ตอนที่ 050
สรุปสติปัฏฐานเชิงปริยัติธรรม
3.2 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์หยาบ เป็นเหตุแห่ง ความบริสุทธิ์จากกิเลสของมันทบุคคล (ผู้รู้ช้า) ที่มีตัณหาจริต
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์ละเอียดสุขุม เป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์จากกิเลสของติกขบุคคล (ผู้รู้เร็วเพราะมีปัญญากล้า) ที่มีตัณหาจริต
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์ไม่กว้างขวางนัก เป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์จากกิเลสของมันทบุคคล (ผู้รู้ช้า) ที่มีทิฏฐิจริต
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์กว้างขวางมาก เป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์จากกิเลสของติกขบุคคล (ผู้รู้เร็วเพราะมีปัญญากล้า) ที่มีทิฏฐิจริต
3.3 กายานุปัสสนาสติปัฏฐานและเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เหมาะกับสมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน คือผู้ทำความสงบก่อนแล้วเจริญปัญญาในภายหลัง) ส่วนจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานและธัมมานุ ปัสสนาสติปัฏฐาน เหมาะกับวิปัสสนายานิก (ผู้มีวิปัสสนาเป็นยาน)
3.4 ผู้ปรารถนามรรคผลจำเป็นต้องเจริญสติปัฏฐานอย่างใด อย่างหนึ่ง
3.5 หนทางคือสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้ เมื่อบุคคลอบรมทำให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ข้อสังเกตของผู้เขียน
ก. ตำราเรียนอภิธรรมและอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรท่านยืนยันไว้ว่า "อารมณ์ทั้ง 4 ของมหาสติปัฏฐาน เหมาะสมกับบุคคลหลายประเภทที่แตกต่างกัน" จุดนี้ผู้เขียนเห็นด้วยยิ่งกว่าคำสอนที่ว่า "กายานุปัสสนาสติปัฏฐานทำง่ายกว่าสติปัฏฐานอย่างอื่น" ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ได้ยินได้ฟังทั่วไปในสำนักปฏิบัติต่างๆ เพราะความง่ายหรือยากย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างคือ
(1) ความแก่รอบของปัญญาที่ต่างกัน
(2) การเลือกอารมณ์ได้ถูกกับจริตที่ต่างกัน (ระหว่างตัณหาจริตกับทิฏฐิจริต ไม่เกี่ยวกับเรื่องราคจริต โทสจริต โมหจริต พุทธิจริต สัทธาจริต และวิตกจริต ซึ่งเป็นจริตที่ใช้พิจารณาเลือกอารมณ์ในการทำสมถกรรมฐาน) และ
(3) ความถนัดของจิตที่จะดำเนินในแนวทางของสมถยานิกหรือวิปัสสนายานิก
ตัวอย่างเช่น (1) ผู้ที่มีปัญญากล้าและมีทิฏฐิจริต สมควรเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หากให้ไปเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตอาจจะเบื่อหน่ายกับความคับแคบของอารมณ์กาย และไม่สนใจที่จะตามระลึกรู้กายอยู่เนืองๆ ก็ได้ หรือ (2) บุคคลผู้หนึ่งไม่สามารถกระทำฌานได้ หากต้องเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานซึ่งเหมาะกับสมถยานิก ก็อาจจะรู้สึกฝืดฝืนอย่างมาก หรืออาจหลงเปลี่ยนจากการตามรู้กายไปเป็นการเพ่งกาย ก็เป็นได้
