เรื่องที่ 84
เหตุเกิดที่.....ประตูที่ 6
เคยมีคนตัดพ้อกับผมว่า "ทำไมโลกนี้จึงไม่สร้างแต่ความสุข ทำไมต้องสร้างความทุกข์ขึ้นมาควบคู่กันด้วย และดูเหมือนจะเป็นการจงใจให้ทุกข์มีมากกว่าสุข โลกจึงวุ่นวายเช่นนี้"
ผมฟังแล้วให้รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมากกับเพื่อนคนนี้ เพราะเขาคงต้องรู้สึกทุกข์เป็นอย่างมากกับสภาวการณ์ที่เป็นไปจึงเกิดข้อสรุปนี้ขึ้นในใจพร้อมกับต่อว่าโลก ทั้งๆ ที่โลกไม่ได้เป็นผู้สร้าง "สุขหรือทุกข์"
วันนั้นผมได้แต่ให้คำตอบเพื่อนคนนั้นไปสั้นๆ ว่า "ใจของเราต่างหากที่เป็นผู้สร้างความสุขและทุกข์จากความรู้สึก" พร้อมกับบอกเคล็ดลับไปว่า
"พยายามจับความรู้สึกให้ทัน เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกไม่สบายใจเกิดขึ้นพยายามปิดสวิตช์ความรู้สึกนั้น เหมือนกับที่ความรู้สบายใจเข้ามา ก็ต้องพยายามปิดสวิตช์ความรู้สึกนั้นเช่นกัน ไม่เช่นนั่นเราจะหลงติดได้"
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อนคนนี้จะเปลี่ยนความคิดที่โทษโลกแล้วหรือยัง แต่ผมยังคงได้ยินคำถามคล้ายๆ กันนี้บ่อยๆ จากทุกๆ ที่ที่ผมเข้าไปข้องแวะ
แต่เดี๋ยวนี้ผมยิ่งมีคำตอบสำหรับคำถามคล้ายๆ กันเช่นนี้ สั้นขึ้นไปอีกคือ "เจริญสติ"
พระอาจารย์มานพ อุปสโม ได้แนะนำว่า การเจริญสติคือหนทางที่จะทำให้เรารู้เท่าทันความรู้สึกของเราได้ดีที่สุด หากเราหมั่นเจริญสติให้อยู่กับ ตา หู จมูก ลิ้นและกาย ก็จะทำให้สติสัมปชัญญะว่องไว เข้าไปทันความรู้สึกที่เกิดที่ใจได้ ทำให้ใจเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหว อยู่กับปัจจุบันได้ง่ายขึ้น"
เพราะตัวที่ทำให้เรารู้สึกไปต่างๆ นานาคือ "ใจ" ครับ
พระอาจารย์มานพบอกว่า ประตูทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย สัมผัสได้เฉพาะปัจจุบันธรรมเท่านั้น พีเพียงประตูที่ 6 คือใจ ที่มักจะหวนหาอดีต ที่ประตูทั้ง 5 ได้ผ่านไปแล้ว หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เมื่อลืมตาก็จะพบเฉพาะปัจจุบัน ดับแล้วก็ดับเลย
"หากไม่มีใจ ก็ไม่มีสุขและทุกข์ ธรรมทั้งหลายเกิดและดับอยู่ที่ใจ"
พระอาจารย์มานพเน้นอยู่เสมอว่า ให้เราหมั่นสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและดับไป ภายในใจฝึกให้เรื่อยๆ เป็นการสะสมสติสัมปชัญญะในทุกๆ ขณะที่ระลึกได้ แต่อย่าบังคับให้เพียงตามสังเกต ตามดู ตามรู้เฉยๆ เป็นธรรมชาติ ธรรมดา เหตุผลแรกสุดที่คนส่วนใหญ่เข้าวัดเพราะรู้สึกทุกข์จากใจไม่สงบ จะมีสักกี่คนที่เข้าวัดเพราะรู้สึกสุข จะมีก็แต่ต้องการทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง หรือบิดามารดา ญาติมิตรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด
จึงเข้าวัดเพื่อหาความรู้สึกสุข ซึ่งก็คือความสงบในจิตใจ
เช่นกันที่คนส่วนใหญ่เมื่อเข้าวัดแล้ว สงบเพียงชั่วครู่เมื่อตอนพระให้ศีลให้พรเท่านั้น พอเดินออกจากวัด ใจยังคงไม่สงบเหมือนเดิม
ทำไมไม่สงบ???
