xs
xsm
sm
md
lg

ทางแห่งความดี : เพราะไม่มีปัญญาจักษุ คนบางพวกจึงไม่รู้คุณของพระพุทธองค์และพระสาวก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่องที่ 44 ดอกบัวในกองหยากเยื่อ

พระพุทธภาษิต
ยถา สงฺการธารสฺมึอุชฺฌิตสฺมึ มหาปเถ
ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถสุจิคนฺธํ มโนรมํ
เอวํ สงฺการภูเตสุอนฺธภูเต ปุถุชฺชเน
อติโรจติ ปญฺญายสมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก

คำแปล
ดอกบัวเกิดในกองหยากเยื่อ อันบุคคลทิ้งไว้ริมทางใหญ่ ยังมีกลิ่นหอม เป็นที่รื่นรมย์ใจ ฉันใด พระสาวกของสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เกิดแล้วในหมู่ปุถุชนผู้มืดบอดอันเป็นประดุจกองหยากเยื่อ ย่อมรุ่งเรืองกว่าปุถุชนเหล่านั้นด้วยปัญญาฉันนั้น

อธิบายความ
ธรรมชาติดอกบัวไม่ว่าเกิดในกองหยากเยื่อหรือเกิดในเปือกตมย่อมส่งกลิ่นหอม เป็นที่รื่นรมย์ใจ หามีกลิ่นเช่นกับเปือกตมหรือกองหยากเยื่อไม่ คงรักษาคุณภาพตามธรรมชาติแห่งตนไว้ เข้าทำนอง

ไม้จันทน์แม้แห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น
หัสดินทร์ก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลา
อ้อยเข้าสู่หีบยนต์ก็ไม่ทิ้งรสหวาน
บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม


สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ฉันนั้น แม้เกิดในหมู่คนพาล อยู่ในหมู่คนพาลก็หาเป็นพาลไปด้วยไม่ มีแต่จะกลับใจคนพาลเหล่านั้นให้เป็นคนดี ไม่ปรับตัวไปในทางเลว สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงรุ่งเรืองด้วยปัญญาอยู่เสมอ

พระศาสดาตรัสพระพุทธภาษิตนี้ ปรารภนายครหทินน์ ขณะประทับอยู่ที่เชตวนาราม เมืองสาวัตถี มีเรื่องย่อดังนี้

เรื่องนายครหทินน์และสิริคุตต์
ในเมืองสาวัตถีมีสหายกัน 2 คน คนหนึ่งชื่อครหทินน์เป็นสาวกของนิครนถ์ หรือพวกมหาวีระ คนหนึ่งชื่อสิริคุตต์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เนื่องจาก 2 สหายรักกันมาก จึงปรารถนาให้เลื่อมใสในฐานะอันควรเลื่อมใสอย่างเดียวกัน วันหนึ่งครหทินน์ ได้รับคำแนะนำจากพวกนิครนถ์ ให้ชักชวนสิริคุตต์ไปเลื่อมใสในพวกตน หากสิริคุตต์ไปเลื่อมใสในพวกตนได้ ลาภสักการะและชื่อเสียงเป็นอันมากก็จะเกิดขึ้น เพราะสิริคุตต์เป็นคนรวย และมีพวกมาก

ครหทินน์ก็ทำตามคำของอาจารย์ ชักชวนสิริคุตต์บ่อยๆ จนสิริคุตต์รู้สึกรำคาญ จึงถามว่า พระผู้เป็นเจ้าของครหทินน์รู้อะไรบ้าง ครหทินน์ตอบว่า "ท่านรู้ทุกอย่างทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน อะไรที่ท่านไม่รู้นั้น ไม่มี ท่านย่อมรู้เหตุที่ควรและไม่ควร ย่อมรู้ว่า เรื่องนี้จักมี เรื่องนี้จักไม่มี"

สิริคุตต์ทำเป็นเชื่อ แล้วให้ครหทินน์นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าของเขามาฉันอาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อต้องการแกล้งพวกนิครนถ์ให้ได้รับความอับอายขายหน้า จึงให้คนขุดหลุมยาวใหญ่ระหว่างตัวเรือน 2 หลัง ให้เอาอุจจาระเหลวใส่ไว้จนเต็มแล้วเรียบไม้พลางตาเอาไว้ มีเชือกสำหรับดึงให้แผ่นกระดานแยกออกให้นิครนถ์ตกลงไปในหลุมคูถโดยง่าย ให้คนปูอาสนะทับไว้ไม่ให้มองเห็นหลุม ให้เตรียมตุ่มใหญ่ๆ ไว้ ผูกปากตุ่มด้วยใบกล้วยบ้าง ผัวเก่าบ้าง ทำตุ่มเปล่าๆ เหล่านั้นให้เปรอะเปื้อนด้วยเม็ดข้าวสวย เนยใส น้ำอ้อย และขนม มองดูเหมือนมีของเหล่านั้นอยู่เต็มตุ่มแล้วให้วางเรียงรายไว้หลังเรือน

