xs
xsm
sm
md
lg

บทความพิเศษ : อะไรคือศัตรูของความสุข

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โมหะนั้นเองที่ทำให้คนคิดคนเชื่อ ว่าการกระทำทุกอย่างทำแล้วก็เป็นอันแล้วกันไป ไม่มีผลเหลืออยู่เป็นความดีความชั่วที่ยั่งยืนตลอดไปทุกภพทุกชาติตราบเท่าที่ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด ความคิดความเชื่อแบบคนหลงหรือคนมีโมหะเช่นนี้ เป็นโทษอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับความคิดความเชื่อที่ว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว ซึ่งเป็นความคิดความเชื่อ ของคนหลง ของคนมีโมหะเช่นกัน
ความคิดความเชื่อไม่สามารถทำให้สัจธรรมคือความจริงเปลี่ยนไปได้ สัจธรรมมีอยู่อย่างไรต้องเป็น อยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนไปตามความคิดความเชื่อ

เช่นสัจธรรมมีอยู่ว่า การกระทำทุกอย่างมีผล ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แม้ผู้มีโมหะจะคิดไปอีกอย่างหนึ่งดังกล่าวแล้วข้างต้น คือการกระทำทุกอย่าง ทำแล้วก็เป็นอันแล้วกันไป หรือทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ ได้ชั่ว สัจธรรมก็จะไม่เปลี่ยนแปลง จักเป็นความจริง แท้อยู่เสมอไป ดังนั้น แม้ผู้ที่มีโมหะจะเห็นว่าทำดีไม่มี ผลดี ทำชั่วก็ไม่มีผลชั่ว แล้วกระทำความชั่ว สัจธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง คือ ผู้ทำชั่วจักต้องได้รับผลชั่ว อันเป็นการตรงกันข้ามกับความคิดความเชื่อ ซึ่งเกิดด้วย อำนาจของโมหะคือความหลง คือไม่เห็นให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้ ความคิดความเชื่อแบบ คนไม่หลงหรือไม่มีโมหะ จึงเป็นคุณอย่างยิ่ง ในทาง ตรงกันข้าม ความคิดความเชื่อแบบคนหลงหรือมีโมหะ จึงเป็นโทษอย่างยิ่งเช่นกัน
การพยายามทำความคิดให้ไม่อยู่ในอำนาจของโมหะจนเกินไป คือการพยายามคิดไม่ให้ผิดจากความจริงจนเกินไปนัก จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรตั้งใจพยายาม
การศึกษาพระพุทธศาสนาจะช่วยได้อย่างยิ่งในเรื่องนี้ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้ง เห็นจริงตลอดแล้ว ได้มีพระกรุณาสั่งสอนไว้ชัดเจนทั้งหมด ว่าการกระทำเช่นใดเป็นการกระทำดี การกระทำเช่นใดเป็นการกระทำชั่ว และพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้แหละที่ทรงชี้บอกไว้ว่า การกระทำทุกอย่างมีผล ไม่ใช่ไม่มี และการกระทำดีให้ผลดีไม่ใช่ให้ผลชั่ว ส่วนการกระทำชั่วให้ผลชั่วไม่ใช่ให้ผลดี ผู้มีจิตศรัทธาเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีโอกาส จะทำความคิดของตนให้พ้นจากอำนาจของความหลงหรือโมหะได้ง่ายกว่าผู้ไม่มีศรัทธาเชื่อในความตรัสรู้ของพระองค์
