ตอนที่ 034
หลักธรรมสำคัญในภาคปฏิบัติ
7. หลักธรรมสำคัญในภาคปฏิบัติ
เพื่อนนักปฏิบัติหลายท่านปรารภกับผู้เขียนอยู่เสมอว่า ผู้สนใจการปฏิบัติธรรมมักประสบความยุ่งยากในการแสวงหาสำนักปฏิบัติ เพราะสำนักต่างๆมีอยู่มาก ทุกสำนักล้วนมีครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพนับถือ และต่างก็ประกาศจุดยืนว่า สำนักของตนสอนได้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จะทราบได้อย่างไรว่าสำนักใดสอนได้ถูกต้องบ้าง
ผู้เขียนมักตอบว่า ถ้าต้องการทราบว่าผู้ใดสอนได้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้หรือไม่ ก็ต้องศึกษาพระปริยัติธรรม เพราะพระปริยัติธรรมคือแหล่งรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีหลักฐานชัดเจนและได้รับการรักษาสืบทอดกันมาเป็นอย่างดี นับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระธรรมวินัยซึ่งได้รับการเก็บรักษาไว้ในรูปของพระปริยัติธรรมก็คือศาสดาของพวกเราชาวพุทธทั้งปวง
เพื่อนนักปฏิบัติก็ยังปรารภต่อไปว่า พระธรรมวินัยมีอยู่มากกว่าจะศึกษาได้ทั่วถึงก็ต้องใช้เวลาหลายปี บางคนมีเวลาไม่พอ หรือมีกำลังไม่พอที่จะศึกษาได้ เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้เขียนจะสรุปย่อพระปริยัติสัทธรรมที่จำเป็นที่สุดที่ผู้ปฏิบัติควรจะทราบไว้ แล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง
นี้คือที่มาของบทความ 4 เรื่องต่อไปนี้ ได้แก่ (1) หลักธรรมสำคัญในภาคปฏิบัติ (2) แม่บทหลักของการปฏิบัติธรรม (3) การเจริญสติปัฏฐาน และ (4) รูปนามที่จำเป็นต้องรู้จัก
ในการประมวลธรรมทั้ง 4 หัวข้อนี้ ผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา รวมทั้งคำอธิบายธรรม (อภิธรรม) ซึ่งปรากฏในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะและวิสุทธิมรรค เป็นต้น ทั้งนี้ผู้เขียนต้องขอขอบคุณสำนักเรียนพระอภิธรรมหลายแห่ง ซึ่งผู้เขียนได้อาศัยคำบรรยายและตำรับตำราเป็นคู่มือในการศึกษาธรรมเหล่านี้ด้วย
ขอเชิญเพื่อนนักปฏิบัติที่สนใจ อ่านพระปริยัติสัทธรรมที่จำเป็นสำหรับนักปฏิบัติได้แล้ว โดยเริ่มจากเรื่อง หลักธรรมสำคัญในภาคปฏิบัติ ส่วนผู้ที่ไม่สนใจและเกรงความสับสน จะข้ามบทความที่อ่านยากเหล่านี้ไปก่อนก็ได้ เมื่อได้ปฏิบัติจนบังเกิดผลเป็นที่น่าพอใจแล้ว จึงค่อยย้อนมาศึกษาพระปริยัติธรรม เพื่อใช้เป็นเครื่องตรวจสอบผลการปฏิบัติของตนต่อไป
1. แม่บทหลักของการปฏิบัติธรรม
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า "รอยเท้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้เที่ยวไปบนแผ่นดิน รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมถึงการประชุมลงในรอยเท้าช้าง .. แม้ฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมดย่อมถึงการสงเคราะห์ เข้าในอริยสัจจ์สี่ ฉันนั้นเห็นเหมือนกันแล"
(มหาหัตถิปโทปมสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระสุตตันตปิฎกเล่ม 4 พระไตรปิฎกเล่ม 12)
หมายความว่ากุศลธรรมทั้งหลาย จะต้องอยู่ในขอบเขตของหลักธรรมเรื่องอริยสัจจ์ 4 จะออกนอกขอบเขตนี้ไม่ได้เลย แม้การปฏิบัติธรรมอันเป็นการเจริญกุศลธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศีล สมาธิ หรือปัญญา ก็ต้องอยู่ในขอบเขตนี้เช่นกัน
