xs
xsm
sm
md
lg

ห้องสนทนา : ขวัญ เพียงหทัย จากหนังสือรัก ถึงหนังสือธรรม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หากเอ่ยชื่อ“พรจิตต์ พงษ์วราภา” หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่เมื่อพูดถึง“ขวัญ เพียงหทัย” บรรดานักอ่านหลายท่านคงคุ้นเคยกันดี เพราะทั้ง“ธรรมะรอบกองไฟ” และ“ช้อปปิ้งบุญ” นั้นแต่ละเล่ม ยอดขายสูงถึงแสนกว่าเล่ม ซึ่งคงพอจะการันตีถึงความนิยมที่มีต่อนักเขียนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจาก“พรจิตต์”จะเขียนหนังสือธรรมะออกมาจำหน่ายในราคาถูกมาก(เมื่อเทียบกับความหนาร่วม 200 หน้า ราคา 20 บาท)เพื่อเผยแพร่หลักธรรม แบบง่ายๆให้ผู้อ่านสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้ว พรจิตต์ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท จีเอ็ม แม็ก มีเดีย จำกัด ผู้เป็นภรรยาซึ่งยืนเคียงบ่า เคียงไหล่กับ“ปกรณ์ พงษ์วราภา”ผู้บริหาร GM GROUP ยังใช้อาคาร “พงษ์วราภา” ตึกเก่าของ GM (นิตยสารชั้นนำที่เจาะกลุ่มชายหนุ่มวัยทำงาน) ที่อยู่แถวถนนพิชัย เขตดุสิต กทม. เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ภายใต้ชื่อ“เรือนธรรม” และเรือนธรรมแห่งนี้ เองที่ได้ต้อนรับผู้สนใจใฝ่ธรรมมากว่า 1 ปีแล้ว
ก่อนที่ “พรจิตต์” หรือ “ขวัญ เพียงหทัย” จะหันมาจับปากกาเขียนเรื่องเกี่ยวกับธรรมะนั้น งานเขียนช่วงแรกๆของเธอ มักสะท้อนถึงเรื่องราวของความรัก การแสวงหา และความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิง แล้วแรงบันดาลใจอะไรเล่าที่ทำให้งานเขียนของ เธอเปลี่ยน ไป หรือเป็นเพราะเธอได้ค้นพบอะไรในธรรมะ

• อะไรที่ทำให้คุณพรจิตต์หันมาสนใจเขียนเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ
งานเขียนมันคงแตกต่างไปตามวัย เล่มแรกที่เขียนชื่อเรื่อง“น้ำตาดอกไม้” เป็นแนวเหงาๆ ช่วงที่เขียนเป็นวัยเริ่มทำงาน ประมาณปี 2520-2522 ยุคนั้นงานเขียนจะเป็นแนวแสวงหา ต่อมาก็ร่วมกับเพื่อน เขียนบทกวีเล่มบางๆ ออกแนวรักๆ ฝันๆ จากนั้นใน ช่วงปี 2533 ก็เริ่มสนใจธรรมะ และได้ปฏิบัติธรรม พอปี 2544 ก็ได้เขียนหนังสือธรรมะเล่มแรกชื่อ “ธรรมะรอบกองไฟ” คือพอเรารู้แล้วก็อยากถ่ายทอดให้คนอื่นด้วย การนำเสนอจะเป็นลักษณะเพื่อนเล่าให้เพื่อน ฟัง เหมือนเวลาเราไปเข้าค่ายก็จะมีการนั่งล้อมวงรอบ กองไฟ แล้วเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟัง ก็เป็นธรรมะสนุกๆ เรื่องต่อมาคือ“สวนดอกไม้กับชีวิต” และเล่มล่าสุดชื่อ“ช้อปปิ้งบุญ” น่าดีใจมากที่มีคนซึ่งทำเวปไซต์ www.dhammajak.net เขาสนใจและโทรมาขอ เรื่อง“ธรรมะรอบกองไฟ” และ“ช้อปปิ้งบุญ” ไปพิมพ์ลงในเวบไซต์ของเขา ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันเลย เราก็ยิน ดีเพราะเห็นว่าเขาอยากนำไปเผยแพร่ ตอนนั้นเราเอง ไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ และเขาไม่มีแผ่นดิสก์งานเขียนของเรา เขาได้แต่หนังสือไป ก็เอาไปพิมพ์ใหม่ ทั้งเล่มเพื่อลงในเวบไซต์

