xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ให้อภัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทางที่ถูกควร ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ถ้าเป็นเรื่องเล็ก อยู่แล้วก็ไม่ควรเอาเรื่องเสียเลย ปล่อยไปเสีย ทำไม่ รู้ไม่เห็นเสียบ้าง ไม่บอดทำเป็นเหมือนบอด ไม่ใบ้ทำ เหมือนใบ้ ไม่หนวกทำเหมือนหนวกเสียบ้าง จิตใจของเราจะสบายขึ้น
มีเรื่องแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่งในหมู่มนุษย์ คือ คนส่วนมากเผชิญกับเหตุการณ์ใหญ่ๆอย่างกล้าหาญได้ แต่กลับขาดความอดทนต่อสิ่งเล็กๆน้อยๆ ตัวอย่างเช่น ใครมาพูดเสียดสี กระทบกระเทียบเปรียบเปรย เขาทนไม่ได้ แต่กลับทนอยู่ในคุกตาราง ได้เป็น 20-30 ปี และยินดีรับความทุกข์เหล่านั้นไปตลอดเวลาที่ทางราชการกำหนด แม้จะไม่ยินดี ก็เหมือนยินดี เพราะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเขายินดี รับความทุกข์เพียงเล็กน้อยเสียก่อน คืออดทนต่อคำ ด่าว่าเสียดสี หรืออาการทำนองที่เขาคิดว่าเป็นการดู ถูกดูแคลนเพียงเล็กน้อยเสียก่อน ไหนเลยเขาจะต้อง มาทนทุกข์ทรมานอันมากมายยาวนานถึงเพียงนั้น
การให้อภัยเป็นคุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในมนุษย์ คนส่วนมากเมื่อจะทำทานก็มักนึกถึงวัตถุทาน คือการให้วัตถุสิ่งของ ให้ได้มาก เตรียมการมาก ยุ่งมาก เขายินดีทำ แต่ใครมาล่วงเกินอะไรไม่ได้ ไม่มีการให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น ความจริงเขา ควรหัดให้อภัยทานบ้าง แล้วจะเห็นว่า จิตใจสบาย ขึ้น ประณีตขึ้น สูงขึ้น เป็นเทวดา ดังสุภาษิตอังกฤษบทหนึ่งว่า “To err is human,to forgive divine.” แปลว่า การทำผิดเป็นเรื่องของมนุษย์ ส่วนการให้อภัยเป็นเรื่องของเทวดา ถือเอาความว่ามนุษย์ธรรม- ดาย่อมมีการทำผิดพลาดบ้าง ส่วนมนุษย์ที่มีใจสูงย่อมรู้จักให้อภัย ไม่เอาเรื่องกับสิ่งเล็กน้อย หรือแม้ในสายตาของคนอื่นจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับ
ท่านผู้มีใจกรุณา ย่อมเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย
พระพุทธเจ้าที่พวกเรานับถือนั้นมีผู้ปองร้ายพระองค์ถึงกับจะเอาชีวิตก็มี เช่น พระเทวทัตและพวกพยายามปลงพระชนม์หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะพระองค์ไม่ร้ายตอบ ทรงให้อภัย มีคนใส่ร้ายด้วยเรื่องที่ร้ายแรงทำให้เสียเกียรติยศชื่อเสียงก็มี เช่นพวกเดียรถีย์นิครนถ์ นางจิญจมาณวิกา นางสุนทรี เป็นต้น แต่ก็ไม่ทรงทำตอบ ทรงให้อภัย ในที่สุดคน พวกนั้นก็พ่ายแพ้ไปเอง เหมือนเอาไข่ไปตอกกับหิน ไข่แตกไปเอง
พระเยซู ศาสดาของคริสตศาสนาก็ทรงมีชื่อเสียง มากในการให้อภัย ไม่ทรงถือโทษต่อผู้คิดร้ายทำร้าย ต่อพระองค์ ให้อภัยผู้ทำความผิด เปิดโอกาสให้กลับ
ตัว
อีกท่านหนึ่งคือมหาตมะ คานธี ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลกเรื่องอหิงสา ความไม่เบียดเบียน การให้อภัย จนถึงกับอัลเบิร์ต ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้กล่าวสดุดีท่านผู้นี้ไว้ว่า “ต่อไปภายหน้ามนุษย์จะ เชื่อหรือไม่ก็ไม่ทราบ ว่าได้เคยมีคนอย่างนี้ (ท่านมหาตมะ คานธี)เกิดขึ้นแล้วในโลก” ทั้งนี้เพราะคุณวิเศษในตัวท่านนั้นยากที่คนสามัญจะหยั่งให้ถึงได้
รวมความว่ามหาบุรุษที่โลกยกย่องให้เกียรติเคารพบูชานั้น ล้วนเป็นนักให้อภัยทั้งสิ้น ไม่เอาเรื่อง กับสิ่งเล็กๆน้อยๆหรือเรื่องใหญ่ก็ทำเป็นเรื่องเล็กเสีย ท่านเหล่านั้นมุ่งมั่นในอุดมคติ จนไม่มีเวลาจะสนพระทัยหรือสนใจในเรื่องเล็กน้อย แต่ท่านเหล่านี้จะสนใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆอันเกี่ยวกับสุขทุกข์ของผู้อื่นเสมอ ส่วนเรื่องร้ายที่คนอื่นกระทำแก่ท่าน ท่านไม่สนใจ ลองอ่านประวัติของท่านที่เอ่ย พระนามและนามมาแล้วดังกล่าวดูบ้าง จะเห็นว่าท่านน่าเคารพบูชาเพียงใด โลกจึงยอมน้อมเศียรให้แก่ท่าน
