จากเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งได้มีพระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2547 ต่อเหตุการณ์นี้ ความตอนหนึ่งว่า “...ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าเป็นการกระทำของชาวไทยมุสลิมที่ข้าพเจ้าเคยพบและรู้จักมานานกว่า 30 ปี ไม่ ใช่เขา เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้าจะวิงวอนขอร้องให้ทำอย่างไร จะไม่ขอพูดรายละเอียด บางครั้งคิดไม่ถึง แต่ขอให้ท่านแสดงความรัก ความห่วงใยต่อราษฎรภาคใต้ที่ถูกรังแกเอา ชีวิตอย่างน่าสงสารที่สุด ข้าพเจ้าก็คิดถึงท่านทั้งหลาย ผู้แทนข้าราชการ องค์กรอิสระ สมาคม นิสิต นักศึกษาไทยอาสา สื่อมวลชน คณาจารย์ ช่วยกันคิดอ่านหาทางยุติการฆ่ารายวัน ช่วยกันคิด ช่วยกันสะสาง ยุติเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ได้บอกให้วิ่งไปถืออาวุธลงไปช่วยแต่ให้แสดงพลังทางใจ พร้อมกับแสดงความไม่พอใจต่อผู้ก่อเหตุ ราษฎรไทยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการ แก้ปัญหา ไม่ใช่มอบ โมะให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลฝ่ายเดียว...”
จากพระราชกระแสดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและความไม่สบายพระทัย พร้อมทั้งทรงวิงวอนขอร้องให้ทุกฝ่ายได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันยุติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ดังนั้น กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมจึงได้จัด“การประชุมเสวนาสร้างสัมพันธ์และสันติสุขใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ น้อมรับพระราชกระแส เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล 72 พรรษา มหาราชินี” ขึ้น เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 47 ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยโดยมี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเสวนา พร้อมด้วยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา และผู้นำองค์กรศาสนา เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมกำหนดกรอบแนวความคิดที่จะส่งเสริมให้ศาสนิกชนของทุกศาสนานำหลักธรรมของแต่ละศาสนาที่สอดคล้องกับพระราชกระแส สร้างความสมานฉันท์ในหมู่พี่น้องประชาชนชาวไทย ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข มีความสมานฉันท์ พึ่งพาอาศัยและเอื้ออาทร ซึ่งกันและกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ให้ศาสนิกชนทุกศาสนารวมพลัง ความสามัคคีน้อมรับพระราชกระแสไปปฏิบัติตามมิติทางศาสนา เพื่อทดแทน คุณแผ่นดิน 2.เพื่อให้ศาสนิกชนทุกศาสนาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักธรรมในศาสนาของตนที่สอดคล้องกับพระราชกระแสดังกล่าว โดยให้นำหลักธรรมทางศาสนาของตนไปปฏิบัติให้เกิดผลต่อสังคมโดยรวม 3.ให้ศาสนิกชน ทุกศาสนาได้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยใช้กิจกรรมทางศาสนาที่หลากหลายนำสันติสุขมาสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4.ให้ศาสนิกชนทุกศาสนา ได้สร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติบนพื้นฐานของความรัก ความผูกพัน และวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยเฉพาะต่อการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กล่าวปาฐกถาน้อมรับพระราชกระแสนำสู่การปฏิบัติในมิติศาสนาว่า จากพระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณว่าทรงห่วงใยในพสกนิกร ทรงไม่ละทิ้งพสกนิกรของพระองค์ ไม่ทรงอยากจะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ในภาคใต้เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย โดยทรงมีพระราชประสงค์จะให้คนไทยช่วยเหลือเพื่อนคนไทยด้วยกัน วันนี้คนไทยทั้งประเทศจะต้องร่วมกันสร้างสรรค์บ้านเมืองให้รุ่งเรืองและสงบสุข น้อมรับพระราชกระแสรับสั่งดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม โดยขอให้ทุกท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า จะพร้อมใจรวมพลังความสามัคคีในความเป็นคนไทยให้ปรากฏ เพื่อนำความสงบสุขมาสู่ 3 จังหวัดชาย แดนภาคใต้ เชื่อว่าการดำเนินงานในครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จได้ โดยอาศัยความจงรักภักดีที่ศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า มีต่อพระองค์ และปัจจัยที่เป็นทุนทางสังคมที่เป็นเสมือนจุดแข็งของประเทศ กล่าวคือ เรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น อัครศาสนูปถัมภก ทรงให้การอุปถัมภ์ทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งทุกศาสนาต่างระลึกได้ถึงพระมหากรุณาธิคุณนี้ ทุกศาสนาล้วนมีจุดมุ่งหมายให้ศาสนิกชนเป็นคนดี ละเว้นความชั่ว การเป็นคนดี คือการดำรงอยู่อย่างสันติสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ด้าน พระธรรมกิตติวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม กล่าวเสวนาเป็นรูปแรกว่า สำหรับพระพุทธศาสนานั้น แน่นอนเป็นศาสนาหลักของประเทศมีผู้นับถือมาก และในขณะเดียวกันก็เป็นศาสนาที่มุ่งสันติภาพมุ่งสันติสุข พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนธรรมะทุกเรื่องทุกประการ มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับเรื่องสันติ ความสงบสุข สันติแบ่งออกเป็น 2 ประการด้วยกัน คือ ประการแรกสันติภายนอก ประการที่สองสันติภายใน
โดยสันติภายนอกก็เป็นความสงบสุขที่เราเรียกกันว่าอยู่เย็นเป็นสุข เป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ชัด ส่วนสันติภายในก็คือความสงบสุขภายในนั้นเป็นหลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา การสร้างสันติในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำลังมีปัญหาอยู่นี้ ถ้าได้อาศัยหลักธรรมในศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาก็จะสามารถสร้างสันติได้แบบยั่งยืนหรือถาวร
ส่วนคนที่นับถือศาสนาพุทธมีทั้งดีและไม่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าศาสนานั้นสอนให้ทะเลาะกัน สอนให้ฆ่ากัน หรือว่าสอนให้ทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าได้นำเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ถูกต้องหรือไม่ ทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทยจะต้องร่วมมือกัน รู้รักสามัคคี เพื่อให้เกิดความสันติสุขและความสงบสุขให้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้
ส่วน ดร.บุญรัตน์ บัวเย็น ประธานสภาคริสตจักรในประเทศไทย กล่าวเป็นคนต่อมาว่า พระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงต้องการความรัก ที่ไม่ใช่ด้วยคำพูด และด้วยอารมณ์ แต่หมายถึงความรักที่เป็นรูปธรรม คือรักและแบ่งปัน ซึ่งการแบ่งปันดังกล่าวไม่จำกัดอยู่เพียงการหยิบยื่นสิ่งของให้ แต่หมายถึงให้หัวใจ ให้วิญญาณของเราร่วมในชะตากรรมของพี่น้องของเรา และนี่คือความหมายของ“ความรักด้วยใจจริง” เป็นความรักของผู้มีคุณธรรม
พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สอดคล้องกับคำสอนของทุกศาสนา สมกับที่ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา พระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ตรัสว่า“ขอให้ท่าน แสดงความรัก ความห่วงใยต่อราษฎรภาคใต้ ที่ถูกรังแกเอาชีวิตอย่างน่าสงสารที่สุด ขอช่วยกันคิด ช่วยกันสะสาง ยุติเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ได้บอกให้วิ่งไปถืออาวุธลงไปช่วย แต่ให้แสดงพลังทางใจ” และเมื่อทุกคนเข้าถึงปัญหาได้ด้วยพลัง เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราโดยเฉพาะชาวคริสต์ที่มีองค์กรสำหรับช่วยเหลือชุมชนมากมาย ก็พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในทางวัตถุ เพื่อฟื้นฟูสภาพสังคมและความเป็นอยู่ของพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้
คนไทยทุกคนที่ศึกษาและน้อมรับพระราชดำรัส และโครงการตามพระราชดำริจะพบว่า แท้จริงแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานคำตอบและแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆ ไว้แล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ขาดการตอบสนองอย่างถูกต้องถูกทางจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายองค์การศาสนา และฝ่ายเอกชน ดูแค่พระราชดำรัส เรื่อง“การรู้รักสามัคคี” ข้อความสั้นๆนี้คือคำตอบที่พระราชทานให้กับคนไทยในการสร้างสังคมไทยให้น่าอยู่ ให้ร่มเย็นเป็นสุข
ผศ.นิรันดร์ พันทรกิจ ผู้อำนวยการสำนักจุฬาราชมนตรี แสดงความคิดเห็นเป็นคนสุดท้ายว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ดำเนินมาตามลำดับจนนำไปสู่การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านโดยทั่วไปเป็นจำนวนมาก สำนักจุฬาราชมนตรีเห็นว่า การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาใดๆ จะนำไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติ และจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด อันเป็นการขยายผลความรุนแรง ซึ่งจะนำความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ สำนักจุฬาราชมนตรีได้เฝ้าติดตามมาโดยตลอด ในส่วนของผู้หลงผิดโดยการอ้างหลักคำสอนของศาสนาเพื่อนำไปสู่การทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น เป็นการกระทำที่ผิดเจตนารมณ์ของศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน ตลอดจนการหลงผิดที่นำบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอาน มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อันมิชอบนั้นถือเป็นข้อห้ามสำคัญในศาสนาอิสลาม ทางท่านจุฬาราชมนตรีได้มีการเรียกประชุมคณะทำงาน เพื่อที่จะสนองพระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อย่างที่มีพระราชกระแสรับสั่งที่ว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เป็นปัญหาของประเทศ ชาติที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน แก้ไข”