อริยสัจจ์ คือตัวความจริงสูงสุดของพระอริยเจ้า ส่วนการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงความจริงสูงสุดนี้ มีหลักธรรมสำคัญคือ กิจในอริยสัจจ์ ซึ่งหากดำเนินตามกิจในอริยสัจจ์แล้ว ย่อมเข้าถึงอริยสัจจ์หรือเข้าถึงธรรมนั่นเอง ในทางตรงข้ามหากเราปฏิบัติธรรมออกนอกแนวทางของกิจในอริยสัจจ์ เราจะเข้าถึงอริยสัจจ์หรือธรรมไม่ได้เลย หากเปรียบเทียบในทางโลกแล้ว กิจในอริยสัจจ์ก็คือรัฐธรรมนูญซึ่งกฎหมาย อื่นจะขัดแย้งไม่ได้ หมายความว่าแนวทางปฏิบัติใดที่ขัดกับคำสอนเรื่องกิจในอริยสัจจ์ แนวทางนั้นย่อมไม่ใช่แนวทางการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาพ้นทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา
อนึ่งกิจในอริยสัจจ์นี้เป็นหลักธรรมสำคัญยิ่งยวด ถึงขนาดที่พระ พุทธเจ้าทรงออกพระโอษฐ์ว่า จะไม่ทรงปฏิญาณพระองค์เป็นพระ พุทธเจ้า หากไม่ทรงรอบรู้ใน (1) อริยสัจจ์ 4 ประการ (2) กิจในอริยสัจจ์ 4 ประการ และ (3) ได้ทรงดำเนินกิจในอริยสัจจ์ทั้ง 4 ประการเสร็จสิ้นแล้ว ดังที่พระองค์ตรัสว่า "(1670) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริงมีวนรอบ 3 อย่างนี้ มีอาการ 12 ในอริยสัจ 4 เหล่านี้ของเรา ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก ..เพียงนั้น ก็เมื่อใด ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ 3 อย่างนี้ มีอาการ 12 ในอริยสัจ 4 เหล่านี้ของเราบริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก" (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรวรรคที่ 2 ตถาคตสูตรที่ 1 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พระสุตตันตปิฎกเล่ม 11 พระไตรปิฎกเล่ม 19)
กิจในอริยสัจจ์ 4 ประการคือ (1) ทุกข์ควรรู้ (ปริญญากิจ คือควรศึกษาให้เข้าใจชัดตามสภาพความเป็นจริง) (2) สมุทัยควรละ (ปหานกิจ คือกำจัด ทำให้หมดสิ้นไป) (3) นิโรธควรทำให้แจ้ง (สัจฉิกิริยากิจ คือเข้าถึง หรือบรรลุ) และ (4) มรรคควรทำให้เจริญ (ภาวนากิจ คือลงมือปฏิบัติ)
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า/
ขั้นตอนของการปฏิบัติธรรม)
หลักธรรมสำคัญในภาคปฏิบัติ
7. หลักธรรมสำคัญในภาคปฏิบัติ
เพื่อนนักปฏิบัติหลายท่านปรารภกับผู้เขียนอยู่เสมอว่า ผู้สนใจการปฏิบัติธรรมมักประสบความยุ่งยากในการแสวงหาสำนักปฏิบัติ เพราะสำนักต่างๆมีอยู่มาก ทุกสำนักล้วนมีครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพนับถือ และต่างก็ประกาศจุดยืนว่า สำนักของตนสอนได้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จะทราบได้อย่างไรว่าสำนักใดสอนได้ถูกต้องบ้าง
ผู้เขียนมักตอบว่า ถ้าต้องการทราบว่าผู้ใดสอนได้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้หรือไม่ ก็ต้องศึกษาพระปริยัติธรรม เพราะพระปริยัติธรรมคือแหล่งรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีหลักฐานชัดเจนและได้รับการรักษาสืบทอดกันมาเป็นอย่างดี นับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระธรรมวินัยซึ่งได้รับการเก็บรักษาไว้ในรูปของพระปริยัติธรรมก็คือศาสดาของพวกเราชาวพุทธทั้งปวง
เพื่อนนักปฏิบัติก็ยังปรารภต่อไปว่า พระธรรมวินัยมีอยู่มากกว่าจะศึกษาได้ทั่วถึงก็ต้องใช้เวลาหลายปี บางคนมีเวลาไม่พอ หรือมีกำลังไม่พอที่จะศึกษาได้ เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้เขียนจะสรุปย่อพระปริยัติสัทธรรมที่จำเป็นที่สุดที่ผู้ปฏิบัติควรจะทราบไว้ แล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง
นี้คือที่มาของบทความ 4 เรื่องต่อไปนี้ ได้แก่ (1) หลักธรรมสำคัญในภาคปฏิบัติ (2) แม่บทหลักของการปฏิบัติธรรม (3) การเจริญสติปัฏฐาน และ (4) รูปนามที่จำเป็นต้องรู้จัก
ในการประมวลธรรมทั้ง 4 หัวข้อนี้ ผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา รวมทั้งคำอธิบายธรรม (อภิธรรม) ซึ่งปรากฏในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะและวิสุทธิมรรค เป็นต้น ทั้งนี้ผู้เขียนต้องขอขอบคุณสำนักเรียนพระอภิธรรมหลายแห่ง ซึ่งผู้เขียนได้อาศัยคำบรรยายและตำรับตำราเป็นคู่มือในการศึกษาธรรมเหล่านี้ด้วย
