xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : ตอนที่ ๖ กลุ่มพระปัญจวัคคีย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่พระ พุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายได้สั่งให้เปิดเรือนคลังเก็บผ้า นำผ้าเนื้อดีเลิศมาวางถวายไว้แทบยุคล บาทของพระพุทธเจ้าและถวายพระสาวก แล้วกราบทูลว่า
“ขอแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นเหมือนภิกษุรูปที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเมื่อ ๗ วันก่อนจากนี้ด้วยเถิด นั่นคือขอให้ได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้วได้รู้แจ้งธรรมก่อนใครหมด”
พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูความเป็นไปในอนาคตของท่านด้วยพระญาณแล้ว ทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้รู้แจ้งธรรมก่อนใคร และจักได้รับตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู”
ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ต่อมาไม่นานเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างกำแพงแก้วล้อมพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ครั้นถึงวันประดิษฐานพระเจดีย์ก็ได้สร้างเรือนแก้วไว้ภายในพระ เจดีย์อีก จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นบุตรของกฎมพีชาวเมืองพันธุมดี มีชื่อว่า ‘มหากาล’ มหากาลมี น้องชายชื่อ ‘จูฬกาล’ ทั้ง ๒ มีอุปนิสัยแตกต่างกัน กล่าวคือมหากาลเลื่อมใส ในพระพุทธเจ้าวิปัสสี แต่จูฬกาลกลับไม่เลื่อมใส ดังนั้น ทั้ง ๒ จึงมีความเห็น ขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับการทำบุญ
มหากาลได้แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน โดยให้ส่วนหนึ่งเป็นสมบัติของตน และอีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นสมบัติของจูฬกาล แล้วได้นำเอาข้าวสาลีอันเป็นผลิตผลที่เกิดจากนาส่วนของตนนั้นมาทำบุญตามวาระต่างๆ จนจวบสิ้นอายุขัย จากชาตินั้นบุญส่งให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลในหมู่บ้านพราหมณ์โทณวัตถุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองกบิลพัสดุ์ ครั้นออกบวชได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่ได้รู้แจ้งธรรมและบวชในพระพุทธศาสนาก่อน ใคร พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญูดังกล่าวมาแล้ว
ฝ่ายพระปัญจวัคคีย์ที่เหลือ คือ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ซึ่งมีอดีตชาติร่วมกับพระอัญญาโกณฑัญญะ ตรงที่ตั้งจิตปรารถนาให้ได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมก่อนใคร และปรารถนาจะบรรลุอรหัตผลพร้อมกัน ก็ได้สิ่งที่ปรารถนา ไว้ คือได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมก่อนใคร และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันในที่สุด

วาจานุสรณ์
พระอัญญาโกณฑัญญะ กล่าวแสดงความรู้สึกของท่านไว้เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับคนรุ่นหลัง ๒ วาระด้วย กัน คือ
วาระแรก ท่านกล่าวเมื่อได้เห็นพระปุถุชนบางจำพวกตกอยู่ในอำนาจความคิดผิดต่างๆ แล้วทำไปตามแรงผลักดันของความคิดผิดนั้น ท่านระลึกได้ถึงธรรมที่เป็นข้าศึกต่อความคิดผิด และระลึกได้ว่าตัวท่านเองพ้นไปจากความคิดผิดนั้นได้แล้ว จึงกล่าวแสดง ความรู้สึกเป็นคำร้อยกรองความว่า
โลกนี้มีสิ่งที่สวยงามอยู่มาก
บุคคลผู้มีความคิดเจือด้วยราคะ
เห็นเป็นของสวยงามจะถูกย่ำยีเป็นแน่
เมื่อใดพิจารณาเห็นได้ด้วยปัญญา
เมื่อนั้นความคิดทั้งหลายจึงจะสงบได้
คล้ายสายฝนสยบฝุ่นที่ถูกลมพัดฟุ้งฉะนั้น

