ตอนที่ 026
ตัวอย่างการเจริญสติ
ในชีวิตประจำวัน
4. ตัวอย่างการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
ต่อจากนี้จะยกตัวอย่างการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ให้เพื่อนนักปฏิบัติฟังโดยสังเขป ดังนี้
4.1 ตามรู้กายหรือตามรู้ใจในทันทีที่ตื่นนอน
นักปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน จะเริ่มต้นการปฏิบัติธรรมสำหรับ วันใหม่ในทันทีที่ตื่นนอน ในขณะที่คนทั่วไปจะปล่อยใจให้คิดฝัน ล่องลอยไปในทันทีที่ตื่นนอน เช่นปล่อยใจให้สะลึมสะลืออยู่กับอาการ ครึ่งหลับครึ่งตื่นไปอีกช่วงหนึ่ง หรือฝันหวานกลับไปถึงอดีต หรือกังวลไปถึงอนาคต เป็นต้น
แต่สำหรับนักปฏิบัตินั้น ทันทีที่รู้สึกตัวตื่น สติอาจจะระลึกรู้อิริยาบถของกายที่นั่งหลับหรือนอนหลับอยู่ เป็นการรู้สบายๆ ทั่วกาย ไม่ได้จำกัดอยู่ที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง และมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า สิ่งที่นอนอยู่นี้คือรูปธรรม หรือก้อนธาตุที่มากองอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ ตัวเรานั่งหรือนอนอยู่ และรูปนี้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
หรือนักปฏิบัติบางท่านซึ่งถนัดจะรู้จิต ก็จะเริ่มอ่านจิตใจตนเองในทันทีที่รู้สึกตัวตื่น เช่นผู้ที่เป็นนักเรียนหรือข้าราชการ อาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อตื่นขึ้นและนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันจันทร์ หรือรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายเมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์และพรุ่งนี้ไม่ต้องทำงาน และนักปฏิบัติจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า ความเบื่อหน่ายหรือ ความสดชื่นนั้นเป็นเพียงนามธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
4.2 ตามรู้ความเปลี่ยนแปลงทางกายและทางใจต่อไป
เมื่อตื่นนอนแล้ว คนทั่วไปอาจจะบิดขี้เกียจ แต่นักปฏิบัติอาจรู้สึกได้ถึงความปวดเมื่อยกาย และรู้ถึงความต้องการบิดขี้เกียจเพื่อแก้เมื่อย แล้วก็บิดขี้เกียจ ถัดจากนั้นก็รู้สึกถึงความสบายกายและรู้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายทางใจที่เกิดตามมา และมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า รูปกายหรือความรู้สึกทางใจทั้งหลายนั้น เป็นเพียงรูปธรรมหรือ นามธรรมบางอย่าง ไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
เมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันทำงานจะชักช้าอยู่ไม่ได้ คนทั่วไปอาจจะรีบเผ่นจากที่นอนไปอาบน้ำ รับประทานอาหาร หรือแต่งตัวให้เสร็จๆ ไปเพื่อจะรีบออกจากบ้าน ระหว่างนั้นก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ แม้แต่เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ว่าคิดไปแล้วกี่สิบเรื่องในเวลาไม่กี่นาที
นักปฏิบัติใช้เวลาทำกิจวัตรเหล่านั้นเท่ากับหรือน้อยกว่าคนทั่วไป (เพราะไม่ต้องเสียเวลาให้กับความใจลอย) และทำกิจด้วยความรู้สึกตัว รู้กายรู้ใจ เช่นเมื่อจะอาบน้ำ หากอากาศเย็นและน้ำที่จะอาบก็เย็น นักปฏิบัติจะรู้ถึงความสยองใจอันเกิดจากความกลัวน้ำเย็น หากอากาศ ร้อนแต่น้ำเย็น นักปฏิบัติจะรู้ถึงความพอใจที่เกิดขึ้น หรือบางคนที่ถนัดจะรู้กาย ก็จะเห็นรูปเคลื่อนไหวไปตามหน้าที่ และจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า รูปและความรู้สึกทั้งหลายไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