เด็กที่ยังไม่รู้ว่าไฟร้อน จะไม่เป็นการเชื่ออย่างงม งาย แต่จะเป็นการเชื่อที่ช่วยคุ้มครองรักษาเด็กเองมิให้ถูกไฟลวกไฟไหม้พองฉันใด ผู้ที่ยังไม่เห็นถนัดชัดแจ้งด้วยตนเองในเรื่องกรรมและผลของกรรม ถ้าเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ก่อน ก็จะไม่เป็นการ เชื่ออย่างงมงาย แต่จะเป็นการเชื่อที่ช่วยคุ้มครองรักษาผู้เชื่อเองมิให้ได้รับผลร้ายจากการกระทำไม่ดี แต่ให้ได้รับผลดีจากการทำดีฉันนั้น เด็กที่ไม่รู้จักไฟ ว่าร้อน แต่เชื่อคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ วันหนึ่งเมื่อเติบ โตรู้ภาษาขึ้น หรือเรียกว่ามีปัญญาขึ้น ก็จะรู้จักด้วยตนเองว่าไฟร้อน จะเป็นการรู้จักที่ไม่ต้องถูกไฟลวกไหม้ให้ทนทุกข์ทรมานเสียก่อน
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ยังไม่เห็นถนัดชัดแจ้งด้วย ตนเองในเรื่องกรรมและผลของกรรม แต่เชื่อพระพุทธองค์ทรงสั่งสอน วันหนึ่งเมื่อปัญญาเจริญขึ้นด้วย การอบรม ก็จะเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ด้วยตนเอง จะเป็นความเข้าใจที่ไม่ต้องถูกผลไม่ดีของ กรรมไม่ดี ทำให้บอบช้ำแสนสาหัสเสียก่อน เช่นนี้แล้ว ควรพิจารณาว่า เด็กที่ไม่รู้จักไฟว่าร้อน เชื่อผู้ใหญ่ไว้ ก่อนดีหรือไม่ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม เชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก่อนดีหรือไม่
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ให้ทำกรรมดี เพราะกรรม ดีเท่านั้นจักให้ผลดี อย่าทำกรรมไม่ดี เพราะกรรมไม่ ดีจักให้ผลไม่ดี ที่ทรงสอนไว้เช่นนี้ น่าจะเพราะทรงเห็นแล้วว่า คนทั่วไปจะเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของ กรรมให้ถูกต้องนั้นยากมาก ความสลับซับซ้อนของกรรมและผลของกรรมมีอยู่มากมาย จนอาจทำให้คน ทั่วไปเห็นผิดได้ง่ายๆว่า กรรมดีไม่ให้ผลดีเสมอไป และกรรมชั่วไม่ให้ผลชั่วเสมอไป อาจทำให้เห็นผิดไป ได้ง่ายๆว่า บางทีกรรมดีก็ให้ผลไม่ดี และบางทีกรรม ไม่ดีก็ให้ผลดี ด้วยเหตุนี้จึงทรงชี้แจงแสดงไว้อย่างชัดแจ้ง เพื่อบรรดาผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในพระองค์จะได้ เห็นถูก พ้นจากทุกข์โทษภัยของความเห็นผิดในเรื่อง กรรมและผลของกรรม
ผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงสั่งสอน และในพระสงฆ์ที่สอนพระธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมจักเชื่อว่าการกระทำทุกอย่างมีผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความเชื่อนี้ย่อมจักทำให้พิจารณาก่อนการกระทำการทุกอย่าง เพื่อทำ แต่ดี ไม่ทำชั่ว อันจะเป็นผลให้พ้นทุกข์โทษภัยจากการทำไม่ดี และเป็นสุขสวัสดีจากการทำดีตลอดไป