• แล้วสาเหตุที่หันมาสนใจศึกษาธรรมล่ะคะ เป็นมาอย่างไร
อาจเป็นเพราะมีความทุกข์ใจก็เลยเข้าหาธรรมะ เพื่อหาทางดับทุกข์ พี่ไปวัดชลประทานฯ ที่นนทบุรี ตอนที่ไปวัดครั้งแรก เห็นป้ายปักไว้ตามสนามหญ้าตามต้นไม้ เขียนว่า“อะไรจะเกิดขึ้นนั้น ล้วนเกิดจาก หู จมูก ลิ้น กายใจ” พี่ก็รู้สึกว่าเรารู้แล้ว(หัวเราะ) แต่ตอนนั้นเราไม่เข้าใจว่าพระท่านต้องการจะสื่ออะไร ก็เลยยืมเทปของหลวงพ่อปัญญา(หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์) มาฟังที่บ้าน เลือกเรื่องที่สนใจ ฟังแล้วก็พยายามค้นหาสิ่ง ที่เราต้องการ พอได้ฟังได้อ่านมากๆก็เริ่มเข้าใจอะไรๆดีขึ้น รู้ว่าเราทุกข์เพราะความคิดเป็นหลัก ถ้าเราปล่อย วางได้ ทุกข์ก็จะลดลง ต่อมาจึงได้ฝึกปฏิบัติธรรม จากนั้น 10 ปีผ่านไปเราก็อยากบอกสิ่งที่เรารู้ให้คนอื่น รู้ด้วย

• หนังสือธรรมะที่คุณพรจิตต์เขียน รู้สึกว่าอ่านง่าย สบายๆ
ใช่ค่ะ มันเป็นการโชว์ตัวธรรมะ แนะนำให้คนรู้ จักธรรมะ รู้ว่าธรรมะนั้นเขายืนอยู่ข้างๆคุณน่ะแหละ จะได้รู้ว่าธรรมะหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งจริงๆแล้วไม่ว่า คุณอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็สามารถนำธรรมะมาปฏิบัติได้ การทำความดีก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรม
การเขียนหนังสือธรรมะก็เป็นการทำบุญแบบหนึ่ง คนอื่นอาจจะมีเงินเยอะก็ทำบุญด้วยการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร หรือทอดผ้าป่าเป็นแสนเป็นล้าน ซึ่งตรงนั้นมีคนทำเยอะแล้ว ถ้าให้พี่ไปตั้งกฐินกองหนึ่งพี่ก็ทำไม่เป็นหรอก แต่พี่เขียนหนังสือเป็น บอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้ เราคิดว่าเราอยากทำบุญอะไรที่ตัวเราสามารถทำได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หนังสือมันไม่เน่าไม่เสีย ถ้าใครมีบุญเขาก็มีโอกาสได้อ่าน พี่เชื่อว่าคน เราจะมีวันมีบุญของตัวเอง อย่างบางคนเรายื่นหนังสือให้เขา เขาไม่อ่าน ก็เอาไปวางไว้ที่โต๊ะ แต่วันนั้นเป็นวันของอีกคนหนึ่งที่บุญเขามาถึง เขาก็หยิบไปอ่าน เขาอ่านหนังสือของเราก็อาจจะแค่รู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง พอเขาเริ่มมีพื้นฐานจากหนังสือของเรา เขาก็ไปหาหนังสือของหลวงพ่อต่างๆมาอ่านเพื่อศึกษาธรรมะให้ลึกซึ้งขึ้น