พระอาจารย์มานพบอกว่า สงบเป็นความรู้สึกดีๆ ทำให้ใจมีความสุข ไม่ต้องการใจที่ไม่สงบ ใจที่วุ่นวายเพราะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี ใจที่เข้าไปเกี่ยวกับอดีตและอนาคต ทำให้ใจวุ่นวาย ทั้งๆ ที่ตาเห็นแต่ปัจจุบัน หูได้ยินแต่ปัจจุบัน ลิ้นสัมผัสแต่ปัจจุบัน แต่ใจยุ่งเพราะชอบเก็บเอาเรื่องเก่าๆ ที่ตาเคยรู้ หูได้ยินแล้วไปเก็บเอามา
ลองสำรวจความรู้สึกของตัวเองดูครับว่า ทำไมใจเราถึงไม่สงบ
คนที่ใจไม่สงบส่วนใหญ่มี 2 สาเหตุครับ คือ มัวแต่โหยหาอาลัยอาวรณ์เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาแล้ว หรือไม่ก็มัวแต่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง นั่นคืออนาคต
ไม่เช่นนั้น หมอดูทำนายดวงชะตาชีวิต จะกลายเป็นอาชีพที่เฟื่องฟูหรือครับ
คนที่ไปหาหมอดูส่วนใหญ่เป็นทุกข์ ที่เกิดจากความกังวลว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
แม่ส่วนใหญ่ไปหาหมอดู เพราะมีความกังวลว่าลูกโตมาจะเป็นอย่างไร
หญิงสาวไปดูเพราะกังวลว่าในอนาคต ชายคนนี้จะดีจริงกับตนเหมือนในปัจจุบันหรือไม่
ยิ่งหมอดูบอกอดีตของตัวเองได้ตรงมากเท่าไหร่ ยิ่งมั่นใจในอนาคตที่หมอดูทำนาย ทั้งๆ ที่จริงแล้วหากเราทำวันนี้ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เราจะไม่รู้สึกกังวลไปถึงอนาคต
ลองอยู่กับปัจจุบัน จับใจให้อยู่กับสิ่งที่ทำอยู่ ณ ขณะนั้น แค่นี้ใจก็เป็นสุขแล้วครับ
เหตุเกิดที่.....ประตูที่ 6
เคยมีคนตัดพ้อกับผมว่า "ทำไมโลกนี้จึงไม่สร้างแต่ความสุข ทำไมต้องสร้างความทุกข์ขึ้นมาควบคู่กันด้วย และดูเหมือนจะเป็นการจงใจให้ทุกข์มีมากกว่าสุข โลกจึงวุ่นวายเช่นนี้"
ผมฟังแล้วให้รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมากกับเพื่อนคนนี้ เพราะเขาคงต้องรู้สึกทุกข์เป็นอย่างมากกับสภาวการณ์ที่เป็นไปจึงเกิดข้อสรุปนี้ขึ้นในใจพร้อมกับต่อว่าโลก ทั้งๆ ที่โลกไม่ได้เป็นผู้สร้าง "สุขหรือทุกข์"
วันนั้นผมได้แต่ให้คำตอบเพื่อนคนนั้นไปสั้นๆ ว่า "ใจของเราต่างหากที่เป็นผู้สร้างความสุขและทุกข์จากความรู้สึก" พร้อมกับบอกเคล็ดลับไปว่า
"พยายามจับความรู้สึกให้ทัน เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกไม่สบายใจเกิดขึ้นพยายามปิดสวิตช์ความรู้สึกนั้น เหมือนกับที่ความรู้สบายใจเข้ามา ก็ต้องพยายามปิดสวิตช์ความรู้สึกนั้นเช่นกัน ไม่เช่นนั่นเราจะหลงติดได้"
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อนคนนี้จะเปลี่ยนความคิดที่โทษโลกแล้วหรือยัง แต่ผมยังคงได้ยินคำถามคล้ายๆ กันนี้บ่อยๆ จากทุกๆ ที่ที่ผมเข้าไปข้องแวะ
แต่เดี๋ยวนี้ผมยิ่งมีคำตอบสำหรับคำถามคล้ายๆ กันเช่นนี้ สั้นขึ้นไปอีกคือ "เจริญสติ"
พระอาจารย์มานพ อุปสโม ได้แนะนำว่า การเจริญสติคือหนทางที่จะทำให้เรารู้เท่าทันความรู้สึกของเราได้ดีที่สุด หากเราหมั่นเจริญสติให้อยู่กับ ตา หู จมูก ลิ้นและกาย ก็จะทำให้สติสัมปชัญญะว่องไว เข้าไปทันความรู้สึกที่เกิดที่ใจได้ ทำให้ใจเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหว อยู่กับปัจจุบันได้ง่ายขึ้น"