วันรุ่งขึ้น ครหทินน์รีบไปยังเรือนของสิริคุตต์แต่เช้าตรู่ เพื่อดูว่าอาหารและสถานที่พร้อมหรือไม่ เมื่อเห็นว่าพร้อมแล้วก็กลับไป ขณะที่ครหทินน์ออก พวกนิคนรถ์ก็มาถึง สิริคุตต์ออกจากเรือนไปต้อนรับ ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วยืนประคองอัญชลีอยู่เบื้องหน้าของนิครนถ์เหล่านั้น พลางคิดว่า

"นัยว่า ท่านทั้งหลายรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งอดีตและอนาคต อุปฐากของพวกท่าน บอกข้าพเจ้าอย่างนี้ ถ้าท่านรู้จริงก็จงอย่าเข้าไปในเรือนของข้าพเจ้า เพราะวันนี้ ข้าวต้มก็ไม่มี ข้าวสวยก็ไม่มี ถ้าพวกท่านไม่รู้ก็จงเข้าไป หากท่านตกลงในหลุมคูถแล้ว จะให้ตีซ้ำ"

พวกนิครนถ์ไม่รู้ความคิดซึ่งอยู่ในใจของสิริคุตต์ จึงเข้าไปในเรือน เมื่อจะนั่งพวกบริวารของสิริคุตต์กล่าวว่า "เมื่อพระคุณเจ้าเข้ามาสู่เรือนของพวกข้าพเจ้า ควรรู้ธรรมเนียมเสียก่อนแล้วจึงนั่ง คือ ท่านทั้งหลายควรยืนอยู่ก่อน-ยืนอยู่ใกล้อาสนะของตนๆ เมื่อทุกท่านพร้อมแล้ว จึงค่อยนั่งพร้อมกัน"

พวกนิครนถ์นึกชมเชยอยู่ในใจว่่าธรรมเนียมนี้ดี จึงประกาศให้รู้ทั่วกันว่า จะต้องนั่งพร้อมกัน เมื่อพวกนิครนถ์พร้อมเพรียงกันนั่งเท่านั้น พวกมนุษย์ได้ดึงเครื่องลาดออก ดึงเชือกให้นิครนถ์พวกนั้นตกลงไปในหลุมอุจจาระ แล้วปิดประตูตีพวกที่ตะเกียกตะกายขึ้นมา เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้วก็เปิดประตูปล่อยไป

นิครนถ์พวกนั้นไปยังเรือนของครหทินน์ๆ เห็นดังนั้นโกรธมาก รีบไปเฝ้าพระราชา ฟ้องว่า สิริคุตต์ทำกับนิครนถ์อันเป็นที่เคารพนับถือของตนๆ ดังนี้ๆ ขอให้พระราชาลงโทษสิริคุตต์โดยปรับเป็นเงินสักพันกหาปณะ

พระราชาทรงส่งหมายไปยังสิริคุตตๆ ทูลเล่าเรื่องทั้งปวงตามเป็นจริง โดยย้ำว่าอยากจะทดลองว่าพวกนิครนถ์รู้สิ่งทั้งปวง ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันจริงดั่งคำของครหทินน์หรือไม่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นผลของความโอ้อวดในสิ่งอันตนไม่รู้จริง

พระราชาตรัสกับครหทินน์ว่า "เจ้ายินดีคบพวกนิครนถ์ ซึ่งไม่รู้แม้เพียงเท่านี้ แต่โอ้อวดว่าตนรู้ ยังสอนสาวกให้โอ้อวดเสียอีก เจ้าเองนั่นแแหละจะต้องถูกปรับหนึ่งพันกหาปณะ"

ครหทินน์โกรธสิริคุตต์มาก หาอุบายแก้แค้นสิริคุตต์บ้าง โดยหลอกล่อภิกษุสงฆ์เข้าสู่สกุลของตน จึงพูดดีกับสิริคุตต์แล้วถามว่า "พระศาสดาของท่านรู้อะไรบ้าง?"