จากนั้นท่านได้แสดงวิธีพิจารณาเห็นด้วยปัญญาไว้โดยให้เห็นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และย้ำว่า นี้แหละคือทางแห่งความบริสุทธิ์
วาระสุดท้าย ท่านกล่าวเมื่อคราวที่เห็นสัทธิวิหาริกของท่านรูปหนึ่งเกียจคร้าน มีจิตฟุ้งซ่าน คบเพื่อนไม่ดี ทำตัวห่างไกลจากการบรรลุมรรคผล จึงตักเตือนด้วยความหวังดี แต่ว่าสัทธิวิหาริกรูปนั้นไม่เชื่อฟังท่าน ท่านเกิดความสลดใจ จึงกล่าวแสดงความรู้สึกเป็นเชิงตำหนิการปฏิบัติผิด สรรเสริญการปฏิบัติถูกและการอยู่ในที่สงัดว่า
ภิกษุผู้ฟุ้งซ่าน เหลวไหล คบแต่เพื่อนชั่ว
ย่อมถูกคลื่นคือกิเลสซัดให้จมลงไปในห้วงน้ำคือสังสารวัฏ
ส่วนภิกษุผู้ไม่ฟุ้งซ่านไม่เหลวไหล สำรวมอินทรีย์
มีปัญญารักษาตัวรอด คบแต่เพื่อน ดี
จะสามารถทำทุกข์ให้หมดสิ้นไปได้
ภิกษุที่ยินดีในที่สงัด แม้จะซูบผอม เนื้อตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น ใจก็ยังไม่ย่อท้อ ยังรู้จักบริโภคข้าวและน้ำแต่พอดี
ภิกษุดังว่ามานั้น แม้จะถูกเหลือบยุงกัดอยู่กลางป่า ก็ย่อมมีสติอดกลั้นไว้ได้ คล้ายช้างศึกอดทนต่อศัตราวุธในยุทธภูมิฉะนั้น

จากนั้นท่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับชีวิตและความตายของท่านเอง และความรู้สึกที่มีต่อพระพุทธเจ้าว่า
ความเป็นความตายเราไม่ยินดี
เรารอแต่เวลาคล้ายลูกจ้างรอเวลางานฉะนั้น
พระศาสดาเราก็รับใช้แล้ว
คำสอนของพระองค์เราก็ทำตามได้แล้ว
ภาระหนักเราก็ปลงลงได้แล้ว
อีกทั้งตัณหาตัวการให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด เราก็ถอนรากถอนโคนได้แล้ว
ประโยชน์ที่คนออกบวชต้องการเราก็ได้รับแล้ว
ทำไมเราจะต้องวุ่นวายอะไรอยู่กับสัทธิวิหาริกผู้ว่ายาก

พระวัปปะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้วก็ได้พิจารณาคุณสมบัติที่ตนได้ จึงทำให้เข้าใจถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าว่ายิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันท่านก็รู้ สึกถึงความผิดพลาดของกลุ่มของท่าน ที่เรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นคนมักมาก และแสดงกิริยากระด้างกระเดื่อง คราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงในระยะแรก จึงทำให้มองเห็นว่าภาวะของพระอริยะกับภาวะของปุถุชนนั้นห่างไกลกันมาก ท่านเข้าใจได้ชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ปุถุชนจะเข้าใจถึงภาวะของพระอริยะ เพื่อแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ท่านจึงกล่าวว่า
พระอริยะย่อมเห็นทั้งบัณฑิตผู้เห็นอยู่ด้วย ย่อมเห็นทั้งอันธพาลผู้ไม่เห็นอยู่ด้วย
ส่วนปุถุชนย่อมมองไม่เห็นทั้งอันธพาลและบัณฑิตนั้น

ส่วนพระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ยังไม่พบหลักฐานว่าท่านได้กล่าววาจานุสรณ์ไว้ในที่ใด
(อ่านต่อฉบับหน้า)
กำลังโหลดความคิดเห็น