xs
xsm
sm
md
lg

บทความพิเศษ : ความจงรักภักดี คือพลังสามัคคีที่ชาติต้องการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ถึงพระราชกรณียกิจและทุกข์สุขของราษฎร ที่ได้ทรงรับทราบด้วยพระองค์เอง ระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมที่ผ่านมา ความตอนหนึ่งว่า
“...ข้าพเจ้าได้รับรู้รับทราบมา ท่านคงพอจะทราบดีอยู่คือความไม่สงบในภาคใต้ที่ข้าพเจ้าได้ไปอยู่ แต่คราวนี้ต้องอยู่ ๒ เดือนเพราะเป็นห่วงประชาชนอย่างมาก และยิ่งไปพบเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทางภาคใต้ว่าขณะนี้กำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม คนไทยผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน จนถึงวันนี้ก็ยังฆ่ากันอยู่ ข้าพเจ้าได้ลงไปดูในพื้นที่นราธิวาส ก็มีความสามัคคีปรองดอง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันและกัน ทุกคนบอกว่าเป็นคนไทยไม่อยากย้ายไปอยู่ที่ใหม่ แม้จะมีปัญหาเกิดขึ้นเช่นทุกวันนี้ก็พยายามจะทำมาหากินให้ได้ ความปลอดภัยในชีวิตไม่มีแม้แต่น้อย....
...นับเป็นปีที่ ๓๐ แล้วที่ข้าพเจ้าได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปเยี่ยมประชาชนชาวภาคใต้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เอง นำภาพถ่ายแผนที่ ภาพถ่ายทางอากาศ ศึกษาที่ตั้งของหมู่บ้านที่อยู่ในถิ่นแดนไกล ตรวจสอบสภาพภูมิประเทศและพระราชทานโครงการต่างๆ จำนวนมากเพื่อพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ เป็นเพราะว่าประชาชนขาดแคลนที่ทำกิน ที่ดินที่นี่เปรี้ยวมาก ทรงปรับปรุงดินให้คืนกลับมาสามารถปลูกข้าวได้ นอกจากนี้ยังศึกษาการใช้พื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นพื้นที่ทำกินได้ ทรงพบว่าภาคใต้มีพื้นที่พรุขนาดใหญ่ของประเทศ จึงมีพระราชดำรัสขอพรุมาพัฒนาจัดสรรให้ประชาชนได้ทำกิน โดยมีการระบายน้ำออกจากพรุบางส่วน มีการแก้พื้นที่พรุมาปลูกพืชเศรษฐกิจ ปลูกข้าวได้เพิ่มมากขึ้น ทรงตั้งศูนย์ศึกษาพิกุลทอง เพื่อให้ประชาชนเข้าฝึกอบรมด้านการเกษตรอย่างถูกต้องทางวิชาการ และให้มีการปฏิบัติจนชำนาญ และนำไปขยายผลปฏิบัติที่บ้านเพื่อให้พอจะช่วยเหลือตนเองได้ ทรงมีโครงการมากมาย ช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ จัดให้มีการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง เพื่อให้มีการบำบัดน้ำเสียจากบ่อเลี้ยงกุ้งก่อนระบายน้ำลงสู่แหล่งธรรมชาติ จัดระบบชลประทาน แยกระบายน้ำเสียออกจากกัน ซึ่งสามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มาจากการเลี้ยงกุ้งได้และแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าดูแลด้านอาชีพให้แม่บ้าน เพื่อให้มีอาชีพเสริมมีรายได้มาดูแลครอบครัวได้ ดูเรื่องการศึกษาของเด็กๆ ราษฎรที่มามีทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม มีอัธยาศัยไมตรี มีความกลมเกลียวกันดี และมีฝีมือด้านการจักสาน สามารถสานย่านลิเภาได้งดงาม แกะสลักไม้ ทอผ้า และปักผ้าด้วยเส้นไหม ซึ่งการปักผ้าด้วยเส้นไหมของคนไทยมีฝีมือมาก สามารถอวดชาวต่างประเทศได้ เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจที่ในตอนกลางวันเขาก็ออกไปทำประมงกลางทะเล พอตกกลางคืนก็มาปักผ้า ฝีมือสวยงามมาก ข้าพเจ้าไม่เคยเจอผ้าปักอะไรที่สวยงามอย่างนี้มาก่อนนอกจากที่ประเทศจีน...