เพราะตัวที่ทำให้เรารู้สึกไปต่างๆ นานาคือ "ใจ" ครับ
พระอาจารย์มานพบอกว่า ประตูทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย สัมผัสได้เฉพาะปัจจุบันธรรมเท่านั้น พีเพียงประตูที่ 6 คือใจ ที่มักจะหวนหาอดีต ที่ประตูทั้ง 5 ได้ผ่านไปแล้ว หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เมื่อลืมตาก็จะพบเฉพาะปัจจุบัน ดับแล้วก็ดับเลย
"หากไม่มีใจ ก็ไม่มีสุขและทุกข์ ธรรมทั้งหลายเกิดและดับอยู่ที่ใจ"
พระอาจารย์มานพเน้นอยู่เสมอว่า ให้เราหมั่นสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและดับไป ภายในใจฝึกให้เรื่อยๆ เป็นการสะสมสติสัมปชัญญะในทุกๆ ขณะที่ระลึกได้ แต่อย่าบังคับให้เพียงตามสังเกต ตามดู ตามรู้เฉยๆ เป็นธรรมชาติ ธรรมดา เหตุผลแรกสุดที่คนส่วนใหญ่เข้าวัดเพราะรู้สึกทุกข์จากใจไม่สงบ จะมีสักกี่คนที่เข้าวัดเพราะรู้สึกสุข จะมีก็แต่ต้องการทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง หรือบิดามารดา ญาติมิตรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด
จึงเข้าวัดเพื่อหาความรู้สึกสุข ซึ่งก็คือความสงบในจิตใจ
เช่นกันที่คนส่วนใหญ่เมื่อเข้าวัดแล้ว สงบเพียงชั่วครู่เมื่อตอนพระให้ศีลให้พรเท่านั้น พอเดินออกจากวัด ใจยังคงไม่สงบเหมือนเดิม
ทำไมไม่สงบ???
พระอาจารย์มานพบอกว่า สงบเป็นความรู้สึกดีๆ ทำให้ใจมีความสุข ไม่ต้องการใจที่ไม่สงบ ใจที่วุ่นวายเพราะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี ใจที่เข้าไปเกี่ยวกับอดีตและอนาคต ทำให้ใจวุ่นวาย ทั้งๆ ที่ตาเห็นแต่ปัจจุบัน หูได้ยินแต่ปัจจุบัน ลิ้นสัมผัสแต่ปัจจุบัน แต่ใจยุ่งเพราะชอบเก็บเอาเรื่องเก่าๆ ที่ตาเคยรู้ หูได้ยินแล้วไปเก็บเอามา
ลองสำรวจความรู้สึกของตัวเองดูครับว่า ทำไมใจเราถึงไม่สงบ
คนที่ใจไม่สงบส่วนใหญ่มี 2 สาเหตุครับ คือ มัวแต่โหยหาอาลัยอาวรณ์เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาแล้ว หรือไม่ก็มัวแต่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง นั่นคืออนาคต
ไม่เช่นนั้น หมอดูทำนายดวงชะตาชีวิต จะกลายเป็นอาชีพที่เฟื่องฟูหรือครับ
คนที่ไปหาหมอดูส่วนใหญ่เป็นทุกข์ ที่เกิดจากความกังวลว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
แม่ส่วนใหญ่ไปหาหมอดู เพราะมีความกังวลว่าลูกโตมาจะเป็นอย่างไร
หญิงสาวไปดูเพราะกังวลว่าในอนาคต ชายคนนี้จะดีจริงกับตนเหมือนในปัจจุบันหรือไม่
ยิ่งหมอดูบอกอดีตของตัวเองได้ตรงมากเท่าไหร่ ยิ่งมั่นใจในอนาคตที่หมอดูทำนาย ทั้งๆ ที่จริงแล้วหากเราทำวันนี้ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เราจะไม่รู้สึกกังวลไปถึงอนาคต
ลองอยู่กับปัจจุบัน จับใจให้อยู่กับสิ่งที่ทำอยู่ ณ ขณะนั้น แค่นี้ใจก็เป็นสุขแล้วครับ