โมหะหรือความหลงอันเป็นโทษอย่างยิ่ง คือโมหะที่เป็นเหตุให้คิดผิดเห็นผิดไปว่า ผลของการกระทำไม่มี ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ความจริงทั้งหมดแล้วจะทรงสอนว่า การกระทำทุกอย่างมีผล ผู้ใดทำดีจักได้รับผล ดี ผู้ใดทำชั่วจักได้รับผลชั่ว แต่โมหะหรือความหลงก็สามารถทำให้คิดผิดเห็นผิดเป็นอย่างอื่นไปได้ ทำให้ไม่เชื่อพระพุทธองค์ได้ ทั้งๆที่พระพุทธองค์ทรงมีดวง พระเนตรเป็นทิพย์แล้ว ด้วยพระปัญญาคุณอันไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน และทั้งๆที่ตนเองเป็นผู้มีดวงตามืด มัวด้วยปราศจากแสงแห่งปัญญา
อันผู้ขาดปัญญาก็คือผู้มีโมหะความหลงผิด ขาดปัญญาประกอบความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความรู้ ก็ย่อมมีโมหะในการคิด ในการเห็น ในการเชื่อ ในการรู้ คือมีความคิดที่หลงผิดจากความจริง มีความรู้ที่หลงผิดจากความจริง ผู้มีปัญญามากในเรื่องใด ก็มีโมหะความหลงผิดน้อยในเรื่องนั้น หรือผู้มีโมหะความหลงผิดน้อยในเรื่องใดก็มีปัญญามากในเรื่องนั้น ผู้มีปัญญาบริบูรณ์ในเรื่องใดก็ไม่มีโมหะความหลงผิดเลยในเรื่องนั้น หรือผู้ไม่มีโมหะความหลงผิดเลยในเรื่องใดก็มีปัญญาบริบูรณ์ในเรื่องนั้น
แต่สามัญชนที่จะไม่มีโมหะความหลงผิดเลย มีปัญญาบริบูรณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นไม่มี พระอริยบุคคลเท่านั้นที่มีปัญญาบริบูรณ์ได้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยไม่มีโมหะความหลงผิดเลยในเรื่องนั้น และพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกทั้งหลายเท่า นั้นที่ทรงมีพระปัญญาและมีปัญญาบริบูรณ์ ไม่ทรงมี และไม่มีโมหะความหลงผิดเลยในเรื่องทั้งปวง
อย่างไรก็ตาม ไม่นับผู้ไม่มีปัญญาในทางโลกแท้ๆ ว่าเป็นผู้มีโมหะความหลงผิด เช่นไม่นับผู้ไม่มีปัญญา ในการศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ว่าเป็นผู้มีโมหะหรือ ความหลง หรือไม่นับผู้ไม่มีปัญญาในการหาเลี้ยงชีพ ให้สมบูรณ์พูนสุขว่า เป็นผู้มีโมหะหรือมีความหลง เช่นนี้เป็นต้น แต่นับว่าเป็นผู้ไม่มีปัญญาในทางการศึกษาเล่าเรียน หรือเป็นผู้ไม่มีปัญญาในทางหาเลี้ยงชีพ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ความไม่มีปัญญาใน ทางโลกแท้ๆ ไม่นับเป็นความมีโมหะหรือความหลง จะนับว่ามีโมหะหรือความหลงก็ต่อเมื่อขาดปัญญาในความรู้ความคิดความเห็นความเชื่อ ที่จะทำให้ความทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารลด น้อยลง หรือจนถึงหมดสิ้นไปเท่านั้น เช่นดังกล่าว แล้ว ผู้ไม่เชื่อว่าการกระทำทุกอย่างมีผล ไม่เชื่อว่าทำดีจักได้รับผลดี ทำชั่วจักได้รับผลชั่ว นับเป็นผู้มีโมหะความหลงผิด เพราะขาดปัญญาที่จะทำให้รู้ ให้คิด ให้เห็น หรือเพียงให้เชื่ออย่างถูกต้องตามความ เป็นจริงในเรื่องที่จะทำให้ความทุกข์ที่มีอยู่ในวัฏสงสาร ลดน้อยลง ทั้งยังเป็นการเพิ่มความทุกข์นั้นให้มากขึ้นอีกด้วย เพราะการขาดปัญญาสำหรับขจัดโมหะความหลงผิดนี้แหละ