• ตอนเขียนได้วางกลุ่มเป้าหมายไหมคะ ว่าต้องการให้คนวัยไหนได้อ่านกันบ้าง
วางค่ะ แต่ไม่สำเร็จ ความจริงเราต้องการเน้นกลุ่ม ผู้อ่านวัยทำงาน อายุ 35 ถึง 50 ปี เราอยากช่วยให้ชีวิตการทำงานของเขาง่ายขึ้น มีความสุขขึ้น เพราะช่วงวัยทำงานจะเป็นช่วงที่คนเราเริ่มรู้จักทุกข์ เริ่มมีปัญหาเรื่องงาน เรื่องเงิน แต่เนื่องจากหน้าปกหนังสือเป็นรูปการ์ตูน เลยมีคนนำหนังสือของเราไปให้เด็กๆ อ่าน ซึ่งเด็กๆก็เข้าใจนะ แต่คิดว่าเขาคงไม่รู้สึกลึกซึ้งเท่าไร เพราะชีวิตเขายังไม่เจอปัญหา บางคนก็บอก ว่าดีนะ เด็กๆเขาจะได้เตรียมตัวไว้ เผื่อโตขึ้นเจอปัญหาแบบนี้จะได้รู้ว่าจะวางใจอย่างไร
นอกจากเด็กๆยังมีผู้สูงอายุ วัย 60-70 รุ่นคุณป้า คุณยาย ก็อ่านหนังสือของเรา ซึ่งเรามีความคิดว่าคนในวัยนั้นคงจะอ่านหนังสือธรรมะที่ลึกกว่านี้ เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะได้ศึกษาธรรมะเบื้องต้นมาแล้ว แต่อ่านหนังสือเราแล้วท่านก็แฮปปี้นะ ท่านมองว่า หนังสือเราได้สรุปข้อคิดต่างๆให้ท่านอีกทีหนึ่ง เลยกลายเป็นว่าหนังสือธรรมะเราแพร่หลายไปหลายกลุ่ม ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ

• พูดถึงวัยรุ่น เผอิญเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก วัยรุ่นส่วนมากจะรู้สึกว่าความรักเป็นเรื่องใหญ่ ผิดหวังเรื่องอะไรก็ไม่รุน แรงเท่ากับเรื่องความรัก คุณพรจิตต์มองเรื่องนี้อย่างไรคะในฐานะที่เคยเขียนเรื่องรักๆมาก่อน
จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าไม่อยากให้มีความรักเลยด้วยซ้ำ เพราะพระพุทธองค์ทรงเห็นว่าความรักเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง(หัวเราะ) แต่ถ้ามีความรักแล้วเราก็ต้องรู้จักรักให้เป็น ถ้าเรามีอารมณ์ของปุถุชนเต็มที่เราก็จะมีความฝัน มีความหวัง แล้วต้องพบกับความ ผิดหวัง แต่ถ้าเรามีสติก็จะสามารถนำธรรมะมาช่วยผ่อนคลายความทุกข์ได้บ้าง เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะสามารถครองสติได้มากน้อยแค่ไหน ยอมรับและนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าบอกว่าเราทนไม่ได้ คนนี้เรารักมาก ก็ต้องร้องห่มร้องไห้ไปก่อน เมื่อผิดหวัง ร้องห่มร้องไห้ พอมีผู้หยิบยื่นธรรมะเข้ามาก็จะมีอยู่ 2 อย่าง คือ คนที่ไม่ยอมรับฟังอะไร และเห็นว่าความรักยิ่งใหญ่ที่สุด ขณะที่อีกคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองกำลังแย่ และอยากจะถอนตัวออกมาจากความทุกข์ เมื่อมี คนหยิบยื่นธรรมะให้ เขาก็จะหันไปฟังและพยายามปฏิบัติตามคำสอน เขาก็จะพ้นความทุกข์ได้ ก็ขึ้นอยู่ กับตัวเขาเองว่าจะเลือกทางไหน
ถ้าเราศึกษาธรรมะมาบ้างก็จะรู้ว่า ถ้าเรามีรักแล้ว เกิดการพลัดพรากก็จะเกิดทุกข์ เราจะได้เตือนตัวเองไว้ก่อน แม้อีกใจหนึ่งจะยังคงยึดมั่น แต่ก็จะมีอะไรมาเตือนสติเราไว้ได้บ้าง จะรักแบบไม่เป็นทุกข์ก็ต้องมีสติและอย่าไปคาดหวังอะไรมาก แต่ถ้ามีอารมณ์ปุถุชนเต็มที่ก็คงคิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะโดยตัวความรักเองเราจะไปสั่งให้รักหรือไม่รักยังทำไม่ได้เลย บางทีเจอคนคนหนึ่ง เราไม่ได้อยากจะรักเขา เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงไปรักเขาเสียเหลือเกิน ดังนั้นถ้าทุกข์แล้วอยากจะแก้ปัญหา เจ้าตัวเองก็ต้อง เต็มใจด้วย ธรรมะเป็นสิ่งที่คุณต้องเต็มใจหันเข้าหา ธรรมะถึงจะช่วยคุณได้

