ได้กล่าวถึงเรื่องราวทั่วไปเกี่ยวกับพระอสีติมหาสาวกมาแล้ว ต่อไปนี้จักได้กล่าวถึงประวัติของแต่ละรูปโดยแบ่งกล่าวเป็นกลุ่มๆดังต่อไปนี้
กลุ่มพระปัญจวัคคีย์ คือ กลุ่มพระชาว แคว้นสักกะ ๕ รูป ที่ออกบวชตามเสด็จพระพุทธเจ้าและเฝ้าถวายการอุปัฏฐากคราวที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา พระ ๕ รูปนั้นคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และ พระอัสสชิ ซึ่งมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้
สถานะเดิม
พระปัญจวัคคีย์ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ที่หมู่บ้านโทณวัตถุอันเป็นหมู่บ้านที่คนวรรณะพราหมณ์อยู่อาศัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองกบิลพัสดุ์ พระอัญญาโกณฑัญญะเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีนามเดิมว่า ‘โกณฑัญญะ’ ตามชื่อตระกูล ส่วนพระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ต่างเป็นบุตรของพราหมณาจารย์ในจำนวนพราหมณาจารย์ ๘ คนที่ทำนายพระลักษณะของ พระราชกุมารสิทธัตถะ
ชีวิตฆราวาส
กล่าวถึงโกณฑัญญะก่อน โดยเหตุที่เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ชีวิตฆราวาสของท่านจึงดำเนินมาด้วยดี เมื่อเจริญวัยขึ้นท่านได้ศึกษาวิชาไตรเพทอันเป็นวิชาชั้นสูงและศึกษามนตร์ตรวจดูลักษณะคนควบคู่ไปด้วย แม้จะอยู่ในวัยหนุ่มท่านก็มีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป โดยเฉพาะความเชี่ยว ชาญด้านทำนายลักษณะคน ความสามารถ นี้เองเป็นเหตุให้ท่านได้รับเชิญเข้าไปทำนายพระลักษณะของพระราชกุมารสิทธัตถะ
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาทรงให้มีพระราชพิธีถวายพระนามพระราชกุมาร โดยทรงรับสั่งให้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ ท่านมารับภัตตาหารในพระราชวัง พราหมณ์ ๑๐๘ ท่านนั้นต่างล้วนทรงไว้ซึ่งวิทยาคุณแตกฉานในไตร เพทและเจริญด้วยคุณวุฒิ ส่วนมากแล้วเป็นพราหมณ์ผู้ใหญ่อายุล่วงเข้าวัยชรา เมื่อพระราชพิธีถวายพระนามเสร็จสิ้น แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะทรงขอให้เลือกพราหมณ์ ๘ ท่าน ที่เชี่ยวชาญการทำนาย ลักษณะของคนมาทำนายพระลักษณะของพระราชกุมาร ปรากฏว่าพราหมณ์ทั้ง ๘ ท่านที่ได้รับคัดเลือกนั้นมีโกณฑัญญะรวมอยู่ด้วย
โกณฑัญญะเป็นพราหมณ์หนุ่มรุ่นลูกหากเทียบกับพราหมณ์ผู้ใหญ่ ๗ ท่านที่เหลือ แต่มีความเชี่ยวชาญการทำนายลักษณะของคนเกินวัย ท่านมีความเชื่อมั่นสูง ดังนั้นเมื่อตรวจดูพระลักษณะของ พระราชกุมารแล้วจึงได้ทำนายยืนยันเป็น ทางเดียวว่า
“พระราชกุมารจักเสด็จออกผนวชและจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน”
ส่วนพราหมณ์ผู้ใหญ่ ๗ ท่าน ได้ทำนายเป็น ๒ ทางว่า
“ถ้าอยู่ครองฆราวาส พระราชกุมารจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรคิ แต่ถ้าเสด็จออกผนวชจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า”
พราหมณ์หนุ่มโกณฑัญญะ เชื่อมั่นในคำทำนายของตนมากถึงขนาดตั้งใจจักออกบวชตามคราวที่พระราชกุมารเสด็จออกผนวช ฝ่ายพราหมณ์ผู้ใหญ่ที่เป็นบิดาของ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ครั้นกลับไปบ้านแล้วก็ได้บอก บุตรของตนให้ออกบวชตามโกณฑัญญะเมื่อเวลานั้นมาถึง ทั้งนี้เป็นด้วยความเชื่อ มั่นว่า การเสด็จออกผนวชของพระราช กุมารสิทธัตถะไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน
การออกบวช
โดยที่ตั้งใจไว้เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ครั้นพระราชกุมารสิทธัตถะเสด็จออกผนวช และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ โกณฑัญญะซึ่งบัดนี้อายุย่างเข้าวัยกลางคนแล้วกับพราหมณ์หนุ่มรุ่นน้องอีก ๔ คน ดังกล่าวมาแล้วคือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ก็ได้สละเพศฆราวาสออกบวชเป็นฤาษี รอนแรมติดตามไปเฝ้า ถวายการอุปัฏฐากพระมหาบุรุษอยู่ ณ ที่นั่น และเนื่องจากลุ่มคนที่ออกบวชครั้งนั้นมีอยู่ ๕ คน จึงมีชื่อเรียกรวมว่า ‘ปัญจวัคคีย์’(ผู้มีพวก ๕ คน) ในเวลาต่อมา
พระปัญจวัคคีย์ได้บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาไม่พร้อมกัน ผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนก็ได้รับอนุญาตให้บวชก่อน โกณฑัญญะได้รับพุทธานุญาตให้บวชเป็นคนแรก เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วัปปะและภัททิยะได้รับพุทธานุญาตให้ บวชเป็นรายที่ ๒ ในวันแรม ๒ ค่ำ ส่วนมหานามะและอัสสชิได้รับพุทธานุญาตให้บวชเป็นรายสุดท้าย ในวันแรม ๔ ค่ำ ในเดือนเดียวกันนั้นเอง พระไตรปิฎกกล่าวถึงการบวชของท่านไว้ว่า
แรกทีเดียวที่พระพุทธเจ้าเสด็จมา โปรดที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น พระปัญจวัคคีย์ไม่ยอมรับว่าพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แม้พระองค์จะตรัสยืนยันถึง ๒ ครั้ง การที่พระปัญจวัคคีย์ไม่ยอมรับสืบเนื่องมาจากว่าพระองค์ทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา กลับมาเสวยพระกระยาหาร แล้วทรงบำเพ็ญเพียรทางจิต เพราะพระปัญจวัคคีย์มีความเชื่อมาแต่เดิมว่าการทรมานตนเองให้ลำบากด้วยวิธีการต่างๆ เท่านั้นจะทำ ให้พบความหลุดพ้น จนเมื่อพระองค์ตรัสบอกให้พวกท่านหวนระลึกถึงความหลังครั้งเคยอยู่ด้วยกันว่า เคยได้ยินพระองค์ตรัสเช่นนี้บ้างหรือไม่ พระปัญจวัคคีย์หวนระลึกและไม่เคยได้ยิน จึงยอมละทิฐิมานะและยอมฟังพระองค์แสดงธรรม
ขั้นแรก พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า นักบวชไม่ควรทำกิจ ๒ อย่างคือ การหมก มุ่นอยู่กับกามสุขและการทรมานตนเองให้ลำบาก พระองค์ทรงเรียกกิจ ๒ อย่างนี้ว่า ‘ที่สุดโต่ง’ จากนั้นทรงให้เหตุผลว่า การหมกมุ่นอยู่กับความสุขเป็นของต่ำช้า เป็นกิจกรรมของปุถุชนผู้ครองเรือน เป็นที่สุดโต่งข้างหย่อนยานส่งเสริมให้เกิดความหลงใหลในกามคุณ ส่วนการทรมาน ตนเองให้ลำบากเป็นกิจกรรมที่ทำให้ตน เองเหน็ดเหนื่อย เป็นที่สุดโต่งข้างตึง เครียด เปล่าประโยชน์
ขั้นต่อมา ทรงชี้ให้ดำเนินตามทางสาย กลาง คือ มรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วยความเห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ) ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) การพูดชอบ(สัมมาวาจา) การงานชอบ(สัมมากัมมันตะ) การเลี้ยงชีพชอบ(สัมมาอาชีวะ) ความเพียรชอบ (สัมมาวายามะ) ความระลึกชอบ(สัมมาสติ) ความตั้งใจมั่นชอบ(สัมมาสมาธิ) พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ทางสายกลาง นี้แหละพระองค์ตรัสรู้มาด้วยปัญญาอันสูง เป็นทางทำให้ดำเนินไปถึงความสงบและทำให้ได้รู้แจ้งอริยสัจ
ขั้นสุดท้าย ทรงอธิบายให้ทราบว่า อริยสัจ คือความจริงของชีวิตที่เมื่อรู้แล้ว ทำให้ละกิเลสได้ ความจริงดังกล่าวนั้นมี ๔ ประการ คือ