...คิดว่าท่านเป็นคนไทย เป็นเจ้าของประเทศ และครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบอาจารย์แบน ทางภาคอีสาน ท่านก็กระซิบบอกว่า ขอให้ทุกคนนึกถึงพระคุณของแผ่นดิน ได้ทดแทนพระคุณของแผ่นดิน ข้าพเจ้าเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ต้องคอยปกป้อง พยุงคนไทย ข้าพเจ้าได้ไปภาคใต้มา ๒ เดือนเต็ม ได้เห็นอะไรหลายอย่าง รู้สึกว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป เป็นที่น่าเสียดายที่คนไทยมุสลิมเคยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ตอนนี้กำลังประสบภัยคุกคามอย่างหนัก ไทยของเราทุกคนมีอิสระเสรีในการเลือกนับถือศาสนา ไม่เคยโดนบังคับ ไม่เคยมีที่ศาสนานี้พวกเธอนับถือไม่ได้ เมื่อเสด็จฯต่างประเทศทุกครั้งไม่ว่าจะเสด็จฯไปรับรางวัล ไปเยือนต่างประเทศ ทุกคนชื่นชมที่ไทยเป็นประเทศให้อิสระ มีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาโดยไม่มีการรังแกแกล้งฆ่ากันแบบนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศาสนูปถัมภก ทรงสนับสนุนปกป้องทุกศาสนา อย่างกรุงเทพมหานครจะเห็นได้ว่ามีวัด โบสถ์คริสต์ โบสถ์พราหมณ์ ทุกอย่างอยู่ใกล้กัน ก็ไม่มีสักครั้งที่พุทธวิ่งฆ่าคริสต์ หรือคริสต์ไล่ฆ่าอิสลาม ซึ่งเป็นชื่อเสียงของประเทศ ผู้คนเวลาพบกันถึงแม้จะต่างศาสนาก็ยิ้มแย้มให้กัน.....
...เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมที่บ้านตันหยงลิมอ ชาวบ้านโดยมากเป็นผู้หญิงบอก ท่านมาก็ดีแล้ววันนี้ เพราะว่าเราอยากจะฟังจากปากท่านคำเดียวเท่านั้นว่า เรามีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่หรือไม่ หรือท่านจะให้เราไปให้พ้น ข้าพเจ้าบอกว่า อยู่สิ อยู่ เพราะต้นไม้ ต้นยางต้นผลไม้โตหมดแล้ว เราควรอยู่และค่อยๆช่วยกันคิดอ่าน ราษฎรเหล่านั้นก็บอกว่า เขาอยู่ที่นี่กันมาตั้งแต่ ครั้งปู่ย่าตายาย อาศัยทำกินอยู่ที่นี่มานับ ๑๐๐ ปีแล้ว พวกเราจะต้องออกไปจากที่นี่ จะไปไหนกัน พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมจะยอมให้ใครมาไล่ออกนอกพื้นที่ ราษฎรเหล่านั้นขอข้าพเจ้าว่า ขอให้ช่วยพูดกับคณะรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ขอร้องว่าอย่าถอนทหารออกจาก ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะว่าถ้าทหารยังอยู่ ชีวิตของเขาก็ยังอยู่ ถ้าถอนทหารออกเขาคงตาย...
