xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องจากพระไตรปิฎก : โลกร้ายดับได้ด้วยธรรมอันน่าอัศจรรย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๗ โลกได้จารึกโศกนาฏกรรมที่น่าสลดใจอีกครา เมื่อรัฐบาลรัสเซียตัดสินใจใช้กำลังทหารบุกจู่โจมช่วยตัวประกัน ซึ่งเป็นนักเรียน ครู ผู้ปกครอง โรงเรียนหมายเลข ๑ เมืองเบสลัน สาธารณรัฐนอร์ธออสเซเทีย ทางตอนใต้ของสหพันธรัฐรัสเซีย จากกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เชื่อว่ามีเครือข่ายเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกบฏพยายามแบ่งแยกดินแดนในสาธารณรัฐเชชเนีย และกลุ่มก่อเหตุวุ่นวายโจมตีเจ้าหน้า ที่รัฐบาลในสาธารณรัฐอินกูเชเตีย เป็นเหตุให้มีตัวประกันเสียชีวิตเกือบ ๕๐๐ คน และบาดเจ็บอีกกว่า ๑,๐๐๐ คน เชื่อกันว่าคนกลุ่มนี้เป็นมุสลิมหัวรุนแรงชาว เชเชน ที่ผ่านการศึกษามาจากตะวันออกกลาง ได้รับการ อบรมคำสอนศาสนาอิสลามที่ผิดเพี้ยนไปจากจุดมุ่งหมาย เดิมของศาสดานบีมูฮัมมัด และมีความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๔ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จนมีผู้เสียชีวิตไป ร่วม ๓,๐๐๐ คน หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายครั้งนี้ เป็นคนบาปในศาสนาอิสลาม เพราะศาสดานบีมูฮัมมัดไม่ได้สอนให้ใช้ชีวิตของผู้บริสุทธิ์เช่นเด็กๆ มาเป็นเครื่องมือใน การปกป้องรักษาศาสนาอิสลามเลย
คนไทยมุสลิมที่ผ่านการอบรมหลักคำสอนในศาสนา อิสลามจากตะวันออกกลาง สถานศึกษาเดียวกับกลุ่มก่อ การร้ายชาวมุสลิมทั่วโลก ยังคงปฏิบัติการก่อวินาศกรรม ผลาญชีวิตผู้บริสุทธิ์ ทั้งไทยพุทธและอิสลามในเขต ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่เกือบทุกวัน ทางราชการคงไม่ สามารถสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นนี้ได้ ถ้าคนมุสลิมในท้องถิ่นยังให้ความอุปถัมภ์แก่คนร้ายอยู่ ด้วยเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมศาสนาและเป็นลูกหลาน โดยไร้สามัญสำนึกของความเป็นไทยในจิตใจ ผู้ประพฤติตน เช่นนี้ก็ไม่ต่างกับผู้ให้การสนับสนุนการก่อวินาศกรรมเลย ผู้นั้นก็เป็นคนบาปตามที่ศาสดานบีมูฮัมมัดสอนไว้
ความอาฆาตพยาบาทที่บังเกิดขึ้นในจิตใจของมุสลิม คนแรก จะมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ใดก็ตาม คงนำให้เขา แสวงหาแนวร่วมเพื่อทำการแก้แค้นคู่กรณีให้ได้สมใจ วิธีเดียวที่เร็วและสามารถเข้าถึงจิตใจเพื่อนร่วมชาติร่วมศาสนาที่ตกอยู่ในภาวะแห่งความทุกข์ยากเช่นเดียวกับเขา คือการนำหลักคำสอนในศาสนาอิสลามมาเป็นเครื่องมือ เขาศึกษาคำสอนด้วยเจตนานำคำสอนนั้นไปปลุกเร้าจิตใจเพื่อนร่วมศาสนาให้เกิดความรู้สึกร่วมว่า การทำลาย ล้างศัตรูของเขาคือการทำบุญในศาสนา เป็นความเสียสละ อย่างยิ่งใหญ่ที่ศาสดาสรรเสริญ หายนะแห่งมนุษยชาติ ที่ต่างศาสนาจึงเกิดขึ้นแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ความคิดผิด ทำนองคลองธรรมเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติของคนที่เป็นทรราช จะพึงมี ฮิตเลอร์ฆ่าทำลายเผ่าพันธุ์คนยิวจำนวนหลายล้าน คน ก่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ด้วยความคิดเช่นนี้ ชัย ชนะที่สัมพันธมิตรมีต่อฮิตเลอร์ แลกมาด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ ทหาร และทุนทรัพย์ที่ไม่อาจประเมินค่าได้เลย