สิริคุตต์ตอบว่า "พระศาสดานั้นได้รับการยกย่องว่า ทรงเป็นสัพพัญญูรอบรู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระองค์ไม่รู้นั้น ไม่มีพระองค์ทรงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ย่อมกำหนดรู้จิตของสัตว์ทั้งหลายได้ไม่มีกำหนด ไม่มีขอบเขต" ครหทินน์จึงขอให้ทูลนิมนต์พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน 500 มาเสวยภัตตาหารที่เรือนของตนในวันรุ่งขึ้น"

พระศาสดาทรงส่งพระญาณไปสำรวจดู ทรงทราบเหตุทั้งปวงแล้วทรงรับ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของครหทินน์และมหาชนเป็นอันมาก

ฝ่ายครหทินน์ให้ขุดหลุมใหญ่ในระหว่างเรือน 2 หลังให้นำไม้ตะเคียนมาประมาณ 80 เล่มเกวียนสุมไฟไว้ตลอดคืน ให้กองถ่านเพลิงไม้ตะเคียนไว้ วางไม้เรียบไว้ปากหลุม ปิดด้วยเสื่อลำแพน ทาด้วยโคมัยสด (ขี้วัวสด) ลาดไม้ผุไว้ด้านหนึ่ง ด้วยหมายใจว่าเมื่อพระเหยียบที่ไม้ผุจักต้องตกลงไปในหลุมถ่านเพลิงอย่างแน่นอน
ต่อจากนั้นให้วางตุ่มเรียงรายไว้ทำนองเดียวกับที่สิริคุตต์เคยทำสมัยเชิญนิครนถ์

วันรุ่งขึ้นเมื่อพระศาสดาเสด็จ ครหทินน์ออกมาต้อนรับภายนอกเรือนถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ พลางนึกในใจว่า "พระเจ้าข้า อุปฐากของพระองค์ คือสิริคุตต์บอกข้าพระองค์ว่า พระองค์ทรงทราบเหตุทุกอย่างทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ทรงสามารถรู้จิตของคนทั้งหลายได้ หากพระองค์ทรงทราบจริงก็อย่าเสด็จเข้าไป หากไม่ทรงทราบก็จงเสด็จเข้าไปเถิด เพราะในเรือนนี้ข้าวยาคู หรือข้าวสวยหรืออาหารใดๆ มิได้มี เมื่อพระองค์และสาวกตกลงไปในหลุมถ่านเพลิงก็จะถูกกดขี่โบยตี" ดังนี้ แล้วรับบาตรพระศาสดานำเสด็จและกราบทูลว่า ธรรมเนียมในบ้านของตนมีว่า เมื่อภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปในบ้านนั่งเรียบร้อยแล้ว ภิกษุรูปอื่นจึงควรเข้าไปทีละรูป

พระโลกนาถ ผู้อนาวรณญาณ ทรงรู้ทุกอย่างไม่มีอะไรติดขัด ทรงเหยียดพระบาทลงเหนือหลุมถ่านเพลิง เสื่อลำแพนหายไป ดอกบัวประมาณเท่าล้อเกวียนผุดขึ้นบนหลุมถ่านเพลิงนั้น ไฟดับสนิท พระศาสดาทรงเหยียดดอกบัวไปประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาปูลาดไว้ แม้ภิกษุทั้งหลายก็ไปทำนองเดียวกัน

เมื่อเห็นดังนั้น ครหทินน์เกิดร้อนตัว รีบไปหาสิริคุตต์โดยเร็ว แล้วเล่าเรื่องทั้งปวงให้ทราบ สิริคุตต์บอกว่าให้ลองไปสำรวจดูอีกที อาหารอาจมีในตุ่มก็ได้ ครหทินน์ไปเปิดตุ่มดู ปรากฏว่า ทุกตุ่มมีข้าวต้มและข้าวสวย เป็นต้นเต็มปี่ ครหทินน์เห็นดังนั้นอิบอาบไปด้วยปีติปราโมชเสื่อมใสพระศาสดายิ่งนัก อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

เมื่อเสวยเสร็จแล้วพระศาสดาทรงอนุโมทนาว่า "เพราะไม่มีปัญญาจักษุ คนบางพวกจึงไม่รู้คุณของพระองค์และพระสาวก ผู้ไม่มีปัญญาจักษุชื่อว่าเป็นผู้มืดบอด ส่วนผู้มีปัญญาชื่อว่าเป็นผู้มีจักษุ"เป็นต้น ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า

"ยถา สงฺการธานสฺมี" เป็นอาทิมีนัยดังพรรณนามาแล้วแต่ต้นแล
กำลังโหลดความคิดเห็น