ผู้ที่ไม่เชื่อว่าผลของกรรมคือการที่กระทำมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือผู้ที่ไม่เชื่อว่าความสุขความทุกข์นานาประการที่เกิดขึ้นเป็นประจำในโลก ทั้งแก่ตนเองและทั้งแก่ผู้อื่น มิได้เป็นผลของกรรมคือการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของตนเองและของผู้อื่น แต่เชื่อว่าความสุขความทุกข์เหล่านั้นเป็นสิ่งเกิดขึ้นเอง มิได้เป็นผลของกรรมที่ตนเองหรือผู้ใดผู้หนึ่งทำไว้ เมื่อเชื่อเสียเช่นนั้นแล้วว่าความสุขความทุกข์ มิได้เป็นผลของการกระทำดีการกระทำชั่ว เกิดขึ้นได้เอง จะสุขก็สุขเพราะเหตุอื่น จะทุกข์ก็ทุกข์เพราะเหตุอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำใดๆทั้งสิ้นของตน ก็จะเชื่อ ด้วยว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องควรพิจารณาก่อน แล้วจึงทำ ความเชื่อนี้แหละเป็นความเชื่อของผู้มีโมหะความหลงผิดที่จะทำให้ความทุกข์ในวัฏสงสาร ของตนเองเพิ่มขึ้น มิได้ลดน้อยลง เพราะแม้ว่าไม่พิจารณาก่อนทำเพื่อทำแต่กรรมดีไม่ทำกรรมชั่ว ผลของกรรมที่ทำโดยไม่เลือกดีเลือกชั่ว ย่อมเป็นเหตุแห่งความทุกข์ของตนแน่นอน
การกระทำไม่ดี ไม่งาม ไม่ถูก ไม่ชอบ ทั้งหลายที่มีกระทำกันอยู่เป็นธรรมดานั้น ผู้ทำล้วนเป็นผู้มีโมหะความหลงผิดด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างกันเพียงที่ บางคนมีมากบางคนมีน้อย คนมีโมหะความหลงผิด มากก็ทำไม่ดีไม่งามไม่ถูกไม่ชอบหนักมาก คนมีโมหะความหลงผิดน้อยก็ทำหนักน้อย เป็นไปตามอำนาจของความหลงผิดอย่างแท้จริง แต่โมหะที่ทำ ให้หลงผิด ตั้งแต่คิดผิดเห็นผิดจนถึงทำผิดได้นั้น ไม่อาจคุ้มครองใครให้พ้นจากทุกข์โทษภัยของการคิดผิดเห็นผิดทำผิดได้เลย แม้แต่จะทำให้ผลอันเป็นทุกข์โทษภัยลดน้อยลง โมหะก็ช่วยไม่ได้ โมหะได้แต่เพิ่มทุกข์โทษภัยให้มากมายขึ้นเท่านั้น
การจะดูหน้าตาโมหะในใจตนให้รู้จัก จึงอาจดูได้ ด้วยการดูทุกข์โทษภัยที่เกิดแก่ตน แม้มีมากก็รู้ได้ว่า โมหะในใจตนมีมาก จึงเป็นเหตุให้คิดผิดเห็นผิดจน ถึงทำผิดมาก ได้รับผลเป็นทุกข์โทษภัยมาก คิดผิด เห็นผิดทำผิดในทางใดมาก ก็รู้ได้ว่ามีโมหะในทางนั้นมาก เช่น คิดผิดเห็นผิดว่าบุญบาปไม่มี แล้วทำ บาปมาก ก็รู้ได้ว่ามีโมหะมากในเรื่องบุญบาป