ความหวังที่จะเอาชนะการก่อการร้ายที่โลกกำลังเผชิญ อยู่ในขณะนี้ ของผู้นำประเทศหลายคน ก็คงต้องลงทุน ด้วยทรัพย์สินและชีวิตของผู้บริสุทธิ์อีกมากมายเช่นกัน
เชื้อโรคแห่งการทำลายล้างชีวิตผู้บริสุทธิ์ โดยหวังผลทางการเมือง ที่แทรกซึมอยู่ในจิตใจผู้ก่อการร้ายทุกกลุ่ม คงถูกบ่มเพาะมาจากการถูกเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงจิตใจจากประเทศมหาอำนาจ ที่กระทำการทุกอย่างเพื่อผล ประโยชน์ของตน โดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม เชื้อโรคชนิด นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่มีการตั้งประเทศอิสราเอลในดินแดน ตะวันออกกลาง ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ พร้อมกับการเกิดขึ้นของกลุ่มก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ ที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเหนือดินแดนที่ถูกปล้นไป ชีวิตชาวปาเลสไตน์ที่พลีชีพไปในการก่อการร้ายก็ไม่น้อย ชีวิตผู้บริสุทธิ์ชาวอิสราเอลก็สูญเสียไปมากเหมือนกัน ความพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางของสหประชาชาติ ไม่ปรากฏผลเป็นสันติภาพและสันติสุข เพราะขาดความจริงใจในการแก้ไขปัญหาจากประเทศที่เกี่ยวข้อง ตราบใดที่สันติวิธีไม่สามารถดำเนินการให้เกิดสันติสุขได้ การก่อการร้ายโดยมุ่งวินาศกรรมในดินแดนที่ถือว่าเป็นศัตรู ก็ยังคงอยู่ตราบนั้น
เพื่อกำจัดเชื้อโรคร้ายชนิดนี้ในประเทศไทย ขอนำอุโบสถสูตร ที่อยู่ในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน โสณเถรวรรคที่ ๕ มาแสดงเพื่อสร้างปัญญาเป็นวัคซีนฆ่าเชื้อโรคร้ายนี้ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย หวังผลให้พี่น้องต่างศาสนาในดินแดน ๓ จังหวัดภาคใต้ของไทย สามารถดำเนินชีวิต อยู่ร่วมกันอย่างมีสันติภาพ สันติสุข และมีเสรีภาพเท่าเทียมกันตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีความภูมิใจในความเป็น คนไทย ที่อาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระสูตร นี้ว่าด้วยธรรมอันน่าอัศจรรย์ ๘ ประการ และพรรณนา ถึงการเข้าร่วมอุโบสถกรรมครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้าด้วย มีความโดยละเอียดดังนี้
สมัยเมื่อพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ บุพพารามปราสาท ที่นางวิสาขาสร้างถวาย ครั้นถึงวันอุโบสถ พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในท่ามกลางสงฆ์เพื่อทำอุโบสถกรรม เมื่อปฐมยามแห่งราตรีสิ้นไปแล้ว พระอานนท์ลุก ขึ้นจากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามสิ้นไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาค เจ้าทรงแสดงปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด”
พระพุทธองค์ทรงรับฟังแล้วทรงนิ่งอยู่ ครั้นราตรี ล่วงมัชฌิมยาม พระอานนท์ก็กราบทูลเชิญอีกครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงนิ่งอยู่ จนราตรีล่วงปัจฉิมยาม อรุณขึ้นแล้ว จวนสว่างแล้ว พระอานนท์จึงกราบทูลเชิญเป็น ครั้งที่ ๓ พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ดูกรอานนท์ บริษัทยังไม่บริสุทธิ์”