ข. ในตำราท่านขมวดท้ายไว้ด้วยว่าให้ทำสติปัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าต้องทำให้ครบทุกอย่าง ในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรท่านเปรียบสติปัฏฐาน 4 เหมือนประตูเมือง 4 ทิศ ให้เข้าเพียงประตูเดียวก็เข้าเมืองได้แล้ว ตรงจุดนี้มีเหตุผลที่น่ารับฟังยิ่ง เพราะสติปัฏฐานอันใดอันหนึ่งก็สามารถทำให้เกิดความเห็นถูกได้เหมือนๆ กันว่า รูปนามอันเป็นภายในและภายนอกทั้งปวงล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เมื่อปฏิบัติมากเข้า ตัณหาและทิฏฐิจะไม่อิงอาศัยในจิต และจิตไม่ถือมั่นอะไรเลยได้เหมือนๆ กัน
แม้จะฝึกระลึกรู้รูปหรือนามเพียงบรรพเดียว แต่เมื่อเกิดความเข้าใจ ก็ย่อมเข้าใจธรรมทั่วถึงทั้งรูปและนาม เช่นการระลึกรู้รูปยืนเดินนั่งนอน แม้จะเป็นการรู้รูป แต่เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะรู้นามได้ด้วย เพราะนามเป็นผู้สั่งให้เกิดการเปลี่ยนอิริยาบถ หรือการรู้จิตซึ่งเป็นนาม ก็จะรู้รูปได้ด้วย เพราะรูปเป็นที่เกิดของจิต เช่นหูกระทบเสียงแล้วเกิดนามรู้ทางหู แล้วส่งข้อมูลต่อให้เกิดจิตที่เป็นกุศลและอกุศล เป็นต้น ดังนั้นแม้จะเริ่มปฏิบัติโดยใช้อารมณ์รูปนามเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด พอจิตชำนาญในการเจริญสติแล้ว จิตจะสามารถท่องเที่ยวไปในสติปัฏฐาน 4 ได้อย่างไม่มีอะไรติดขัดเลย
นอกจากนี้การเจริญสติปัฏฐานไม่ว่าจะใช้ปัฏฐานใดก็เป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นเนืองๆได้เหมือนกัน เมื่อสติเกิดขึ้นแล้วบรรดาธรรมฝ่ายกุศลทั้งหลายก็มีโอกาสเกิดตามมา คือย่อมเกิดหิริโอตตัปปะ อินทรียสังวร ศีล สัมมาสมาธิ ยถาภูตญาณทัสสนะ วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ ตามกันมาได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเจริญสติปัฏฐานอย่างหนึ่งอย่างใด ก็สามารถทำนิพพานให้แจ้งได้เหมือนกัน
ค. บางท่านสงสัยว่าในเบื้องต้นจะเริ่มหัดเจริญสติปัฏฐานโดยใช้ธรรมเป็นอารมณ์เลยทีเดียวได้หรือไม่ ขอตอบว่าได้ถ้ามีกำลังของสติและสัมมาสมาธิเพียงพอ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าเมื่อทรงตรัสรู้ด้วยการประจักษ์แจ้งอริยสัจจ์ 4 ตามปฏิจจสมุปบาทนัยแล้ว พระองค์ทรงแสดงอริยสัจจ์ 4 (ในธัมมจักกัปวัตตนสูตร) และความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์ ๕ (ในอนัตตลักขณสูตร) ให้นักบวช/ภิกษุปัญจวัคคีย์ฟัง ทรงแสดง อริยสัจจ์ให้ยสกุลบุตรรวมทั้งครอบครัวและสหายฟัง และทรงแสดงเรื่อง อายตนะ (ในอาทิตตปริยายสูตร) ให้ชฎิล 1,000 รูปฟัง จะเห็นได้ว่าเรื่องอริยสัจจ์ ขันธ์ และอายตนะ ล้วนเป็นเรื่องในธัมมานุปัสสนาสติ ปัฏฐานทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่ควรคิดว่าการเจริญสติปัฏฐานหรือการปฏิบัติวิปัสสนาจะต้องเริ่มต้นจากฐานกายก่อนเสมอไป เพราะเป็นความเชื่อที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทั้งด้านพระสูตรและพระอภิธรรม
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า/ตามรอยธรรมย้ำรอยครู)
