xs
xsm
sm
md
lg

ทางแห่งความดี : กลิ่นศีล กลิ่นของคนดี ย่อมหอมกระจาย ทวนได้แม้กระแสลม อบอวลไปทั่วสารทิศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่องที่ 42 กลิ่นชั้นสูง

พระพุทธภาษิต
อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธยฺวายํ ตรคจนฺทนิ
โย จ สีลวตํ คนฺโธวาติ เทเวสุ อุตฺตโม

คำแปล
กลิ่นกฤษณาและจันทน์เป็นกลิ่นเล็กน้อย ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลเป็นกลิ่นสูงสุด ย่อมฟุ้งไปแม้ในหมู่เทพ

อธิบายความ
ท่านว่า พวกเทพไม่ค่อยลงมายุ่งกับมนุษย์ เพราะพวกมนุษย์กลิ่นเหม็นแรง นอกจากนี้ยังเบื่อที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีศีลธรรม มนุษย์คนใดมีศีลดี มีธรรมงามย่อมเป็นที่รักของทวยเทพ พวกเทพย่อมตามคุ้มครองรักษา ขจัดอันตรายออก น้อมนำแต่สิ่งอันเป็นสิริมงคลเข้าไปให้ สมดังพระพุทธภาษิตว่า

"ยสฺมึ ปเทเส กบฺเปติ ฯลฯ สทา ภทฺรานิ ปสฺสติ" แปลความว่า "บัณฑิตอยู่ที่ใด ย่อมเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ผู้มีศีล ประพฤติพรหมจรรย์ และผู้สำรวมระวัง ทำบุญอุทิศให้เทวดาอันสถิตย์ประจำอยู่ ณ สถานที่นั้น เทวดาเหล่านั้น เมื่อได้รับการบูชานับถือแล้วย่อมบูชาและนับถือตอบ และอนุเคราะห์บุคคลนั้นเหมือนมารดาบิดาตั้งใจอนุเคราะห์บุตรธิดา บุคคลผู้อันเทวดาอนุเคราะห์แล้วย่อมพบแต่ความเจริญ

การทำบุญอุทิศให้เทวดาเป็นพลีอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่า เทวตาพลี เทวดาย่อมรักและตั้งใจสงเคราะห์บุคคลผู้ตั้งอยู่ในศีลในธรรม หากเป็นพระที่มีสีลาจารวัตรดี เทวดาย่อมเคารพบูชาอย่างยิ่ง เช่นพระมหากัสสปเป็นตัวอย่าง

เรื่องการถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสป
พระศาสดาตรัสเทศนาเรื่องนี้ เมื่อประทับอยู่ที่เวฬุวัน ทรงปรารภการถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ มีเรื่องย่อดังนี้

วันหนึ่งพระเถระออกจากนิโรธสมาบัติ ซึ่งท่านเข้ามา 7 วันแล้ว มีความประสงค์จะสงเคราะห์คนจน ท่านจึงต้องการไปโปรดคนจนคนใดคนหนึ่งในเมืองราชคฤห์ แต่พวกเทพอัปสรประมาณ 500 นางรู้เสียก่อน ต้องการให้บุญเป็นของตนจีงเตรียมอาหาร 500 สำรับ ไว้คอยดักถวายพระเถระ ขอให้พระเถระรับอาหารเพื่อสงเคราะห์พวกตน

พระเถระรู้ว่า นี่เป็นเหล่าเทพธิดา จึงบอกให้หลีกไปเสีย ท่านจะไปสงเคราะห์คนยากจน พวกเทพธิดารวยอยู่แล้วจะโลภไปถึงไหน แม้พวกเทพธิดาจะอ้อนวอนสักเพียงไรก็หาฟังไม่ พวกเทพธิดารอหน้าไม่ติดจึงหลีกไปยังพิภพของตน-ไปพบกับท้าวสักกะๆ ถามว่า ไปไหนกันมา เมื่อทราบเรื่องจากเทพอัปสรทั้งหมดแล้วปรารถนาจะได้บุญบ้าง คิดหาอุบายอยู่ ได้มองเห็นอุบายอย่างหนึ่งแล้ว จึงปลอมร่างเป็นชายแก่ยากจน เป็นช่างหูก แม้สุชาดา เทพกัญญาก็ปลอมแปลงตนเป็นหญิงแก่ช่างหูกเหมือนกัน ท้าวสักกะ ทรงเนรมิตถนนช่างหูกขึ้นสายหนึ่ง ทอหูกอยู่