พระมหาโมคคัลลานะเมื่อสดับพุทธดำรัสดังนั้น จึงดำริว่าทรงหมายถึงใครหนอ? แล้วท่านกำหนดดูใจของภิกษุสงฆ์ที่มาประชุมอยู่ ณ ที่นั้นด้วยฤทธิ์ของท่าน ท่านพิจารณาเห็นบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ มีการงานปกปิด ไม่เป็น สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ไม่เป็นพรหมจารี แต่ปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี ผู้เน่าใน ผู้อันราคะรั่วรดแล้ว ผู้เป็นดุจหยากเยื่อ นั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ท่านลุก จากอาสนะเข้าไปหาบุคคลนั้น แล้วกล่าวว่า
“จงลุกขึ้นเถิดผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคทรงเห็นท่าน แล้ว ท่านไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย”
บุคคลนั้นก็ยังนิ่งอยู่ พระมหาโมคคัลลานะได้กล่าว กับเขาอีก ๒ ครั้ง ซึ่งเขาก็นิ่งอยู่ ที่สุดพระมหาโมคคัลลานะจึงจับแขนเขา แล้วฉุดออกไปที่ประชุมสงฆ์ ส่งออก ไปจากบุพพาราม พร้อมปิดประตูอารามไว้ แล้วท่านกลับมายังที่ประชุมสงฆ์ กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ให้บุคคลนั้นออก ไปแล้ว บริษัทบริสุทธิ์แล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดง ปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด”
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ดูกรโมคคัลลานะ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว โมฆบุรุษนี้อยู่จนกระทั่งต้องจับแขนฉุดออกไป.. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป เรา จักไม่กระทำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ การที่ตถาคตจะพึง กระทำอุโบสถแสดงปาติโมกข์ ในเมื่อบริษัทไม่บริสุทธิ์นั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส” แล้วทรงแสดงปาติโมกข์ครั้งสุด ท้ายต่อไป
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในมหาสมุทรมีธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ๘ ประการ ที่พวกอสูรเห็นแล้วพา กันยินดีอยู่ในมหาสมุทร ในธรรมวินัยนี้ ก็มีธรรมอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมา ๘ ประการ ที่ภิกษุเห็นแล้วพากันยินดีอยู่ในธรรมวินัยฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมทั้ง ๘ ประการ มีดังนี้
ในธรรมวินัยนี้ มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง เปรียบเหมือนมหาสมุทร ที่ลาดลุ่มลึกไปตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาประการที่ ๑
ประการที่ ๒ สาวกทั้งหลายของเรา ไม่ล่วงสิกขาบท ที่เราบัญญัติแล้ว แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต เปรียบเสมือนมหาสมุทรที่เต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง
ประการที่ ๓ บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วย ราคะ เป็นดุจหยากเยื่อ สงฆ์ไม่ยอมอยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ในท่าม กลางภิกษุสงฆ์ แต่เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่เกลื่อนกล่น ด้วยซากศพ เพราะคลื่นย่อมซัดเอาซากศพในมหาสมุทร เข้าฝั่ง ให้ขึ้นบก
ประการที่ ๔ วรรณะ ๔ จำพวก คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคต ประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม ถึงการนับว่าพระ-สมณศากยบุตรทั้งนั้น เปรียบเหมือนแม่น้ำใหญ่ๆ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิมหมด ถึงการนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง
ประการที่ ๕ แม้ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิ ได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น เปรียบเหมือนแม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมลงในมหาสมุทร และสายฝนก็ตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็ไม่ปรากฏว่าพร่องหรือเต็ม
ประการที่ ๖ ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม
ประการที่ ๗ ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะเหล่านี้คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะเหล่านี้คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม แก้วมรกต
ประการที่ ๘ ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ ซึ่งก็คือ พระโสดาบัน (ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำ ให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล) พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เปรียบเหมือนมหาสมุทรเป็นที่พำนักของสิ่ง มีชีวิตใหญ่ ๆ อันได้แก่ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ แม้จะมีร่างกายใหญ่ประมาณร้อยโยชน์ สองร้อยโยชน์ สามร้อยโยชน์ ฉะนั้น
ในที่สุดแห่งปาติโมกข์ พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานว่า “ฝน คือกิเลส ย่อมรั่วรดสิ่งที่ปกปิด ย่อมไม่รั่วรดสิ่ง ที่เปิด เพราะฉะนั้น พึงเปิดสิ่งที่ปกปิดไว้เสีย ฝน คือกิเลส ย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิดนั้นอย่างนี้”
จากพระสูตรนี้ ทำให้ทราบว่า สังฆกรรมอุโบสถ คือปาติโมกข์ เป็นการแสดงธรรมโดยพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทรงงดร่วมสังฆกรรมอุโบสถแล้ว ภิกษุสงฆ์ผู้จดจำพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ได้ ก็นำมาแสดงต่อที่ประชุมสงฆ์ ต่อมาได้แสดงถึงพระวินัยที่ทรงบัญญัติขึ้น และถือปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อพิจารณาธรรมประการที่ ๑ หวนระลึกถึงพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงศึกษาเรียนรู้และบริหารประเทศให้เกิดการพัฒนาอย่างสอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมไทย จนสามารถสร้างความเจริญทันสมัยเป็นที่ยอมรับของอารยประเทศ สันติสุขใน รัชสมัยนำให้พระองค์ทรงเป็นปิยกษัตริย์ที่ตรึงจิตใจของ คนไทยตลอดมา การเร่งรัดให้บุตรหลานเร่งเรียนอย่างบ้า คลั่งของพ่อแม่ยุคปัจจุบัน ทำให้พัฒนาการทางสังคมของเด็กขาดหายไป จริยธรรมและคุณธรรมไทยที่บุรพชนพร่ำสอนไว้ ได้เลือนจางหายไปจากจิตใจของเยาวชนรุ่นนี้ การรักนวลสงวนตัวในเด็กหญิงตามเมืองใหญ่ ดู เป็นสิ่งไร้สาระไปแล้ว ความรู้ที่ฉาบฉวยไม่ตั้งอยู่บนหลัก ธรรมในศาสนา สร้างปัญหาทางสังคมมากมาย ภูมิความรู้ เช่นนี้แล ที่นำให้เด็กเกิดความหลงเชื่อคำยุยงในคำสอน ทางศาสนาได้อย่างง่ายดาย ที่สุดก็ถูกล้างสมองให้กระทำสิ่งที่ไร้มนุษยธรรม เช่นการก่อวินาศกรรม เป็นต้น ความตายของเยาวชนมุสลิมที่มัสยิดกรือแซะ ปัตตานี คงเป็น ข้อสรุปของการเรียนลัดเช่นนี้ได้เป็นอย่างดี