๑.ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ความเกิด ความแก่ ความตาย การได้พบ กับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่ง ที่เป็นที่รัก การไม่ได้ดังใจปรารถนา เหล่านี้ล้วนเป็นทุกข์ ซึ่งบีบคั้นให้ชีวิตต้องตึง เครียดและทรมาน
๒.ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์นั้นมีมา จากเหตุ เหตุให้เกิดทุกข์ คือความอยากต่างๆ นับตั้งแต่ความอยากที่จะได้ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส ตลอดถึงความอยากเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิ ต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะทำให้ต้องดิ้นรนแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ
๓.ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ทุกข์นั้นดับได้โดยดับที่เหตุ คือดับความอยาก เพราะถ้า ความอยากไม่เกิดก็ไม่ต้องมีการดิ้นรนให้ ได้มา เมื่อไม่ดิ้นรนทุกข์ก็จะไม่เกิดไปโดย ปริยาย
๔.ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรค พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า การจะดับความอยากได้นั้นต้องดำเนินไปตามทางสายกลางคือมรรคมีองค์ ๘ ทางสายนี้ทำให้ไม่ยึดติดในกามสุข และทำให้ไม่หลงผิดทรมานตนเองให้ลำบาก เป็นทางสายตรงมุ่งสู่ความสงบสุขสูงสุดดับทุกข์ได้สิ้นเชิง
พระธรรมเทศนากัณฑ์นี้จัดเป็น‘ปฐมเทศนา’ คือเป็นเทศนากัณฑ์แรกของ พระพุทธเจ้า มีชื่อว่า ‘ธัมมจักปัปปวัตนสูตร’ พระปัญจวัคคีย์ได้ฟังแล้วเกิดความ ซาบซึ้ง โดยเฉพาะโกณฑัญญะเกิดดวงตา เห็นธรรม คือรู้แจ้งตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
(อ่านต่อฉบับหน้า)
กลุ่มพระปัญจวัคคีย์ คือ กลุ่มพระชาว แคว้นสักกะ ๕ รูป ที่ออกบวชตามเสด็จพระพุทธเจ้าและเฝ้าถวายการอุปัฏฐากคราวที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา พระ ๕ รูปนั้นคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และ พระอัสสชิ ซึ่งมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้
สถานะเดิม
พระปัญจวัคคีย์ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ที่หมู่บ้านโทณวัตถุอันเป็นหมู่บ้านที่คนวรรณะพราหมณ์อยู่อาศัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองกบิลพัสดุ์ พระอัญญาโกณฑัญญะเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีนามเดิมว่า ‘โกณฑัญญะ’ ตามชื่อตระกูล ส่วนพระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ต่างเป็นบุตรของพราหมณาจารย์ในจำนวนพราหมณาจารย์ ๘ คนที่ทำนายพระลักษณะของ พระราชกุมารสิทธัตถะ
ชีวิตฆราวาส
กล่าวถึงโกณฑัญญะก่อน โดยเหตุที่เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ชีวิตฆราวาสของท่านจึงดำเนินมาด้วยดี เมื่อเจริญวัยขึ้นท่านได้ศึกษาวิชาไตรเพทอันเป็นวิชาชั้นสูงและศึกษามนตร์ตรวจดูลักษณะคนควบคู่ไปด้วย แม้จะอยู่ในวัยหนุ่มท่านก็มีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป โดยเฉพาะความเชี่ยว ชาญด้านทำนายลักษณะคน ความสามารถ นี้เองเป็นเหตุให้ท่านได้รับเชิญเข้าไปทำนายพระลักษณะของพระราชกุมารสิทธัตถะ