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ และเป็นศาสนาที่ให้ความเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ยอมรับในความแตกต่างและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม
หลังเสร็จจากการประชุมเสวนา ทุกศาสนาได้มีมติร่วมกันดังนี้
ประการแรก พฤติกรรมการเข่นฆ่า ทำลายชีวิตมนุษย์หาใช่เป็นผู้มีศาสนา สมควรได้รับการประณาม ความเข้าใจของคนในสังคมเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน การสร้างความเข้าใจดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยใช้มิติทางสังคมและศาสนา การเคารพเชื่อถือให้เกียรติความเป็นมนุษย์ร่วมกัน
ประการที่สอง สังคมที่ขาดสันติใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสังคม ที่อ่อนแอลง ควรใช้ยุทธศาสตร์ด้านสังคม ความรักความเข้าใจ เป็นยุทธศาสตร์หลัก โดยไม่ละเลยยุทธศาสตร์อื่น ซึ่งต้องดำเนินการอย่างควบคู่กันไป
ประการที่สาม การดำเนินการพัฒนา ทางสังคม ต้องเป็นแบบบูรณาการที่ต้องการการสร้างความรู้ความเข้าใจทั้งทางด้านการศึกษา วัฒนธรรม ครอบครัว ชุมชน ความมั่นคงทางสังคมและวิชาชีพ ล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่พิเศษนี้
ประการที่สี่ การพัฒนาทั้ง 3 จังหวัดภาคใต้ มีลักษณะและเงื่อนไขพิเศษ จะต้องดำเนินการพัฒนาขึ้นเป็นการเฉพาะ เป็นแผนพิเศษ โดยมีการสานต่อและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการประชุมในครั้งนี้คาดว่าประโยชน์ที่จะได้รับก็คือ ศาสนิกชนทุกศาสนาจะได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการน้อมรับพระราชกระแสใส่เกล้าฯ และรวมพลังความสามัคคีแสดงน้ำใจต่อราษฎรใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และร่วมประกอบคุณงามความดีตามหลักศาสนา ช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เพื่อทดแทนคุณแผ่นดินและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาภาคใต้โดยใช้กิจกรรมทางศาสนาที่หลากหลาย เพื่อนำสันติสุขมา สู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้สร้าง ประโยชน์ต่อส่วนร่วมและประเทศชาติบนพื้นฐานของความรัก ความผูกพันและวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยเฉพาะต่อการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาค ใต้ ด้วยสันติวิธี
จากพระราชกระแสดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและความไม่สบายพระทัย พร้อมทั้งทรงวิงวอนขอร้องให้ทุกฝ่ายได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันยุติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ดังนั้น กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมจึงได้จัด“การประชุมเสวนาสร้างสัมพันธ์และสันติสุขใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ น้อมรับพระราชกระแส เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล 72 พรรษา มหาราชินี” ขึ้น เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 47 ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยโดยมี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเสวนา พร้อมด้วยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา และผู้นำองค์กรศาสนา เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมกำหนดกรอบแนวความคิดที่จะส่งเสริมให้ศาสนิกชนของทุกศาสนานำหลักธรรมของแต่ละศาสนาที่สอดคล้องกับพระราชกระแส สร้างความสมานฉันท์ในหมู่พี่น้องประชาชนชาวไทย ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข มีความสมานฉันท์ พึ่งพาอาศัยและเอื้ออาทร ซึ่งกันและกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ให้ศาสนิกชนทุกศาสนารวมพลัง ความสามัคคีน้อมรับพระราชกระแสไปปฏิบัติตามมิติทางศาสนา เพื่อทดแทน คุณแผ่นดิน 2.เพื่อให้ศาสนิกชนทุกศาสนาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักธรรมในศาสนาของตนที่สอดคล้องกับพระราชกระแสดังกล่าว โดยให้นำหลักธรรมทางศาสนาของตนไปปฏิบัติให้เกิดผลต่อสังคมโดยรวม 3.