...ข้าพเจ้ามาอยู่ ๒ เดือนแล้วก็คิดทบทวนว่า เอ..เราจะปล่อยให้เหตุการณ์ฆ่ากันรายวันเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไปเช่นนี้หรือ เป็นถึงพระราชินี แล้วอายุ ๗๒ แล้ว ไปเห็นเหตุการณ์ต่างๆ กลับมาก็นิ่งอมพะนำ ไม่รู้จักพูดไม่รู้จักจาช่วยเหลือคนไทยที่อาภัพเหล่านี้ ก็เลยคิดว่าอย่าเลย พูดให้คนไทย พูดให้ท่านฟังว่าสมควรหรือที่จะปล่อยให้ใครอยากฆ่าใครก็ได้ ฆ่าแล้วก็แล้วไปไม่เห็นถูกจับ คือรู้สึกว่ากฎหมายของประเทศ ไทยมีอยู่ แต่ใช้ไม่ได้ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่น่ากลัวเหลือเกิน เพราะว่าพูดถึงสิทธิมนุษยชน ข้าพเจ้าว่าคนไทยทั้งหลายมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่และมีสิทธิ์จะทำมาหากินโดยสุจริต แต่ถ้าเขาจะทำมาหากินไม่ได้ กรีดยางก็ไม่ได้ เก็บผลไม้ที่เขาปลูกเอาไปขายก็ไม่ได้ แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร และข้าพเจ้าซึ่งไปนั่งอยู่กับเขามา ๒ เดือน กลับมาก็นั่งอมพะนำปิดปาก ไม่พูดอะไรเลย ด้วยความเกรงกลัวว่าเดี๋ยวจะเสียอย่างโน้นเสียอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็คิดว่าชีวิตมนุษย์สำคัญที่สุด เราจงใจที่จะช่วยชีวิตมนุษย์ ไม่ได้จงใจจะเบียดเบียนใครเลย ช่วยชีวิตมนุษย์ให้รอด และคนเหล่านี้เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำร้ายใคร ก็ขอให้เขาได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข...
...แม้มีโจรแบ่งแยกดินแดนเขาก็ไม่เคยแตะ ไม่เคยถูกรังแก เขาจะสู้กับตำรวจ ทหาร ไม่เคยรังแกชาวบ้านที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ การฆ่าก็ไม่ปกติ เป็นการกระทำโหดร้ายทารุณ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าเป็นการกระทำของชาวไทยมุสลิมที่ข้าพเจ้าเคยพบและรู้จักมานานกว่า ๓๐ ปี ไม่ใช่เขา เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้าจะวิงวอนขอร้องให้ทำอย่างไร จะไม่ขอพูดรายละเอียด บางครั้งคิดไม่ถึง แต่ขอให้ท่านแสดงความรัก ความห่วงใยต่อราษฎรภาคใต้ ที่ถูกรังแกเอาชีวิตอย่างน่าสงสารที่สุด ข้าพเจ้าก็คิดถึงท่านทั้งหลาย ผู้แทนข้าราชการ องค์กรอิสระ สมาคม นิสิต นักศึกษา ไทยอาสา สื่อมวลชน คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา ช่วยกันคิดอ่านหาทางยุติการฆ่ารายวัน ซึ่งตอนข้าพเจ้าอยู่อย่างมากก็ฆ่าวันละ ๒ คน พอข้าพเจ้ากลับมา บางวันก็ฆ่าวันละ ๘ คน ท่านทั้งหลายน่าจะช่วยกัน ช่วยรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช่วยกันคิด ช่วยกันสะสางยุติเหตุการณ์ฆ่าอย่างนี้ ไม่ได้บอกให้วิ่งไปถืออาวุธลงไปช่วย แต่แสดงพลังทางใจ พร้อมใจกันแสดงความไม่พอใจต่อผู้ก่อเหตุ ราษฎรไทยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ไม่ใช่มอบ โมะ ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลฝ่ายเดียว... ตั้งแต่ ๔ มกราคมที่แล้วมาจนบัดนี้ เสียชีวิตกว่า ๓๐๐ คน เป็นคนบริสุทธิ์ตายทุกวัน ข้าพเจ้าหมดสติปัญญา ก็ต้องขอร้องนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล...
...ขอร้องให้พวกท่านช่วยเพื่อนคนไทยด้วย เพราะพวกเขาทำมาหากินโดยสุจริต แต่ตอนนี้ทำมาหากินไม่ได้ จะอพยพก็ไม่รู้จะอพยพอย่างไร แล้วคนไทยสามแสนคนจะไปอยู่ไหนกันบ้าง ครั้นจะปล่อยให้ถูกฆ่าตายกันตามถนนก็ไม่ได้ จึงขอร้องให้คนไทยที่มี หน้าที่ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ก็ควรช่วยคนไทยสามแสนคนให้เขามีทางทำมาหากินขึ้น พวกเขามีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ตามสิทธิมนุษยชน พวกเขาไม่ได้ทำบาปทำกรรม พวกเขาควรมีสิทธิ์ที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข...”