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาทรงให้มีพระราชพิธีถวายพระนามพระราชกุมาร โดยทรงรับสั่งให้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ ท่านมารับภัตตาหารในพระราชวัง พราหมณ์ ๑๐๘ ท่านนั้นต่างล้วนทรงไว้ซึ่งวิทยาคุณแตกฉานในไตร เพทและเจริญด้วยคุณวุฒิ ส่วนมากแล้วเป็นพราหมณ์ผู้ใหญ่อายุล่วงเข้าวัยชรา เมื่อพระราชพิธีถวายพระนามเสร็จสิ้น แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะทรงขอให้เลือกพราหมณ์ ๘ ท่าน ที่เชี่ยวชาญการทำนาย ลักษณะของคนมาทำนายพระลักษณะของพระราชกุมาร ปรากฏว่าพราหมณ์ทั้ง ๘ ท่านที่ได้รับคัดเลือกนั้นมีโกณฑัญญะรวมอยู่ด้วย
โกณฑัญญะเป็นพราหมณ์หนุ่มรุ่นลูกหากเทียบกับพราหมณ์ผู้ใหญ่ ๗ ท่านที่เหลือ แต่มีความเชี่ยวชาญการทำนายลักษณะของคนเกินวัย ท่านมีความเชื่อมั่นสูง ดังนั้นเมื่อตรวจดูพระลักษณะของ พระราชกุมารแล้วจึงได้ทำนายยืนยันเป็น ทางเดียวว่า
“พระราชกุมารจักเสด็จออกผนวชและจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน”
ส่วนพราหมณ์ผู้ใหญ่ ๗ ท่าน ได้ทำนายเป็น ๒ ทางว่า
“ถ้าอยู่ครองฆราวาส พระราชกุมารจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรคิ แต่ถ้าเสด็จออกผนวชจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า”
พราหมณ์หนุ่มโกณฑัญญะ เชื่อมั่นในคำทำนายของตนมากถึงขนาดตั้งใจจักออกบวชตามคราวที่พระราชกุมารเสด็จออกผนวช ฝ่ายพราหมณ์ผู้ใหญ่ที่เป็นบิดาของ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ครั้นกลับไปบ้านแล้วก็ได้บอก บุตรของตนให้ออกบวชตามโกณฑัญญะเมื่อเวลานั้นมาถึง ทั้งนี้เป็นด้วยความเชื่อ มั่นว่า การเสด็จออกผนวชของพระราช กุมารสิทธัตถะไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน
การออกบวช
โดยที่ตั้งใจไว้เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ครั้นพระราชกุมารสิทธัตถะเสด็จออกผนวช และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ โกณฑัญญะซึ่งบัดนี้อายุย่างเข้าวัยกลางคนแล้วกับพราหมณ์หนุ่มรุ่นน้องอีก ๔ คน ดังกล่าวมาแล้วคือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ก็ได้สละเพศฆราวาสออกบวชเป็นฤาษี รอนแรมติดตามไปเฝ้า ถวายการอุปัฏฐากพระมหาบุรุษอยู่ ณ ที่นั่น และเนื่องจากลุ่มคนที่ออกบวชครั้งนั้นมีอยู่ ๕ คน จึงมีชื่อเรียกรวมว่า ‘ปัญจวัคคีย์’(ผู้มีพวก ๕ คน) ในเวลาต่อมา
พระปัญจวัคคีย์ได้บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาไม่พร้อมกัน ผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนก็ได้รับอนุญาตให้บวชก่อน โกณฑัญญะได้รับพุทธานุญาตให้บวชเป็นคนแรก เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วัปปะและภัททิยะได้รับพุทธานุญาตให้ บวชเป็นรายที่ ๒ ในวันแรม ๒ ค่ำ ส่วนมหานามะและอัสสชิได้รับพุทธานุญาตให้บวชเป็นรายสุดท้าย ในวันแรม ๔ ค่ำ ในเดือนเดียวกันนั้นเอง พระไตรปิฎกกล่าวถึงการบวชของท่านไว้ว่า
แรกทีเดียวที่พระพุทธเจ้าเสด็จมา โปรดที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น พระปัญจวัคคีย์ไม่ยอมรับว่าพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แม้พระองค์จะตรัสยืนยันถึง ๒ ครั้ง การที่พระปัญจวัคคีย์ไม่ยอมรับสืบเนื่องมาจากว่าพระองค์ทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา กลับมาเสวยพระกระยาหาร แล้วทรงบำเพ็ญเพียรทางจิต เพราะพระปัญจวัคคีย์มีความเชื่อมาแต่เดิมว่าการทรมานตนเองให้ลำบากด้วยวิธีการต่างๆ เท่านั้นจะทำ ให้พบความหลุดพ้น จนเมื่อพระองค์ตรัสบอกให้พวกท่านหวนระลึกถึงความหลังครั้งเคยอยู่ด้วยกันว่า เคยได้ยินพระองค์ตรัสเช่นนี้บ้างหรือไม่ พระปัญจวัคคีย์หวนระลึกและไม่เคยได้ยิน จึงยอมละทิฐิมานะและยอมฟังพระองค์แสดงธรรม