ให้ศาสนิกชน ทุกศาสนาได้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยใช้กิจกรรมทางศาสนาที่หลากหลายนำสันติสุขมาสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4.ให้ศาสนิกชนทุกศาสนา ได้สร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติบนพื้นฐานของความรัก ความผูกพัน และวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยเฉพาะต่อการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กล่าวปาฐกถาน้อมรับพระราชกระแสนำสู่การปฏิบัติในมิติศาสนาว่า จากพระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณว่าทรงห่วงใยในพสกนิกร ทรงไม่ละทิ้งพสกนิกรของพระองค์ ไม่ทรงอยากจะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ในภาคใต้เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย โดยทรงมีพระราชประสงค์จะให้คนไทยช่วยเหลือเพื่อนคนไทยด้วยกัน วันนี้คนไทยทั้งประเทศจะต้องร่วมกันสร้างสรรค์บ้านเมืองให้รุ่งเรืองและสงบสุข น้อมรับพระราชกระแสรับสั่งดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม โดยขอให้ทุกท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า จะพร้อมใจรวมพลังความสามัคคีในความเป็นคนไทยให้ปรากฏ เพื่อนำความสงบสุขมาสู่ 3 จังหวัดชาย แดนภาคใต้ เชื่อว่าการดำเนินงานในครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จได้ โดยอาศัยความจงรักภักดีที่ศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า มีต่อพระองค์ และปัจจัยที่เป็นทุนทางสังคมที่เป็นเสมือนจุดแข็งของประเทศ กล่าวคือ เรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น อัครศาสนูปถัมภก ทรงให้การอุปถัมภ์ทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งทุกศาสนาต่างระลึกได้ถึงพระมหากรุณาธิคุณนี้ ทุกศาสนาล้วนมีจุดมุ่งหมายให้ศาสนิกชนเป็นคนดี ละเว้นความชั่ว การเป็นคนดี คือการดำรงอยู่อย่างสันติสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ด้าน พระธรรมกิตติวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม กล่าวเสวนาเป็นรูปแรกว่า สำหรับพระพุทธศาสนานั้น แน่นอนเป็นศาสนาหลักของประเทศมีผู้นับถือมาก และในขณะเดียวกันก็เป็นศาสนาที่มุ่งสันติภาพมุ่งสันติสุข พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนธรรมะทุกเรื่องทุกประการ มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับเรื่องสันติ ความสงบสุข สันติแบ่งออกเป็น 2 ประการด้วยกัน คือ ประการแรกสันติภายนอก ประการที่สองสันติภายใน
โดยสันติภายนอกก็เป็นความสงบสุขที่เราเรียกกันว่าอยู่เย็นเป็นสุข เป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ชัด ส่วนสันติภายในก็คือความสงบสุขภายในนั้นเป็นหลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา การสร้างสันติในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำลังมีปัญหาอยู่นี้ ถ้าได้อาศัยหลักธรรมในศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาก็จะสามารถสร้างสันติได้แบบยั่งยืนหรือถาวร
ส่วนคนที่นับถือศาสนาพุทธมีทั้งดีและไม่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าศาสนานั้นสอนให้ทะเลาะกัน สอนให้ฆ่ากัน หรือว่าสอนให้ทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าได้นำเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ถูกต้องหรือไม่ ทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทยจะต้องร่วมมือกัน รู้รักสามัคคี เพื่อให้เกิดความสันติสุขและความสงบสุขให้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้
ส่วน ดร.บุญรัตน์ บัวเย็น ประธานสภาคริสตจักรในประเทศไทย กล่าวเป็นคนต่อมาว่า พระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงต้องการความรัก ที่ไม่ใช่ด้วยคำพูด และด้วยอารมณ์ แต่หมายถึงความรักที่เป็นรูปธรรม คือรักและแบ่งปัน ซึ่งการแบ่งปันดังกล่าวไม่จำกัดอยู่เพียงการหยิบยื่นสิ่งของให้ แต่หมายถึงให้หัวใจ ให้วิญญาณของเราร่วมในชะตากรรมของพี่น้องของเรา และนี่คือความหมายของ“ความรักด้วยใจจริง” เป็นความรักของผู้มีคุณธรรม
พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สอดคล้องกับคำสอนของทุกศาสนา สมกับที่ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา พระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ตรัสว่า“ขอให้ท่าน แสดงความรัก ความห่วงใยต่อราษฎรภาคใต้ ที่ถูกรังแกเอาชีวิตอย่างน่าสงสารที่สุด ขอช่วยกันคิด ช่วยกันสะสาง ยุติเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ได้บอกให้วิ่งไปถืออาวุธลงไปช่วย แต่ให้แสดงพลังทางใจ” และเมื่อทุกคนเข้าถึงปัญหาได้ด้วยพลัง เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราโดยเฉพาะชาวคริสต์ที่มีองค์กรสำหรับช่วยเหลือชุมชนมากมาย ก็พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในทางวัตถุ เพื่อฟื้นฟูสภาพสังคมและความเป็นอยู่ของพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้