• คิดว่าธรรมะข้อไหนคะที่ควรนำมาใช้กับเรื่องความรักและชีวิตคู่
ธรรมะมันอยู่กับเราตลอดเวลา มันไม่ได้แบ่งว่าข้อนี้ ใช้กับชีวิตคู่ ข้อนี้ใช้กับเพื่อนร่วมงาน ข้อนี้ใช้กับเจ้านาย ข้อนี้ใช้กับลูกน้อง ถ้าศึกษาโดยทั่วไปแล้วจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ หนึ่ง หลักธรรม คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน และ สอง หลักกรรม คือเรามีกรรมมาอย่างไร ทำไมชีวิตเราจึงเป็นแบบนี้ จะเป็นเรื่องของการสร้างเหตุและผลที่ได้รับ ถ้าเราเข้าใจ หลักของเรื่องดังกล่าวเราก็จะรู้ว่าในช่วงเวลานั้นจะนำ ธรรมะข้อใดมาใช้บ้าง ซึ่งในเหตุการณ์หนึ่งๆ ก็ไม่ใช่ ว่าเราจะนำธรรมะข้อใดข้อหนึ่งมาใช้เพียงข้อเดียว แต่ต้องนำธรรมะหลายๆอย่างมาใช้ร่วมกัน และต้อง ดูว่า จะนำธรรมะข้อไหนมาใช้มากน้อยเพียงใด อย่างการมีเมตตากับคนคนหนึ่งก็ต้องดูด้วยว่าคนคนนั้นเขาเป็นอย่างไร ถ้าเราเคยช่วยเขามามากแล้ว แต่เขา ไม่ขวนขวายช่วยเหลือตัวเอง เราก็ต้องดูว่าควรจะให้ ความช่วยเหลือเขาแค่ไหน เพราะนอกจากเมตตาคน อื่นแล้วต้องมีเมตตาตัวเองด้วย

• แล้วการนำหลักธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิตคู่ชีวิตครอบครัว มีผลอย่างไรบ้างคะ
การนำธรรมะมาใช้ในการดำเนินชีวิตคู่ก็จะทำให้ ชีวิตคู่ราบรื่นขึ้น เพราะธรรมะสอนให้อดทน ซึ่งหมาย รวมถึงการอดกลั้น ปล่อยวาง และการยอมบ้างในบางครั้ง บางคนคิดว่าการอดทนทำให้เราทุกข์ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ ถ้าเรารู้จักวางใจ เราอาจจะอดทนด้วย การเงียบเสีย แล้วปล่อยให้เขาเป็นเขา เมื่อเขาชอบอย่างนี้เราก็แค่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น
อย่างสามีพี่(ปกรณ์ พงษ์วราภา) เขาก็ไม่ใช่คนที่ สนใจศึกษาธรรมะ แต่เขาเป็นคนคิดดี ชอบความยุติธรรม เลยมีความคิดที่ค่อนข้างสอดคล้องกัน แม้แต่คนที่เขาเป็นคู่กรณีกับเรา ทำไม่ดีกับเรา เราสองคนก็จะมองอย่างเข้าใจว่าเพราะเขาเป็นแบบนั้น เขาเลยทำแบบนี้ ถ้าเราไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเราก็อาจทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เราสองคนจะค่อน ข้างเข้าใจและอดทนกับเหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามาได้ดี ชีวิตคู่ที่ผ่านๆมาเลยราบรื่น
ส่วนลูกชายพี่เขาก็ไม่ได้สนใจธรรมะเหมือนกัน พี่เชื่อว่าคงเป็นไปตามอายุของเขา ตอนนี้เขาอายุแค่ 24 ปี ยังเป็นวัยรุ่น ยังใช้ชีวิตแบบสนุกสนานอยู่ ก็เลยยังไม่สนใจ เอาหนังสือธรรมะรอบกองไฟให้เขาอ่าน กว่าจะเคี่ยวเข็ญกันได้แทบแย่(หัวเราะ) พออ่าน เสร็จเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องที่เขารู้แล้ว ซึ่งก็เป็นธรรมดา เพราะคนส่วนใหญ่จะมองว่าธรรมะเป็นสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว แต่ตราบใดที่เรายังไม่เจอทุกข์เราก็ยังไม่รู้สึก ลึกซึ้ง หรือยังไม่เข้าใจคำสอนเหล่านี้ ตอนที่พี่ศึกษา ธรรมะใหม่ๆก็เป็นแบบนี้นะ