มีเรื่องเล่าว่าในวัดพุทธศาสนานิกายเซ็นวัดหนึ่ง มีพระอยู่กันหลายรูป มีพระรูปหนึ่งมีนิสัยทางขโมย ได้ขโมยของเพื่อนพระด้วยกันเสมอๆ จนวันหนึ่งพระทั้งหลายพากันขึ้นไปหาเจ้าอาวาสบอกว่า ถ้าพระรูปนั้นยังอยู่วัดนี้ พวกเขาจะไม่อยู่วัดนี้ ขอให้ไล่ พระรูปนั้นออกไป ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า พวกคุณ นั่นแหละควรจะไปได้แล้วทุกรูป ส่วนพระรูปนั้นควรจะต้องอยู่กับฉันก่อน เพราะยังไม่ดี
นี่คือเรื่องของผู้มีใจกรุณา คนที่เคยทำความผิดอันยิ่งใหญ่นั้น ถ้ากลับใจได้เมื่อใดก็มักทำความดีอันยิ่งใหญ่เหมือนกัน เพราะสลดใจในเวรกรรมที่ตนเคยสร้างไว้ ดูพระเจ้าอโศกมหาราชและขุนโจรอง- คุลิมาลเป็นตัวอย่าง พระองค์เสด็จไปโปรดองคุลิมาล ให้กลับเป็นคนดี ก็ด้วยพระทัยกรุณานั่นเอง แม้พระ-เจ้าอโศกมหาราชก็เหมือนกัน ตามพระประวัติว่า ได้อาศัยพระภิกษุในพุทธศาสนารูปหนึ่ง จึงกลับพระทัย
มาดำเนินชีวิตทางไม่เบียดเบียน ทรงบำเพ็ญอภัยทาน เป็นอันมาก
ถ้าจะเอาเรื่องกับเด็กรับใช้ที่บ้าน ภารโรงที่โรงเรียน หรือสำนักงาน ก็ขอให้หยุดคิดสักนิดหนึ่งว่าก็แกแค่ นั้น จะเอาอะไรกับแกนักหนา ถ้าแกดีเท่าเราหรือเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องอย่างเรา แกจะมาเป็นคนใช้ หรือเป็นภารโรงทำไมกัน ก็เพราะความคิดอ่านแกมีอยู่เท่านั้น แกก็ทำอย่างนั้น อย่างที่เรารำคาญๆอยู่นั่นแหละ คิดได้อย่างนี้ก็ค่อยหายกลุ้มไปหน่อย สุ-ภาษิตที่ว่า “ความเข้าใจเป็นมูลฐานแห่งการให้อภัย” นั้น ยังเป็นความจริงอยู่เสมอ เมื่อเข้าใจแล้วก็ให้อภัย เห็นว่าเขาเป็นคนอย่างนั้นเอง
พระสารีบุตรเคยแสดงแก่ภิกษุทั้งหลายว่าในการคบคนนั้น ควรถือเอาเฉพาะส่วนดีของเขา ส่วนไม่ดีก็ตัดทิ้งไป บางคนการกระทำทางกายไม่ดี แต่วาจาดี บางคนวาจาหยาบแต่การกระทำทางกายดี บาง คนการกระทำทางกายก็หยาบ วาจาก็หยาบ แต่ใจดี ควรถือเอาเฉพาะส่วนที่ดีนั้น ท่านเปรียบว่าเหมือน ดึงผ้าออกมาจากดินโคลนเพื่อจะเอาไปปะต่อใช้สอย เห็นส่วนไหนดีก็ตัดเอาไว้ ส่วนไหนไม่ดีก็ตัดทิ้งไป ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะช่วยให้สบายใจได้มาก
อนึ่งควรคิดว่าคนเราเกิดมาด้วยจิตที่ไม่เหมือนกัน คือพื้นฐานของจิตตอนถือปฏิสนธินั้นไม่เหมือน กัน จึงมีอุปนิสัยแตกต่างกันมาตั้งแต่เยาว์ เมื่อกระทบกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอีกก็ทำให้บุคคลแตกต่างกันไปเป็นอันมาก การอยู่รวมกันของ คนหมู่มากผู้มีอุปนิสัยใจคอพื้นฐานทางใจและการอบรมที่แตกต่างกัน จึงมีปัญหามาก ถ้าเราถือเล็กถือ น้อยไม่รู้จักให้อภัย เราก็จะมีทุกข์มาก บางทีก็เกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัย ผู้ใหญ่อยากจะให้เด็กทำ พูด และคิดอย่างตน ส่วนเด็กก็อยากจะให้ผู้ใหญ่ทำ พูด คิด อย่างตนเหมือนกัน ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วเป็นไปไม่ ได้ ฝ่ายผู้ใหญ่ควรให้อภัยว่าแกเป็นเด็ก ส่วนเด็กก็ควรให้อภัยว่าท่านแก่แล้ว มาเข้าใจกันเสียคือเห็นใจ ซึ่งกันและกัน เมื่อเป็นดังนี้เรื่องเล็กก็ไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทุกฝ่ายอยู่กันด้วยความเห็นใจเข้าใจ มองกันอย่างเป็นมิตร ไม่เป็นศัตรูต่อกัน
นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการผ่อนคลายความทุกข์ใน ชีวิตประจำวัน
กำลังโหลดความคิดเห็น