คนทั่วไปเมื่อจะรับประทานอาหาร หากพบว่ามีแต่ของอร่อย ก็จะเกิดความยินดีพอใจ หากพบของไม่อร่อยก็จะไม่พอใจ ส่วนนักปฏิบัติก็เกิดความพอใจและไม่พอใจเช่นเดียวกัน เพียงแต่พอใจก็รู้ว่าพอใจ ไม่พอใจก็รู้ว่าไม่พอใจ และจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า ความรู้สึกทั้งหลายไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
คนทั่วไปเมื่อรับประทานอาหารอร่อยก็อาจจะตัก เคี้ยว และกลืนอย่างเมามัน ส่วนนักปฏิบัติจะรู้สบายๆ ถึงรูปกายที่เคลื่อนไหวในอาการตัก เคี้ยว กลืน และจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า รูปที่เคลื่อนไหวอยู่นั้นไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น (ตรงจุดนี้ขอแทรกข้อเท็จจริงสักเล็กน้อย คือคนจำนวนมากมักคิดว่านักปฏิบัติจะต้องมีชีวิตที่แห้งแล้ง เช่นเมื่อรับประทานอาหารก็ไม่รู้สึกถึงรสของอาหาร เพราะจิตเป็นกลางวางเฉยเสียแล้ว ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะเจริญสติไม่เป็น ได้แต่กดข่มจิตใจให้นิ่งให้ซึมทื่อจนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้สุขรู้ทุกข์ ถ้าเจริญสติถูกต้องจิตจะคล่องแคล่วปราดเปรียวในการรู้อารมณ์ กระทั่งรสอาหารก็รู้ได้ละเอียดยิบทีเดียว)
คนทั่วไปเมื่อแต่งตัวอาจจะแต่งไปอย่างอัตโนมัติ (ในกรณีที่แต่งเครื่องแบบเหมือนกันทุกวัน) หรือคิดอุตลุตว่าวันนี้จะแต่งอย่างไรดี ถ้ารู้สึกว่าแต่งแล้วตนเอง "ดูดี" ก็พอใจ ถ้ารู้สึกว่า "ไม่ดี" ก็ชักจะไม่สบายใจ หรือคิดอยากได้เครื่องแต่งกายอย่างนั้นอย่างนี้ต่อไปอีก ส่วนนักปฏิบัติคิดจะแต่งกายอย่างไรก็ตามรู้ความเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่ทำหน้าที่แต่งกายไป และความรู้สึกทางใจเกิดขึ้นอย่างใดก็รู้ และจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า รูปและความรู้สึกทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา และเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า
การเจริญสติบนถนน)
ตัวอย่างการเจริญสติ
ในชีวิตประจำวัน
4. ตัวอย่างการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
ต่อจากนี้จะยกตัวอย่างการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ให้เพื่อนนักปฏิบัติฟังโดยสังเขป ดังนี้
4.1 ตามรู้กายหรือตามรู้ใจในทันทีที่ตื่นนอน
นักปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน จะเริ่มต้นการปฏิบัติธรรมสำหรับ วันใหม่ในทันทีที่ตื่นนอน ในขณะที่คนทั่วไปจะปล่อยใจให้คิดฝัน ล่องลอยไปในทันทีที่ตื่นนอน เช่นปล่อยใจให้สะลึมสะลืออยู่กับอาการ ครึ่งหลับครึ่งตื่นไปอีกช่วงหนึ่ง หรือฝันหวานกลับไปถึงอดีต หรือกังวลไปถึงอนาคต เป็นต้น
แต่สำหรับนักปฏิบัตินั้น ทันทีที่รู้สึกตัวตื่น สติอาจจะระลึกรู้อิริยาบถของกายที่นั่งหลับหรือนอนหลับอยู่ เป็นการรู้สบายๆ ทั่วกาย ไม่ได้จำกัดอยู่ที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง และมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า สิ่งที่นอนอยู่นี้คือรูปธรรม หรือก้อนธาตุที่มากองอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ ตัวเรานั่งหรือนอนอยู่ และรูปนี้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