ขอเชิญเพื่อนนักปฏิบัติที่สนใจ อ่านพระปริยัติสัทธรรมที่จำเป็นสำหรับนักปฏิบัติได้แล้ว โดยเริ่มจากเรื่อง หลักธรรมสำคัญในภาคปฏิบัติ ส่วนผู้ที่ไม่สนใจและเกรงความสับสน จะข้ามบทความที่อ่านยากเหล่านี้ไปก่อนก็ได้ เมื่อได้ปฏิบัติจนบังเกิดผลเป็นที่น่าพอใจแล้ว จึงค่อยย้อนมาศึกษาพระปริยัติธรรม เพื่อใช้เป็นเครื่องตรวจสอบผลการปฏิบัติของตนต่อไป
1. แม่บทหลักของการปฏิบัติธรรม
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า "รอยเท้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้เที่ยวไปบนแผ่นดิน รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมถึงการประชุมลงในรอยเท้าช้าง .. แม้ฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมดย่อมถึงการสงเคราะห์ เข้าในอริยสัจจ์สี่ ฉันนั้นเห็นเหมือนกันแล"
(มหาหัตถิปโทปมสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระสุตตันตปิฎกเล่ม 4 พระไตรปิฎกเล่ม 12)
หมายความว่ากุศลธรรมทั้งหลาย จะต้องอยู่ในขอบเขตของหลักธรรมเรื่องอริยสัจจ์ 4 จะออกนอกขอบเขตนี้ไม่ได้เลย แม้การปฏิบัติธรรมอันเป็นการเจริญกุศลธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศีล สมาธิ หรือปัญญา ก็ต้องอยู่ในขอบเขตนี้เช่นกัน
อริยสัจจ์ คือตัวความจริงสูงสุดของพระอริยเจ้า ส่วนการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงความจริงสูงสุดนี้ มีหลักธรรมสำคัญคือ กิจในอริยสัจจ์ ซึ่งหากดำเนินตามกิจในอริยสัจจ์แล้ว ย่อมเข้าถึงอริยสัจจ์หรือเข้าถึงธรรมนั่นเอง ในทางตรงข้ามหากเราปฏิบัติธรรมออกนอกแนวทางของกิจในอริยสัจจ์ เราจะเข้าถึงอริยสัจจ์หรือธรรมไม่ได้เลย หากเปรียบเทียบในทางโลกแล้ว กิจในอริยสัจจ์ก็คือรัฐธรรมนูญซึ่งกฎหมาย อื่นจะขัดแย้งไม่ได้ หมายความว่าแนวทางปฏิบัติใดที่ขัดกับคำสอนเรื่องกิจในอริยสัจจ์ แนวทางนั้นย่อมไม่ใช่แนวทางการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาพ้นทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา
อนึ่งกิจในอริยสัจจ์นี้เป็นหลักธรรมสำคัญยิ่งยวด ถึงขนาดที่พระ พุทธเจ้าทรงออกพระโอษฐ์ว่า จะไม่ทรงปฏิญาณพระองค์เป็นพระ พุทธเจ้า หากไม่ทรงรอบรู้ใน (1) อริยสัจจ์ 4 ประการ (2) กิจในอริยสัจจ์ 4 ประการ และ (3) ได้ทรงดำเนินกิจในอริยสัจจ์ทั้ง 4 ประการเสร็จสิ้นแล้ว ดังที่พระองค์ตรัสว่า "(1670) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริงมีวนรอบ 3 อย่างนี้ มีอาการ 12 ในอริยสัจ 4 เหล่านี้ของเรา ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก ..เพียงนั้น ก็เมื่อใด ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ 3 อย่างนี้ มีอาการ 12 ในอริยสัจ 4 เหล่านี้ของเราบริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก" (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรวรรคที่ 2 ตถาคตสูตรที่ 1 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พระสุตตันตปิฎกเล่ม 11 พระไตรปิฎกเล่ม 19)
กิจในอริยสัจจ์ 4 ประการคือ (1) ทุกข์ควรรู้ (ปริญญากิจ คือควรศึกษาให้เข้าใจชัดตามสภาพความเป็นจริง) (2) สมุทัยควรละ (ปหานกิจ คือกำจัด ทำให้หมดสิ้นไป) (3) นิโรธควรทำให้แจ้ง (สัจฉิกิริยากิจ คือเข้าถึง หรือบรรลุ) และ (4) มรรคควรทำให้เจริญ (ภาวนากิจ คือลงมือปฏิบัติ)
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า/
ขั้นตอนของการปฏิบัติธรรม)