ขั้นแรก พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า นักบวชไม่ควรทำกิจ ๒ อย่างคือ การหมก มุ่นอยู่กับกามสุขและการทรมานตนเองให้ลำบาก พระองค์ทรงเรียกกิจ ๒ อย่างนี้ว่า ‘ที่สุดโต่ง’ จากนั้นทรงให้เหตุผลว่า การหมกมุ่นอยู่กับความสุขเป็นของต่ำช้า เป็นกิจกรรมของปุถุชนผู้ครองเรือน เป็นที่สุดโต่งข้างหย่อนยานส่งเสริมให้เกิดความหลงใหลในกามคุณ ส่วนการทรมาน ตนเองให้ลำบากเป็นกิจกรรมที่ทำให้ตน เองเหน็ดเหนื่อย เป็นที่สุดโต่งข้างตึง เครียด เปล่าประโยชน์
ขั้นต่อมา ทรงชี้ให้ดำเนินตามทางสาย กลาง คือ มรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วยความเห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ) ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) การพูดชอบ(สัมมาวาจา) การงานชอบ(สัมมากัมมันตะ) การเลี้ยงชีพชอบ(สัมมาอาชีวะ) ความเพียรชอบ (สัมมาวายามะ) ความระลึกชอบ(สัมมาสติ) ความตั้งใจมั่นชอบ(สัมมาสมาธิ) พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ทางสายกลาง นี้แหละพระองค์ตรัสรู้มาด้วยปัญญาอันสูง เป็นทางทำให้ดำเนินไปถึงความสงบและทำให้ได้รู้แจ้งอริยสัจ
ขั้นสุดท้าย ทรงอธิบายให้ทราบว่า อริยสัจ คือความจริงของชีวิตที่เมื่อรู้แล้ว ทำให้ละกิเลสได้ ความจริงดังกล่าวนั้นมี ๔ ประการ คือ
๑.ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ความเกิด ความแก่ ความตาย การได้พบ กับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่ง ที่เป็นที่รัก การไม่ได้ดังใจปรารถนา เหล่านี้ล้วนเป็นทุกข์ ซึ่งบีบคั้นให้ชีวิตต้องตึง เครียดและทรมาน
๒.ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์นั้นมีมา จากเหตุ เหตุให้เกิดทุกข์ คือความอยากต่างๆ นับตั้งแต่ความอยากที่จะได้ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส ตลอดถึงความอยากเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิ ต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะทำให้ต้องดิ้นรนแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ
๓.ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ทุกข์นั้นดับได้โดยดับที่เหตุ คือดับความอยาก เพราะถ้า ความอยากไม่เกิดก็ไม่ต้องมีการดิ้นรนให้ ได้มา เมื่อไม่ดิ้นรนทุกข์ก็จะไม่เกิดไปโดย ปริยาย
๔.ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรค พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า การจะดับความอยากได้นั้นต้องดำเนินไปตามทางสายกลางคือมรรคมีองค์ ๘ ทางสายนี้ทำให้ไม่ยึดติดในกามสุข และทำให้ไม่หลงผิดทรมานตนเองให้ลำบาก เป็นทางสายตรงมุ่งสู่ความสงบสุขสูงสุดดับทุกข์ได้สิ้นเชิง
พระธรรมเทศนากัณฑ์นี้จัดเป็น‘ปฐมเทศนา’ คือเป็นเทศนากัณฑ์แรกของ พระพุทธเจ้า มีชื่อว่า ‘ธัมมจักปัปปวัตนสูตร’ พระปัญจวัคคีย์ได้ฟังแล้วเกิดความ ซาบซึ้ง โดยเฉพาะโกณฑัญญะเกิดดวงตา เห็นธรรม คือรู้แจ้งตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
(อ่านต่อฉบับหน้า)