ด้วยธรรมประการที่ ๒ สอนให้เรารู้จักการประพฤติตนอยู่ในกรอบของกฎหมายบ้านเมือง ความศักดิ์สิทธิ์ ของกฎหมายย่อมขึ้นอยู่กับการยอมรับกฎหมายฉบับนั้น ด้วยความสมัครใจของประชาชน ไม่ใช่บังคับฝืนใจ ถ้าผู้ออกกฎหมายมีจิตใจที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม มุ่งหวังความ สันติสุขในสังคม กฎหมายที่ประกาศใช้ย่อมให้ผลที่เสมอภาคกัน ผู้รักษากฎหมายที่มีใจเป็นธรรม ย่อมทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ยอมรับได้จากสังคม การละเมิดกฎหมายจึงไม่เกิดขึ้นเลย การก่อการร้ายย่อมเป็นผลมาจากกฎหมายที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มหนึ่ง และทำลายประโยชน์ของคนที่อยู่ฝ่ายตรง ข้าม ผู้รักษากฎหมายใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง การไม่ให้ความร่วมมือของชุมชนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ สื่อถึงนัยที่กล่าวมานี้
ด้วยธรรมประการที่ ๓ การกำจัดคนพาล ที่ทำแต่เรื่องสร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคม เป็นหน้าที่ของชุมชนที่ต้องร่วมกันกำจัดให้หมดสิ้นไป เพื่อสันติสุขในชุมชน การปกป้องผู้ก่อการร้ายของชุมชนที่มีความสัมพันธ์กัน แสดงถึงความไม่รับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม เรื่องชาวนากับงูเห่า น่าจะเป็นอุทาหรณ์ที่เด่นชัดในเรื่องนี้
ด้วยธรรมประการที่ ๔ บอกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นคนไทย ฝรั่ง จีน แขก นับถือศาสนาพุทธ อิสลาม คริสต์ ซิกข์ เมื่อประกาศตนเป็นคนไทยแล้ว คุณก็คือ คนไทยที่มีสิทธิและศักดิ์ศรีเสมอกันหมด ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย กล่าวได้ว่า การนับถือศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ภารกิจแห่งความเป็นคนไทยที่ต้องทำความวัฒนาสถาพรของประเทศชาติให้เกิดขึ้น เป็นหน้าที่ของทุกคนที่เป็นคนไทย การก่อการร้ายที่มุ่งฆ่าคนไทย ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธไทยอิสลาม ย่อมบอกได้ว่าคนฆ่านั้นไม่ใช่คนไทย ควรที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องจัดการผู้นั้นตามบทบัญญัติของกฎหมาย และผู้ใดที่ให้การพักพิงแก่ ผู้ประพฤติเช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นคนอกตัญญูต่อมาตุภูมิ ควรที่จะได้รับการลงโทษเช่นกัน
เพียงธรรม ๔ ประการที่ยกมาแสดงนี้ ย่อมบอกถึง แนวทางการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็น อย่างดี
ใครที่กำลังคิดแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและหมู่คณะ จะโดยใช้อำนาจรัฐก็ดี หรือใช้การก่อการร้ายสร้างสถานะวุ่นวายก็ดี ควรที่จะปรับสามัญสำนึกของตน ใหม่ ให้มีความเป็นไทยในสายเลือดเพิ่มมากขึ้น แล้วรีบ ละเลิกพฤติกรรมเช่นนั้นเสีย กลับตัวกลับใจมาสร้าง สรรค์สุขประโยชน์ให้เกิดขึ้นในสังคมที่ตนเองอยู่ดีกว่า และต่อสู้เรียกร้องสิทธิต่างๆ ที่คิดว่าตนและคณะเสียประโยชน์โดยกฎหมายหรือผู้รักษากฎหมาย ด้วยวิถีทาง แห่งการปกครองที่เรียกว่าประชาธิปไตยนี้ แม้จะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ การกระทำบ้าง แต่ผลที่ได้ย่อมสร้างสันติสุข สันติภาพให้เกิดในสังคมได้ตลอดเวลา
เมื่อโลกร้าย ดับได้ด้วยธรรมอันน่าอัศจรรย์นี้ ความสุขในการอยู่ร่วมกันในสังคม ก็จะคงอยู่วัฒนาสถาพรตลอดไป
กำลังโหลดความคิดเห็น