สรุปสติปัฏฐานเชิงปริยัติธรรม
3.2 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์หยาบ เป็นเหตุแห่ง ความบริสุทธิ์จากกิเลสของมันทบุคคล (ผู้รู้ช้า) ที่มีตัณหาจริต
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์ละเอียดสุขุม เป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์จากกิเลสของติกขบุคคล (ผู้รู้เร็วเพราะมีปัญญากล้า) ที่มีตัณหาจริต
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์ไม่กว้างขวางนัก เป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์จากกิเลสของมันทบุคคล (ผู้รู้ช้า) ที่มีทิฏฐิจริต
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์กว้างขวางมาก เป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์จากกิเลสของติกขบุคคล (ผู้รู้เร็วเพราะมีปัญญากล้า) ที่มีทิฏฐิจริต
3.3 กายานุปัสสนาสติปัฏฐานและเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เหมาะกับสมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน คือผู้ทำความสงบก่อนแล้วเจริญปัญญาในภายหลัง) ส่วนจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานและธัมมานุ ปัสสนาสติปัฏฐาน เหมาะกับวิปัสสนายานิก (ผู้มีวิปัสสนาเป็นยาน)
3.4 ผู้ปรารถนามรรคผลจำเป็นต้องเจริญสติปัฏฐานอย่างใด อย่างหนึ่ง
3.5 หนทางคือสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้ เมื่อบุคคลอบรมทำให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ข้อสังเกตของผู้เขียน
ก. ตำราเรียนอภิธรรมและอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรท่านยืนยันไว้ว่า "อารมณ์ทั้ง 4 ของมหาสติปัฏฐาน เหมาะสมกับบุคคลหลายประเภทที่แตกต่างกัน" จุดนี้ผู้เขียนเห็นด้วยยิ่งกว่าคำสอนที่ว่า "กายานุปัสสนาสติปัฏฐานทำง่ายกว่าสติปัฏฐานอย่างอื่น" ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ได้ยินได้ฟังทั่วไปในสำนักปฏิบัติต่างๆ เพราะความง่ายหรือยากย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างคือ
(1) ความแก่รอบของปัญญาที่ต่างกัน
(2) การเลือกอารมณ์ได้ถูกกับจริตที่ต่างกัน (ระหว่างตัณหาจริตกับทิฏฐิจริต ไม่เกี่ยวกับเรื่องราคจริต โทสจริต โมหจริต พุทธิจริต สัทธาจริต และวิตกจริต ซึ่งเป็นจริตที่ใช้พิจารณาเลือกอารมณ์ในการทำสมถกรรมฐาน) และ
(3) ความถนัดของจิตที่จะดำเนินในแนวทางของสมถยานิกหรือวิปัสสนายานิก
ตัวอย่างเช่น (1) ผู้ที่มีปัญญากล้าและมีทิฏฐิจริต สมควรเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หากให้ไปเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตอาจจะเบื่อหน่ายกับความคับแคบของอารมณ์กาย และไม่สนใจที่จะตามระลึกรู้กายอยู่เนืองๆ ก็ได้ หรือ (2) บุคคลผู้หนึ่งไม่สามารถกระทำฌานได้ หากต้องเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานซึ่งเหมาะกับสมถยานิก ก็อาจจะรู้สึกฝืดฝืนอย่างมาก หรืออาจหลงเปลี่ยนจากการตามรู้กายไปเป็นการเพ่งกาย ก็เป็นได้