คนไทยทุกคนที่ศึกษาและน้อมรับพระราชดำรัส และโครงการตามพระราชดำริจะพบว่า แท้จริงแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานคำตอบและแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆ ไว้แล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ขาดการตอบสนองอย่างถูกต้องถูกทางจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายองค์การศาสนา และฝ่ายเอกชน ดูแค่พระราชดำรัส เรื่อง“การรู้รักสามัคคี” ข้อความสั้นๆนี้คือคำตอบที่พระราชทานให้กับคนไทยในการสร้างสังคมไทยให้น่าอยู่ ให้ร่มเย็นเป็นสุข
ผศ.นิรันดร์ พันทรกิจ ผู้อำนวยการสำนักจุฬาราชมนตรี แสดงความคิดเห็นเป็นคนสุดท้ายว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ดำเนินมาตามลำดับจนนำไปสู่การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านโดยทั่วไปเป็นจำนวนมาก สำนักจุฬาราชมนตรีเห็นว่า การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาใดๆ จะนำไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติ และจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด อันเป็นการขยายผลความรุนแรง ซึ่งจะนำความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ สำนักจุฬาราชมนตรีได้เฝ้าติดตามมาโดยตลอด ในส่วนของผู้หลงผิดโดยการอ้างหลักคำสอนของศาสนาเพื่อนำไปสู่การทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น เป็นการกระทำที่ผิดเจตนารมณ์ของศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน ตลอดจนการหลงผิดที่นำบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอาน มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อันมิชอบนั้นถือเป็นข้อห้ามสำคัญในศาสนาอิสลาม ทางท่านจุฬาราชมนตรีได้มีการเรียกประชุมคณะทำงาน เพื่อที่จะสนองพระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อย่างที่มีพระราชกระแสรับสั่งที่ว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เป็นปัญหาของประเทศ ชาติที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน แก้ไข”
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ และเป็นศาสนาที่ให้ความเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ยอมรับในความแตกต่างและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม
หลังเสร็จจากการประชุมเสวนา ทุกศาสนาได้มีมติร่วมกันดังนี้
ประการแรก พฤติกรรมการเข่นฆ่า ทำลายชีวิตมนุษย์หาใช่เป็นผู้มีศาสนา สมควรได้รับการประณาม ความเข้าใจของคนในสังคมเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน การสร้างความเข้าใจดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยใช้มิติทางสังคมและศาสนา การเคารพเชื่อถือให้เกียรติความเป็นมนุษย์ร่วมกัน
ประการที่สอง สังคมที่ขาดสันติใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสังคม ที่อ่อนแอลง ควรใช้ยุทธศาสตร์ด้านสังคม ความรักความเข้าใจ เป็นยุทธศาสตร์หลัก โดยไม่ละเลยยุทธศาสตร์อื่น ซึ่งต้องดำเนินการอย่างควบคู่กันไป
ประการที่สาม การดำเนินการพัฒนา ทางสังคม ต้องเป็นแบบบูรณาการที่ต้องการการสร้างความรู้ความเข้าใจทั้งทางด้านการศึกษา วัฒนธรรม ครอบครัว ชุมชน ความมั่นคงทางสังคมและวิชาชีพ ล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่พิเศษนี้
ประการที่สี่ การพัฒนาทั้ง 3 จังหวัดภาคใต้ มีลักษณะและเงื่อนไขพิเศษ จะต้องดำเนินการพัฒนาขึ้นเป็นการเฉพาะ เป็นแผนพิเศษ โดยมีการสานต่อและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการประชุมในครั้งนี้คาดว่าประโยชน์ที่จะได้รับก็คือ ศาสนิกชนทุกศาสนาจะได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการน้อมรับพระราชกระแสใส่เกล้าฯ และรวมพลังความสามัคคีแสดงน้ำใจต่อราษฎรใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และร่วมประกอบคุณงามความดีตามหลักศาสนา ช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เพื่อทดแทนคุณแผ่นดินและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาภาคใต้โดยใช้กิจกรรมทางศาสนาที่หลากหลาย เพื่อนำสันติสุขมา สู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้สร้าง ประโยชน์ต่อส่วนร่วมและประเทศชาติบนพื้นฐานของความรัก ความผูกพันและวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยเฉพาะต่อการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาค ใต้ ด้วยสันติวิธี