โมหะหรือความหลงผิดไม่มีปัญญารู้จริงในตัวอย่างนี้แหละ ที่จะทำให้ความทุกข์ในวัฏสงสารเพิ่ม มากขึ้น มิใช่อย่างเดียวกับความไม่มีปัญญารู้ในเรื่อง การศึกษาเล่าเรียน หรือในการหาเลี้ยงชีพให้สมบูรณ์ พูนสุขที่เป็นปัญญาในทางโลกแท้ๆ ซึ่งไม่นับเป็นโมหะหรือความหลง ดังนั้น เมื่อจะทำโมหะหรือความ หลงที่มีอยู่ในสามัญชนทุกคนให้ลดน้อยลงจนถึงหมดสิ้นไป คือจนถึงเปลี่ยนสภาพจิตใจจากความเป็น ปุถุชนให้เป็นอริยบุคคล ต้องอบรมปัญญาให้ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ และต้องเป็นการอบรมปัญญาที่จะทำให้กิเลสคือตัวโมหะลดน้อยลง นั่นก็คือ ต้องอบรมปัญญาที่จะทำให้ความทุกข์ในการต้องเวียนว่ายตาย เกิด ให้ลดน้อยลงเป็นลำดับ จนถึงหมดสิ้นไป ได้มีความสุขอย่างยิ่ง จนถึงมีบรมสุขคือถึงพระนิพพาน อันเป็นผลสูงสุดของการทำดีได้ดีในพระพุทธศาสนา ที่ไม่มีในศาสนาอื่น
ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้โมหะหรือความหลงผิด ลดน้อยลงได้ จึงต้องตั้งใจจริงพากเพียรอบรมปัญญาในทางพระพุทธศาสนาให้สม่ำเสมอ
อนึ่ง อันความง่วงเหงาหาวนอน เซื่องซึม ฟุ้งซ่าน ลังเล เคลือบแคลงสงสัย ก็เป็นโมหะ เพราะนิวรณ์หรืออาการดังกล่าวนั้นเป็นเหตุให้ความคิด ความเห็น ความเชื่อ และความรู้ ผิดไปจากความเป็นจริง ผู้ที่ง่วง ที่ซึม ที่ฟุ้ง ที่ลังเล ที่สงสัย เป็นผู้ที่ปัญญาไม่อาจเกิดได้ และเมื่อปัญญาไม่เกิด โมหะก็เกิด นี้เป็น ธรรมดา นึกถึงตัวเองก็จะเห็นได้ไม่ยาก เวลาที่ง่วงหรือซึม หรือฟุ้ง หรือลังเล หรือสงสัย ย่อมเป็นเวลา ที่ไม่อาจใช้ปัญญาพิจารณาให้เกิดความคิด ความเห็น ความเชื่อ หรือความรู้ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ตามสมควร เวลานั้นเป็นเวลาที่มีโมหะมาก มีความหลงผิดมาก
ถ้าจะเปรียบความหลงเป็นความหลับ ความคิดความเห็นและความเชื่อความรู้ของผู้มีความหลง ก็เปรียบเหมือนความฝัน คือไม่จริง แต่ขณะฝันหรือขณะมีความหลงย่อมคิดว่าจริง ย่อมยินดียินร้ายไปตามเหตุการณ์ที่ประสบ ทุกคนจะรู้ว่าฝันก็ต่อเมื่อตื่น แล้ว เมื่อยังหลับฝันอยู่จะคิดว่าเป็นความจริง ผู้หลง อยู่ก็เหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นผู้ฝันไปทั้งกำลังตื่นอยู่ เมื่อประสบโลกธรรม ธรรมสำหรับโลกอันเป็นอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนา เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ตื่นเต้นยินดี เมื่อประสบอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา เช่น เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ยินร้าย ฟุบแฟบ เสียใจ เพราะรู้สึกว่าเป็นการได้ การเสียจริงๆ เมื่อได้ก็ดีใจ เสียก็เสียใจ นี้เป็นธรรมดา ของสามัญชน แต่เมื่อพูดถึงในกระแสธรรมก็เรียกว่า เป็นความหลง