พระเถระมุ่งหน้าเข้าเมือง เพื่อสงเคราะห์คนจน เห็นถนนสายที่ท้าวสักกะ เนรมิตขึ้นอยู่นอกเมือง ได้เห็นคนแก่สองคนทอหูกอยู่ พระเถระคิดว่า "สองคนนี้ แก่แล้วยังต้องทำงานอยู่ ในเมืองนี้เห็นจะไม่มีใครเข็ญใจยิ่งกว่า 2 คนนี้ เราจักรับอาหารเพื่อทำการสงเคราะห์คนชราทั้งสอง" ดังนี้ แล้วได้บ่ายหน้าไปยังเรือนของเขา

ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระเถระกำลังเดินมายังเรือนของตน จึงกระซิบอสุรกัญญา คือสุชาดาว่าให้ทำเป็นไม่เห็นท่านเสียชั่วระยะหนึ่ง ฉันจักลวงท่านสักครู่หนึ่งเพื่อให้ท่านตายใจแล้วถวายบิณฑบาต

พระเถระมายืนอยู่ที่ประตูเรือน 2 ผัวเมียทำเป็นเสมือนไม่เห็นท่าน ก้มหน้าทำงานอยู่ ครู่หนึ่งผ่านไปท้าวสักกะจึงกล่าวขึ้นว่า

"ที่ประตูเรือน ดูเหมือนมีพระเถระยืนอยู่รูปหนึ่ง ยายลองไปดูซิ"

"ตาไปดูเองเถอะ ฉันยังยุ่งอยู่" สุชาดาตอบ

ท้าวสักกะเสด็จออกจากเรือน ทรงไหว้พระเถระแล้วเอาพระหัตถ์ทั้งสองยันพระชานุ ถอนพระทัย เสด็จลุกขึ้นย่อพระองค์ลงหน่อยหนึ่งพลางตรัสว่า "พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเถระรูปไหนหนอแล? ตาของกระผมฝ้าเสียแล้ว" ดังนี้ แล้วทรงป้องหน้าดู เมื่อเห็นชัดจึงตรัสว่า

"โอ! พระผู้เป็นเจ้า พระมหากัสสปของเรานั่นเอง นานๆ มายังประตุกระท่อมของพวกเราครั้งหนึ่ง มีอะไรอยู่ในเรือนบ้่างไหมหนอ?"

สุชาดาทำกุลีกุจอกุกกักอยู่หน่อยหนึ่งจึงให้คำตอบออกมาว่า "มีตา"

ท้าวสักกะจึงตรัสกับพระเถระว่า "ขอพระคุณเจ้าอย่าได้คิดว่า ทานนี้เศร้าหมอง หรือประณีตเลย โปรดทำการสงเคราะห์แก่กระผมทั้งสองด้วยเถิด" ดังนี้แล้ว ทรงรับบาตรของพระเถระ

ฝ่ายพระเถระก็คิดจะสงเคราะห์เขาจริงๆ ว่า "จะเป็นผักดองหรือรำกำมือหนึ่งก็ตาม เราจะรับบิณฑบาตเพื่อสงเคราะห์คนชราทั้งสองนี้" ดังนี้แล้ว ได้มอบบาตรให้

ท้าวสักกะเสด็จเข้าไปภายในเรือน ทรงคคข้าวสุกออกจากหม้อ ใส่ให้เต็มบาตร มอบถวายแก่พระเถระบิณฑบาตนั้นมีแกงและกับมากมาย