จากพระราชเสาวนีย์ ทำให้ทราบว่าความคิดในการแก้ไขปัญหาในปัตตานี ยะลา นราธิวาส ของนักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน คอลัมน์นิสต์ ที่นำเสนอนายกรัฐมนตรีก็ดี หรือข้อเขียนวิจารณ์ผ่านสื่อสารมวลชนก็ดี ส่วนใหญ่ไม่สามารถจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบได้เลย กลับนำมาซึ่งการสูญเสียกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง
ในสถานการณ์ที่กดดันและเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตของตนเองและผู้อื่น การทำงานของเจ้าหน้าที่ย่อมมีสิทธิ์เกิดความผิดพลาดได้เสมอ แม้จะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็ตาม กรณีมัสยิดกรือแซะ ปัตตานี และกรณีตากใบ นราธิวาส การเรียกร้องให้สอบสวนเอาความผิดจากเจ้าหน้าที่ของคนที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยว ข้อง ทำให้เกิดความคิดว่าคนพวกนี้กำลังทำงานเพื่อ ประโยชน์ของใคร? ไม่แปลกใจเลยที่คนในพื้นที่เรียกร้องให้คนเหล่านี้ไปอยู่ในพื้นที่เช่นเดียวกับเขา
การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้คณะกรรมการกลางอิสลามบริหารการศึกษาโรงเรียนปอเนาะในรูปแบบของโรงเรียนในสังกัดคณะเซนต์คาเบรียล อันจะทำให้นักเรียนที่จบการศึกษาได้มีความรู้ในมาตรฐานเดียวกับนักเรียนทั่วไป รัฐต้องขอความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจ จากคณะกรรมการกลางอิสลามที่มีท่านจุฬาราชมนตรีเป็นประธาน ให้ดำเนินการถ่ายทอดความคิดรูปแบบการนับถือศาสนาอิสลามของคนกรุงเทพมหานคร ที่สามารถดำเนินชีวิตตามวิถีทางที่กำหนดในพระคัมภีร์ ได้อย่างกลมกลืนกับเพื่อนร่วมชาติไทยที่ต่างศาสนา ตลอดถึงส่งเสริมคุณธรรมความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เกิด ขึ้นในจิตใจพี่น้องอิสลามในท้องถิ่นทั้ง ๓ จังหวัดด้วย
รัฐบาลต้องเรียกร้องพลังสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ ด้วยการเน้นคุณธรรมความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งรัฐบาลสามารถกระทำได้ด้วยการนำเสนอพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลา ๕๘ ปี อันจะกระตุ้นสำนึกแห่งความกตัญญูกตเวทีให้เกิดขึ้นในจิตใจของคนไทยทั้งหลาย แล้วนำไปสู่การแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์
ในพระพุทธศาสนา ความจงรักภักดีจัดว่าเป็นคุณธรรมที่ตรงกับกัลยาณธรรมข้อที่ ๔ คือความมีสัตย์ อันหมายถึงการประพฤติตนเป็นคนตรง ด้วยอาการ ๔ อย่างคือ ๑. เป็นผู้มีความเที่ยงธรรม คือมีความประพฤติเป็นธรรมในกิจการอันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตน ๒. เป็นผู้มีความซื่อตรง คือมีความประพฤติตรงต่อบุคคลผู้เป็นมิตร ๓. เป็นผู้มีความสวามิภักดิ์ คือมีความรักเคารพในเจ้าของตน ๔. เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที คือมีความรับรู้ถึงบุญคุณที่บุรพการีได้ทำไว้แก่ตน และมีจิตใจมุ่งหวังจะทดแทนบุญคุณท่าน
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ข้าราชการแสดงออกถึงความจงรักภักดีด้วยการดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ที่ผ่านการอ่านโองการแช่งน้ำแล้ว เพื่อประกาศตนเป็นข้าแผ่นดินในพระมหากษัตริย์ และตั้งใจประพฤติปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความเที่ยงธรรม ซื่อตรง และกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ ทำให้การบริหารงานของรัฐสามารถดำเนินไปด้วยความราบรื่นและเป็นธรรม ด้วยทุกคนล้วนทำหน้าที่เพื่อชาติและพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดี ประชาราษฎร์ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างทั่วถึง และเต็มใจให้ความร่วมมือกับทางราชการ ด้วยความจงรักภักดีเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ทำลายคุณธรรมความจงรักภักดีไปจากจิตใจของข้าราชการส่วนใหญ่ การแสวงหาผลประโยชน์ในวงราชการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ นำไปสู่ปัญหาราษฎรไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล ถูกข้าราชการข่มเหง ปัญหาทางสังคมจึงเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ในกาลต่อมา กว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์ได้ ประเทศชาติต้องประสบกับความสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนข้าราชการทหารตำรวจไปไม่ใช่น้อย
กรณีความไม่สงบในปัตตานี ยะลา นราธิวาส เบื้องต้นอาจมีสาเหตุมาจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากทางราชการจริง แต่ขณะนี้คิดว่ามูลเหตุแห่งการก่อความไม่สงบน่าจะเป็นการมุ่งผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า การที่รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลไปในภาคใต้ โดยเฉพาะปัตตานี ยะลา นราธิวาส รัฐบาลเอาใจมากถึงกับตั้งธนาคารอิสลามให้ ให้งบประมาณสนับสนุนการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจจ์ที่เมกกะ และโครงการประชานิยมเพื่อคนอิสลามอีกมากมาย นี้เป็นสาเหตุหนึ่งหรือไม่ที่ทำให้ เกิดความแตกแยกในชุมชนที่ต่างศาสนากัน ความสงบสุขในชุมชนที่เคยมีก็ถูกทำลายไป ความไม่ไว้วางใจกันของคนในชุมชน ทำให้กลุ่มก่อการร้ายใช้เป็นประโยชน์ในการสร้างสถานการณ์อันรุนแรงได้เป็นอย่างดี น่าสลดสังเวชใจต่อผู้ที่เสียชีวิตไปใน การก่อการร้ายที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งไทยพุทธและไทยอิสลาม
การยุติปัญหาความไม่สงบในปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องเร่งดำเนินการโดยด่วน อย่านำเรื่องศาสนามาเป็นผลประโยชน์ทางการเมือง และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏในพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑๗ พ.ย.๒๕๔๗ ที่ได้พระราชทานแก่ทหารตำรวจที่เข้าเฝ้ารับพระราชทานยศชั้นนายพล ณ วัง ไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ความตอนหนึ่งว่า
“...แต่ก่อนดูเหมือนว่ามีความไม่เรียบร้อยในประเทศชาติ คือมีความไม่สงบ แต่มาตอนหลังดูมีมากขึ้น ในรูปการณ์อย่างอื่น อย่างเช่นที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้พูดเมื่อวานนี้(วันที่ ๑๖ พ.ย.) ที่มาบอกว่ามีความไม่เรียบร้อยในพื้นที่ที่เสด็จฯ ซึ่งไม่ควรจะมี ถ้าฝ่ายทหารและตำรวจได้ร่วมกันจัดการดูแลความเรียบร้อยนั้น จะทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขได้มาก เหตุการณ์ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ทรงเห็นด้วยองค์เองนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น...”
ดังนั้น ขอให้พวกเราทุกคนจงแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยพร้อม เพรียงกัน ความร่วมมือจากคนในพื้นที่ที่ต่างศาสนา กันจะหวนกลับมาอีกครั้งด้วยความจงรักภักดีนี้ โอกาสในการก่อการร้ายก็จะสิ้นสุดลง ความสมานไมตรีระหว่างคนในชาติ จะนำสันติสุขให้เกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้
วันที่ประชาชนชาวไทยได้ประสบสันติสุขทุกภูมิ ภาค จะเป็นวันที่คนไทยได้รู้ว่า ความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็คือความรู้รักสามัคคีนั่นเอง ความจงรักภักดีจึงเป็นพลังสามัคคีที่ประเทศไทยต้องการเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น