นอกจากนี้ยังมีความสำคัญผิด เชื่อผิดต่างๆในเรื่องทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวความหลงอย่างชัดแจ้งอีกมาก ทุกคนเมื่อพิจารณาดูเหตุการณ์ที่ตนเองประสบอยู่ก็ย่อมรู้ว่าได้เคยมีความเห็น ความเข้าใจ และความเชื่อ ผิดมาแล้วหลายสิ่งหลายอย่าง ขณะไม่รู้ก็ย่อมเห็นว่า จริง ครั้นรู้แล้วจึงเปลี่ยนความเห็นได้ว่าไม่จริง เป็นความสำคัญผิดเชื่อผิดของตัวเอง
สรุปได้ว่า โมหะความหลงผิด ถือเอาผิดนี้ คือถือ เอาผิดจากสัจจะ ตัวความจริง สัจจะคือตัวความจริงเป็นอย่างหนึ่ง ถือเอาเป็นอย่างหนึ่ง เช่น สัจจะเป็นทุกข์ แต่ถือเอาเป็นสุข สัจจะเป็นเหตุเกิดทุกข์ ถือว่าไม่ใช่เหตุเกิดทุกข์ สัจจะเป็นความดับทุกข์ ถือว่าเป็น ความไม่มีสุข สัจจะเป็นทางปฏิบัติให้ดับทุกข์ ถือว่าให้เกิดทุกข์ ฉะนั้น เมื่อมีโมหะถือเอาผิดจึงเหมือนหลับ แล้วฝันเห็นบ้างลางๆแต่ไม่จริง หลงยินดียินร้าย อยู่ คนสามัญเป็นดังนี้ และยากจะรู้สึกว่ากำลังหลับฝันอยู่ ก็เหมือนคนหลับฝันไม่รู้สึกตัว คิดเห็นในขณะฝันว่าเป็นจริง
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตื่นด้วยความรู้ในสัจจะทั้งหลายตามความจริง ทรงเห็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ทรงเห็นเหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ตามเป็นจริง และ ทรงเห็นสัจจะทางปฏิบัติให้ดับทุกข์ จึงทรงรู้โลกธรรม ตามจริง จะเป็นอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ ก็ตาม ทรงรู้ว่าเป็นธรรม คือเรื่องของโลก อยู่ในโลก จะเป็นปุถุชนหรืออริยบุคคล ก็ต้องพบโลกธรรมซึ่งเป็นเรื่องของโลก จะปรารถนาหรือไม่ก็ต้องพบ และได้ทรงตรัสรู้ว่าโลกธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา มีได้ต้องมีเสีย เมื่อยึดเอาไว้ก็จะเป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นเรื่องภายนอก ชีวิตนี้เองเมื่อมีเกิดก็ต้องมีแตก ดับ เป็นโลกธรรมเหมือนกัน ไม่มีใครบังคับเอาไว้ได้
เมื่อทำความรู้ให้เข้าถึงความจริงดังนี้ ก็จะไม่ไปฝืนโลก ไม่ไปรั้งโลก เหมือนรั้งดวงอาทิตย์ไม่ให้โคจร โลกหมุนก็หมุนไป โลกธรรมก็หมุนไปด้วย มีเช้าแล้ว ก็สาย บ่าย เย็น จะให้เช้าอยู่เสมอไม่ได้ แม้จะเย็นค่ำไปแล้วก็จะกลับมาเช้าใหม่ ธรรมดาหมุนเวียนอยู่ ดังนี้
ผู้มีความรู้ในคติธรรมดาของโลกธรรมตามสัจจะ ไม่ยึดถือในทางผิดธรรมดา ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมดา คือปล่อยวาง เรียกว่าเป็นผู้ตื่นด้วยความรู้ ปราศจากโมหะคือความหลง จักไม่มีความยินดียินร้าย ความฟูขึ้นฟุบลงอีกต่อไป

(จากหนังสือ “ความสุขหาได้ไม่ยาก”)
กำลังโหลดความคิดเห็น