พระเถระพิจารณาว่า "ชายผู้นี้มีศักดิ์น้อย แต่บิณฑบาตของเขาเสมือนของคนมั่งคั่ง เขาเป็นใครหนอ?" พิจารณาไปจึงรู้ว่า เป็นท้่าวสักกะ จึงต่อว่า ว่า ทรงแย่งสมบัติของคนยากจน เป็นกรรมหนักเพราะใครๆ ก็ตาม ที่เป็นคนเข็ญใจ ถวายบิณฑบาตแก่อาตมาภาพในวันนี้ พึงได้ตำแหน่งและสมบัติ"

"พระคุณเจ้า! ข้าพเจ้าก็เป็นคนเข็ญใจเหมือนกัน ใครๆ อื่นจะเข็ญใจยิ่งกว่ากระผมมิได้มี" ท้าวสักกะว่า

พระเถระจึงกล่าวว่า "พระองค์เสวยสิริทิพยสมบัติในเทวโลก จะเรียกว่าเป็นคนเข็ญใจอย่างไร?"

ท้่าวสักกะทูลว่า "อย่างที่พระคุณเจ้าพูดมานั้นก็ถูกเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าได้กระทำกรรมดีไว้ ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น แต่ในสมัยของพระพุทธเจ้านี่เอง มีเทพบุตรใหม่ 3 องค์มีศักดิ์เสมอกัน คือจูฬรถเทพบุตร, มหารถเทพบุตร อเนกวรรณเทพบุตร ทำกรรมดีแล้วเกิดที่ใกล้วิมานของข้าพเจ้า มีเดชและรัศมียิ่งกว่าข้าพเจ้า เมื่อเทพบุตรทั้ง 3 พาบาทบริจาริกาออกนอกวิมาน ข้าพเจ้าต้องหลบหนีเข้าตำหนัก เพราะเดชจากสรีระของเทพบุตรทั้ง 3 นั้น ท่วมทับสรีระของข้าพเจ้า ข้าแต่พระคุณเจ้า! ใครเล่าจักเข็ญใจยิ่งกว่าข้าพเจ้า"

"อย่าไรก็ตาม" พระเถระกล่าว "ตั้งแต่นี้ต่อไป ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้อีก"

"เมื่อข้าพเจ้าลวงท่าน ถวายทาน กุศลจักมีแก่ข้าพเจ้าหรือไม่?"

"มี-พระองค์" พระเถระตอบ

"เมื่อเป็นดังนี้ การทำกุศลย่อมเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า"

ท้าวสักกะตรัสดังนี้แล้ว ทรงไหว้พระเถระ พาสุชาดากระทำประทักษิณแล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส พลางเปล่งอุทานว่า

"โอ, ทาน เป็นทานอันเยี่ยม เราได้ถวายดีแล้วแก่พระมหากัสสป"ดังนี้ 3 ครั้ง

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในวิหาร ณ เวฬุวนาราม ทรงสดับเสียงของท้าวสักกะแล้ว จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า "ฟังเถิดภิกษุทั้งหลาย! ฟังเสียงอุทานของท้าวสักกะผู้ถวายบิณฑบาตแก่กัสสปบุตรของเราแล้ว ภิกษุทั้งหลาย! ทั้งเทพยดาและมนุษย์ย่อมพอใจภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร เช่น กัสสปบุตรของเรา" ดังนี้แล้ว ทรงเปล่งพระอุทานเหมือนกันว่า

"เทวดา และมนุษย์ย่อมพอใจซึ่งภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เลี้ยงเฉพาะตนเอง ไม่เลี้ยงผู้อื่น ผู้มั่นคง ผู้สงบ มีสติอยู่ทุกเมื่อ"

และว่า

"ภิกษุทั้งหลาย! ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จมาถวายบิณฑบาตแก่บุตรของเรา เพราะกลิ่นศีลโดยแท้" ดังนี้แล้ว ตรัสพระพุทธพจน์ว่า

"อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธ ยฺวายํ ตครจนฺทนี" เป็นอาทิมีนัยดังพรรณนามาแล้วแต่ต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น