ตอนที่ 040
นิโรธควรทำให้แจ้ง
3. นิโรธควรทำให้แจ้ง กิจต่อนิโรธคือการทำให้แจ้งหรือสัจฉิกิริยา มีประเด็นที่สำคัญ 2 ประการคือ (1) นิโรธที่จะต้องทำให้แจ้งนั้นคืออะไร (คือนิพพาน) และ (2) การทำนิโรธให้แจ้งนั้นทำอย่างไร (ละสมุทัยด้วยการรู้ทุกข์)
3.1 นิโรธคืออะไร นิโรธหรือความดับมีหลายประเภท เช่น การข่มนิวรณ์ไว้ด้วยสมถกรรมฐานก็ถือเป็นนิโรธระดับหนึ่ง การดับกิเลส ด้วยธรรมอันเป็นคู่ปรับกันในขั้นการเจริญวิปัสสนาก็เป็นนิโรธอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น แต่นิโรธในที่นี้หมายถึงความดับตัณหาหรือนิพพาน เป็น ธรรมที่พ้นจากความปรุงแต่งคือไม่ใช่รูปนาม (อสังขตธรรม/วิสังขารธรรม) หรือธรรมที่ดับตัณหา (วิราคธรรม) หากกล่าวโดยองค์ธรรม นิโรธมีองค์ธรรมอันเดียว คือนิพพานซึ่งมีสันติลักษณะคือสงบจากกิเลสและสงบจากทุกข์ (รูปนาม) โดยนัยนี้ผู้ใดเห็นว่านิพพานยังมีรูปนาม (เช่นเห็นนิพพานเป็นบ้านเมือง หรือเป็นพระพุทธรูป) ผู้นั้นยังไม่เห็นแจ้งนิพพานตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่อาจจะเป็น "นิพพานพรหม" ซึ่งเกิดจากการทำสมถะและยังไม่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เรื่อยไป
มีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ บางท่านคิดว่า นิพพานคือ ความว่างหรือความไม่มีอะไรเลย เพราะมีพุทธพจน์รองรับว่า "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง" แล้วเที่ยวแสวงหาความว่าง นี่ก็เป็นความเห็นสุดโต่ง อีกด้านหนึ่งที่ตรงข้ามกับพวกแรกซึ่งคิดว่านิพพานยังมีรูปนามอยู่
แท้จริงเราแสวงหานิพพานจากความว่างตรงๆไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการหลงเพ่งช่องว่างบ้าง หรือเพ่งความไม่มีอะไรบ้าง หรือหลงเตลิดอยู่ในโลกของความคิดว่าสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนบ้าง หนทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ได้แก่การเจริญอริยมรรค ด้วยการรู้ทุกข์คือรู้รูปนามจนดับสมุทัยได้ นิพพานซึ่งเป็นความสิ้นตัณหาก็จะปรากฏให้ประจักษ์ได้เอง
3.2 การทำนิโรธให้แจ้ง ก่อนอื่นควรสลัดความเห็นผิดที่ว่านิพพานคือ "อะไรอย่างหนึ่งที่ลึกลับ อยู่ไกลๆ และต้องปฏิบัติไปอีกนานๆ จึงจะแจ่มแจ้งในนิพพานได้"
ลองปรับความรู้สึกใหม่ว่า นิพพานคือ "ความสิ้นตัณหา" ถ้าคิดได้อย่างนี้แล้วก็ตั้งใจเรียนรู้ความจริงของรูปนามต่อไปเพื่อละตัณหาให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่อย่าได้มีตัณหาที่จะละตัณหา แล้วลงมือปรุงแต่งการปฏิบัติที่วุ่นวาย อันเป็นการออกนอกกรอบของการรู้ทุกข์หรือการตามรู้รูปนาม/กายใจก็แล้วกัน
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า
มรรคควรทำให้เจริญ)
นิโรธควรทำให้แจ้ง
3. นิโรธควรทำให้แจ้ง กิจต่อนิโรธคือการทำให้แจ้งหรือสัจฉิกิริยา มีประเด็นที่สำคัญ 2 ประการคือ (1) นิโรธที่จะต้องทำให้แจ้งนั้นคืออะไร (คือนิพพาน) และ (2) การทำนิโรธให้แจ้งนั้นทำอย่างไร (ละสมุทัยด้วยการรู้ทุกข์)
3.1 นิโรธคืออะไร นิโรธหรือความดับมีหลายประเภท เช่น การข่มนิวรณ์ไว้ด้วยสมถกรรมฐานก็ถือเป็นนิโรธระดับหนึ่ง การดับกิเลส ด้วยธรรมอันเป็นคู่ปรับกันในขั้นการเจริญวิปัสสนาก็เป็นนิโรธอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น แต่นิโรธในที่นี้หมายถึงความดับตัณหาหรือนิพพาน เป็น ธรรมที่พ้นจากความปรุงแต่งคือไม่ใช่รูปนาม (อสังขตธรรม/วิสังขารธรรม) หรือธรรมที่ดับตัณหา (วิราคธรรม) หากกล่าวโดยองค์ธรรม นิโรธมีองค์ธรรมอันเดียว คือนิพพานซึ่งมีสันติลักษณะคือสงบจากกิเลสและสงบจากทุกข์ (รูปนาม) โดยนัยนี้ผู้ใดเห็นว่านิพพานยังมีรูปนาม (เช่นเห็นนิพพานเป็นบ้านเมือง หรือเป็นพระพุทธรูป) ผู้นั้นยังไม่เห็นแจ้งนิพพานตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่อาจจะเป็น "นิพพานพรหม" ซึ่งเกิดจากการทำสมถะและยังไม่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เรื่อยไป
มีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ บางท่านคิดว่า นิพพานคือ ความว่างหรือความไม่มีอะไรเลย เพราะมีพุทธพจน์รองรับว่า "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง" แล้วเที่ยวแสวงหาความว่าง นี่ก็เป็นความเห็นสุดโต่ง อีกด้านหนึ่งที่ตรงข้ามกับพวกแรกซึ่งคิดว่านิพพานยังมีรูปนามอยู่
แท้จริงเราแสวงหานิพพานจากความว่างตรงๆไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการหลงเพ่งช่องว่างบ้าง หรือเพ่งความไม่มีอะไรบ้าง หรือหลงเตลิดอยู่ในโลกของความคิดว่าสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนบ้าง หนทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ได้แก่การเจริญอริยมรรค ด้วยการรู้ทุกข์คือรู้รูปนามจนดับสมุทัยได้ นิพพานซึ่งเป็นความสิ้นตัณหาก็จะปรากฏให้ประจักษ์ได้เอง
3.2 การทำนิโรธให้แจ้ง ก่อนอื่นควรสลัดความเห็นผิดที่ว่านิพพานคือ "อะไรอย่างหนึ่งที่ลึกลับ อยู่ไกลๆ และต้องปฏิบัติไปอีกนานๆ จึงจะแจ่มแจ้งในนิพพานได้"
ลองปรับความรู้สึกใหม่ว่า นิพพานคือ "ความสิ้นตัณหา" ถ้าคิดได้อย่างนี้แล้วก็ตั้งใจเรียนรู้ความจริงของรูปนามต่อไปเพื่อละตัณหาให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่อย่าได้มีตัณหาที่จะละตัณหา แล้วลงมือปรุงแต่งการปฏิบัติที่วุ่นวาย อันเป็นการออกนอกกรอบของการรู้ทุกข์หรือการตามรู้รูปนาม/กายใจก็แล้วกัน
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า
มรรคควรทำให้เจริญ)