แล้วก็มีคนที่โดนยิงตาย จากหลายสถานที่ เดินขึ้นมาหาแล้วมากราบ บอกว่า ผมหมดวาสนา ดิฉันหมดวาสนา หนูหมดวาสนา อะไรอย่างนี้ พอรุ่งเช้าครูที่เขามาบวชชีพราหมณ์อยู่ เขาจะกลับไปโรงเรียน หลวงปู่ก็เลยบอกเขาว่า อีหนูเอ๊ยอย่าไปเลย โรงเรียนยังไม่เปิดหรอก แล้วโรงเรียนก็ปิดจริงๆ ลักษณะอย่างนี้เขาเรียกเทพบันดาลก็ได้ เพราะเราได้ไปเห็นสิ่งที่มันเกิดล่วงหน้า แล้วมันก็เกิดได้จริงๆ ตามนั้น
ปุจฉา
ฌานสมาบัติ
การเข้าฌานสมาบัติ ทำจิตอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไร และผู้ที่ตักบาตรกับพระที่ออกจากฌานสมาบัติจะได้อานิสงส์อย่างไร?
วิสัชนา
เราจะต้องเข้าใจความหมายของคำว่า "ฌาน" ก่อน ฌาน
ตัวนี้ไม่ใช่นอกชาน ไม่ใช่ที่ไกล แต่มันเป็นเรื่องใกล้ๆ อยู่ในตัวเรา
ฌานตัวนี้ แปลว่า ตัวปัญญา หยั่งรู้
เพราะฉะนั้น พระที่เข้าฌานสมาบัติ คือ พระที่มีปัญญาหยั่งรู้
อารมณ์จิตเป็นอย่างไร ก็อารมณ์จิตแห่งฌาน ปัญญาหยั่งรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ เรียกว่า พระผู้เข้าฌาน
ผู้ที่ทำบุญกับผู้ที่มีความรู้สภาวะธรรมในขณะนั้นๆ ถือว่าจะได้รับอานิสงส์ปัญญาหยั่งรู้ไปด้วย ถือว่าจะได้รับอานิสงส์แห่งผลแห่งความดี ที่พระผู้เข้าฌานนั้นกำลังประพฤติปฏิบัติด้วย ถือว่าเป็นผล บุญอันใหญ่
ปุจฉา
มืดสู่สว่าง
เวลาหลวงปู่ไปอยู่ถ้ำมืดๆ มีวิธีปฏิบัติอย่างไร จากความมืดไปสู่ความสว่าง
วิสัชนา
เพียงแค่เราทำใจให้สว่างแล้วรอบข้างมันก็จะสว่างเอง เหมือนกย่างตอนนี้ ถ้าจับตัวหลวงปู่ร้อน มีไข้ขึ้นเรียกว่าป่วย และถ้าหลวงปู่ป่วยทั้งกายและใจ จะมานั่งตอบปัญหาก็คงตอบไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันป่วยแต่กายก็ให้ป่วยไป แต่อย่าไปป่วยใจตามมัน เช่นเดียวกัน ถ้ามันมืดก็ให้มันมืดแต่ตัว แต่ใจอย่ามืดบอดก็ใช้ได้ อะไรมันจะมีอำนาจเหนือใจคงไม่มี