ข. ในตำราท่านขมวดท้ายไว้ด้วยว่าให้ทำสติปัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าต้องทำให้ครบทุกอย่าง ในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรท่านเปรียบสติปัฏฐาน 4 เหมือนประตูเมือง 4 ทิศ ให้เข้าเพียงประตูเดียวก็เข้าเมืองได้แล้ว ตรงจุดนี้มีเหตุผลที่น่ารับฟังยิ่ง เพราะสติปัฏฐานอันใดอันหนึ่งก็สามารถทำให้เกิดความเห็นถูกได้เหมือนๆ กันว่า รูปนามอันเป็นภายในและภายนอกทั้งปวงล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เมื่อปฏิบัติมากเข้า ตัณหาและทิฏฐิจะไม่อิงอาศัยในจิต และจิตไม่ถือมั่นอะไรเลยได้เหมือนๆ กัน
แม้จะฝึกระลึกรู้รูปหรือนามเพียงบรรพเดียว แต่เมื่อเกิดความเข้าใจ ก็ย่อมเข้าใจธรรมทั่วถึงทั้งรูปและนาม เช่นการระลึกรู้รูปยืนเดินนั่งนอน แม้จะเป็นการรู้รูป แต่เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะรู้นามได้ด้วย เพราะนามเป็นผู้สั่งให้เกิดการเปลี่ยนอิริยาบถ หรือการรู้จิตซึ่งเป็นนาม ก็จะรู้รูปได้ด้วย เพราะรูปเป็นที่เกิดของจิต เช่นหูกระทบเสียงแล้วเกิดนามรู้ทางหู แล้วส่งข้อมูลต่อให้เกิดจิตที่เป็นกุศลและอกุศล เป็นต้น ดังนั้นแม้จะเริ่มปฏิบัติโดยใช้อารมณ์รูปนามเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด พอจิตชำนาญในการเจริญสติแล้ว จิตจะสามารถท่องเที่ยวไปในสติปัฏฐาน 4 ได้อย่างไม่มีอะไรติดขัดเลย
นอกจากนี้การเจริญสติปัฏฐานไม่ว่าจะใช้ปัฏฐานใดก็เป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นเนืองๆได้เหมือนกัน เมื่อสติเกิดขึ้นแล้วบรรดาธรรมฝ่ายกุศลทั้งหลายก็มีโอกาสเกิดตามมา คือย่อมเกิดหิริโอตตัปปะ อินทรียสังวร ศีล สัมมาสมาธิ ยถาภูตญาณทัสสนะ วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ ตามกันมาได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเจริญสติปัฏฐานอย่างหนึ่งอย่างใด ก็สามารถทำนิพพานให้แจ้งได้เหมือนกัน
ค. บางท่านสงสัยว่าในเบื้องต้นจะเริ่มหัดเจริญสติปัฏฐานโดยใช้ธรรมเป็นอารมณ์เลยทีเดียวได้หรือไม่ ขอตอบว่าได้ถ้ามีกำลังของสติและสัมมาสมาธิเพียงพอ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าเมื่อทรงตรัสรู้ด้วยการประจักษ์แจ้งอริยสัจจ์ 4 ตามปฏิจจสมุปบาทนัยแล้ว พระองค์ทรงแสดงอริยสัจจ์ 4 (ในธัมมจักกัปวัตตนสูตร) และความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์ ๕ (ในอนัตตลักขณสูตร) ให้นักบวช/ภิกษุปัญจวัคคีย์ฟัง ทรงแสดง อริยสัจจ์ให้ยสกุลบุตรรวมทั้งครอบครัวและสหายฟัง และทรงแสดงเรื่อง อายตนะ (ในอาทิตตปริยายสูตร) ให้ชฎิล 1,000 รูปฟัง จะเห็นได้ว่าเรื่องอริยสัจจ์ ขันธ์ และอายตนะ ล้วนเป็นเรื่องในธัมมานุปัสสนาสติ ปัฏฐานทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่ควรคิดว่าการเจริญสติปัฏฐานหรือการปฏิบัติวิปัสสนาจะต้องเริ่มต้นจากฐานกายก่อนเสมอไป เพราะเป็นความเชื่อที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทั้งด้านพระสูตรและพระอภิธรรม
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า/ตามรอยธรรมย้ำรอยครู)