• แต่ก็ฝ่าฟันมาจนถึงขั้นเปิดห้องปฏิบัติธรรมได้นะคะ รู้สึกพอใจไหมคะกับ ‘เรือนธรรม’ ซึ่งเปิดมา ได้ปีกว่าๆแล้ว
ก็มีคนมาปฏิบัติธรรมพอสมควร การอบรมแต่ ละครั้งเรารับคนไม่เยอะ รับแค่ 15 คน เพื่อไม่ให้แออัดเกินไป เพราะมีที่นั่งในห้องปฏิบัติธรรมแค่ 20 ที่นั่ง อีกทั้งการพูดคุยธรรมะกับอาจารย์จะได้เป็นไปอย่างใกล้ชิด เรามีหลายคอร์สให้เลือก ถ้าคอร์สอบรม สมาธิจะมี 2 แบบ คือแบบอยู่ประจำ 3 วัน คือผู้เรียน จะเข้ามาเย็นวันศุกร์และออกเย็นวันอาทิตย์ และแบบไปเช้าเย็นกลับ 2 วัน คือ เสาร์และอาทิตย์ ส่วนคอร์สเข้าฟังบรรยายธรรมะก็ประมาณ 2 ชั่วโมง โดยมีอาจารย์มาช่วยสอนตั้งแต่ธรรมะเบื้องต้น จนถึงขั้นลึกซึ้ง แต่เราจะเน้นว่าสอนแบบเข้าใจง่ายๆ
เรือนธรรมเราเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 09.00-17.00 น. ยกเว้นวันจันทร์วันเดียว เราถือว่าทำตรงนี้เป็นธรรม ทาน เราจ้างอาจารย์มาสอน มีอาหารให้ทุกมื้อ ใครจะยืมหนังสือกลับไปอ่านก็ได้ แต่จะไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายใดๆกับผู้เรียน ก็มีคนถามว่าจะขยายอีกไหม จะเปิดไปนานแค่ไหน เราก็บอกว่าเรื่องขยายคงจะไม่ เพราะตอนนี้เราทำเต็มกำลังแล้ว ส่วนจะทำไปนานแค่ไหนนั้นเราไม่ได้กำหนด ทำไปเท่ากำลังที่มี ถ้าวันหนึ่งเราต้องหยุด ก็ไม่เสียใจ เพราะถือว่าทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว เราไม่ได้ตั้งความหวังอะไร(ยิ้มอย่าง อารมณ์ดี)

คำตอบเกี่ยวกับชีวิตที่เธอเคยแสวงหาในช่วงเวลา หนึ่งผ่านทางผลงานเขียนเก่าๆนั้น เธอได้รับรู้แล้วจากการศึกษาและปฏิบัติธรรม ณ วันนี้เธอย้ำว่าด้วยวัย ความคิด และความรับรู้ที่เปลี่ยนไป เธอคงไม่หวนกลับไปเขียนเรื่องรักๆอีกแล้ว แต่มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าเขียนหนังสือธรรมะ เพื่อบอกเล่าสิ่งที่เธอได้รับรู้มาให้กับคนอื่นๆ ควบคู่ไปกับการทำ ‘เรือนธรรม’ ที่เธอเรียกว่าเป็นบ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ สำหรับผู้สนใจที่จะเข้าอบรมและปฏิบัติธรรม ที่เรือนธรรม ติดต่อไปได้ที่ โทร.0-2244-8292
กำลังโหลดความคิดเห็น