xs
xsm
sm
md
lg

ทางแห่งความดี : ความชั่วยิ่งทำยิ่งมาก ความดียิ่งทำยิ่งหมด ที่สุดของคนดีคือเป็นพระอรหันต์ แต่ที่สุดของคนชั่วไม่มี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่องที่ 45 สังสารวัฏของคนพาล ตอนที่ 3/6

ในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า คนมีอายุ 2 หมื่นปี เมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเสด็จถึงเมืองพาราณสี คนเป็นอันมากชักชวนกันทำบุญ แต่มีบุตรเศรษฐี 4 คนชักชวนกันทำบาป คือเที่ยวประพฤติผิดกาเมสุมิจฉาจาร เห็นใครสวยก็เอาทรัพย์เข้าล่อ ไม่เลือกว่าเป็นบุตรีใคร หรือภรรยาของใคร พวกเขา 4 คนทำกรรมอย่างนั้นอยู่ตลอดอายุ เมื่อสิ้นชีพแล้ว ไปเกิดในอเวจีมหานรก ไหม้อยู่ในอเวจีพุทธันดรหนึ่ง ทำกาลกิริยา (ตาย) ในอเวจีมหานรกนั้น สัตว์นรกตนแรกต้องการกล่าวว่า "ทุชชีวิตมชีวมฺหา" เป็นอาทิ ความว่า "เราทั้งหลาย เมื่อยังมีโภคทรัพย์อยู่ ไม่ได้ให้ทาน มิได้ทำที่พึ่งแก่ตน พวกเราจัดว่ามีชีวิตอยู่อย่างชั่วช้า" แต่ไม่สามารถกล่าวได้ทั้งหมด กล่าวแต่เพียงคำว่า ทุอักษรเดียวแล้วจมหายลงไปอีก
สัตว์นรกตนที่สองประสงค์จะกล่าวว่า "เมื่อเราทั้งหลายถูกไฟไหม้่อยู่ในนรกถึง 6 หมื่นปีบริบูรณ์ (สฎฐิวสฺสสหสฺสานิ) เมื่อไรจักสิ้นสุด" แต่ไม่อาจกล่าวให้จบได้ กล่าวได้แต่เพียงคำว่า ส.เท่านั้นแล้วจมลงไป
สัตว์นรกตนที่สามประสงค์จะกล่าวว่า "สหายทั้งหลาย! ที่สุดย่อมไม่มี (นตฺถิ อนฺโต) ที่สุดจักมีได้อย่างไร ที่สุดจักไม่ปรากฏ เพราะว่ากรรมชั่ว พวกเราได้ร่วมกันทำไว้แล้วในกาลนั้น" แต่ไม่อาจกล่าวให้จบได้ กล่าวได้แต่เพียงอักษรเดียวคือ น.แล้วจมลงไป
สัตว์นรกตนที่สี่ประสงค์จะกล่าวว่า "เรานั้น (โสหํ) ขึ้นจากนรกแล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักเป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักษาศีล และพยายามทำแต่กุศลกรรมให้มาก" แต่ไม่อาจกล่าวให้จบได้ กล่าวได้เพียงอักษรเดียวคือ โส.แล้วจมลงไป
พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงสังเวชสลดพระทัยอย่างใหญ่หลวง ทรงรำพึงว่า "ปรทาริกกรรมนี้หนักจริงหนอ เราเองก็ทำความเสน่หาในภรรยาของชายอื่น ไม่ได้หลับตลอดคืน ตั้งแต่วันนี้ไปจักไม่สนใจในภรรยาของคนอื่นอีกแล้ว" ดังนี้แล้ว กราบทูลพระศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ข้าพระองค์เพิ่งทราบความที่ราตรีเป็นของนานเมื่อคืนนี้เอง"
ขณะนั้นบุรุษผู้หลบหนีราชภัย, สามีของหญิงซึ่งพระราชาหลงรักนั่งอยู่ที่นั้นด้วย เขาคิดว่า "บัดนี้เราได้ปัจจัยอันมีกำลังแล้ว" เขาหมายถึงพระพุทธเจ้าซึ่งสามารถเป็นที่พึ่งอย่างดีแก่เขา จึงกราบทูลขึ้นบ้างว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! พระราชาทรงทราบความที่ราตรีเป็นของนาน เมื่อคืนนี้ แต่ข้าพระองค์ได้ทราบความที่โยชน์เป็นทางไกลตั้งแต่เมื่อวานนี้เอง"
พระศาสดาทรงเทียบเคียงคำของคนทั้งสองแล้ว ทรงเข้าพระทัยในความหมายและเรื่องราวทั้งปวงแล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า
"ฑีฆา ชาครโต รตฺติ" เป็นอาทิ มีนัยดังพรรณนามาแล้วแต่ต้น
ในกาลจบเทศนา บุรุษนั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล
พระเจ้าปเสนทิเสด็จกลับ รับสั่งให้ปลดปล่อยมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายที่ให้จับมาเพื่อบูชายัญ คนทั้งหลายทราบเรื่องแล้วกล่าวสรรเสริญพระนางมัลลิกาเป็นอันมากและให้พรกันเซ็งแซ่ว่า
"เราทั้งหลายได้ชีวิตกลับคืนมา เพราะอาศัยพระเทวีพระองค์ใด ขอพระเทวีพระองค์นั้น คือพระนางมัลลิกา เจ้าแม่เหนือหัวของเราทั้งหลายจงมีพระชนม์ยืนนาน" เป็นต้น
ตกตอนเย็นวันนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า "น่าสรรเสริญจริงหนอ พระนางมัลลิกาฉลาดจริง ทรงอาศัยพระปัญญาของพระองค์ได้ช่วยชีวิตของคน และสัตว์เป็นอันมากไว้ได้"
พระศาสดาเสด็จมา ทรงทราบเรื่องที่ภิกษุทั้งหลายสนทนากันแล้วตรัสว่า พระนางมัลลิกามิได้เพียงให้ชีวิตทานในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนก็เคยทรงกระทำมาแล้ว เพื่อจะประกาศความนั้น พระศาสดาได้ทรงนำเรื่องอดีตมาเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังดังจะเสนอต่อในวันจันทร์หน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น