หรือนักปฏิบัติบางท่านซึ่งถนัดจะรู้จิต ก็จะเริ่มอ่านจิตใจตนเองในทันทีที่รู้สึกตัวตื่น เช่นผู้ที่เป็นนักเรียนหรือข้าราชการ อาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อตื่นขึ้นและนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันจันทร์ หรือรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายเมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์และพรุ่งนี้ไม่ต้องทำงาน และนักปฏิบัติจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า ความเบื่อหน่ายหรือ ความสดชื่นนั้นเป็นเพียงนามธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
4.2 ตามรู้ความเปลี่ยนแปลงทางกายและทางใจต่อไป
เมื่อตื่นนอนแล้ว คนทั่วไปอาจจะบิดขี้เกียจ แต่นักปฏิบัติอาจรู้สึกได้ถึงความปวดเมื่อยกาย และรู้ถึงความต้องการบิดขี้เกียจเพื่อแก้เมื่อย แล้วก็บิดขี้เกียจ ถัดจากนั้นก็รู้สึกถึงความสบายกายและรู้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายทางใจที่เกิดตามมา และมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า รูปกายหรือความรู้สึกทางใจทั้งหลายนั้น เป็นเพียงรูปธรรมหรือ นามธรรมบางอย่าง ไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
เมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันทำงานจะชักช้าอยู่ไม่ได้ คนทั่วไปอาจจะรีบเผ่นจากที่นอนไปอาบน้ำ รับประทานอาหาร หรือแต่งตัวให้เสร็จๆ ไปเพื่อจะรีบออกจากบ้าน ระหว่างนั้นก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ แม้แต่เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ว่าคิดไปแล้วกี่สิบเรื่องในเวลาไม่กี่นาที
นักปฏิบัติใช้เวลาทำกิจวัตรเหล่านั้นเท่ากับหรือน้อยกว่าคนทั่วไป (เพราะไม่ต้องเสียเวลาให้กับความใจลอย) และทำกิจด้วยความรู้สึกตัว รู้กายรู้ใจ เช่นเมื่อจะอาบน้ำ หากอากาศเย็นและน้ำที่จะอาบก็เย็น นักปฏิบัติจะรู้ถึงความสยองใจอันเกิดจากความกลัวน้ำเย็น หากอากาศ ร้อนแต่น้ำเย็น นักปฏิบัติจะรู้ถึงความพอใจที่เกิดขึ้น หรือบางคนที่ถนัดจะรู้กาย ก็จะเห็นรูปเคลื่อนไหวไปตามหน้าที่ และจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า รูปและความรู้สึกทั้งหลายไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
คนทั่วไปเมื่อจะรับประทานอาหาร หากพบว่ามีแต่ของอร่อย ก็จะเกิดความยินดีพอใจ หากพบของไม่อร่อยก็จะไม่พอใจ ส่วนนักปฏิบัติก็เกิดความพอใจและไม่พอใจเช่นเดียวกัน เพียงแต่พอใจก็รู้ว่าพอใจ ไม่พอใจก็รู้ว่าไม่พอใจ และจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า ความรู้สึกทั้งหลายไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
คนทั่วไปเมื่อรับประทานอาหารอร่อยก็อาจจะตัก เคี้ยว และกลืนอย่างเมามัน ส่วนนักปฏิบัติจะรู้สบายๆ ถึงรูปกายที่เคลื่อนไหวในอาการตัก เคี้ยว กลืน และจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า รูปที่เคลื่อนไหวอยู่นั้นไม่ใช่ตัวเราและเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น (ตรงจุดนี้ขอแทรกข้อเท็จจริงสักเล็กน้อย คือคนจำนวนมากมักคิดว่านักปฏิบัติจะต้องมีชีวิตที่แห้งแล้ง เช่นเมื่อรับประทานอาหารก็ไม่รู้สึกถึงรสของอาหาร เพราะจิตเป็นกลางวางเฉยเสียแล้ว ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะเจริญสติไม่เป็น ได้แต่กดข่มจิตใจให้นิ่งให้ซึมทื่อจนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้สุขรู้ทุกข์ ถ้าเจริญสติถูกต้องจิตจะคล่องแคล่วปราดเปรียวในการรู้อารมณ์ กระทั่งรสอาหารก็รู้ได้ละเอียดยิบทีเดียว)
คนทั่วไปเมื่อแต่งตัวอาจจะแต่งไปอย่างอัตโนมัติ (ในกรณีที่แต่งเครื่องแบบเหมือนกันทุกวัน) หรือคิดอุตลุตว่าวันนี้จะแต่งอย่างไรดี ถ้ารู้สึกว่าแต่งแล้วตนเอง "ดูดี" ก็พอใจ ถ้ารู้สึกว่า "ไม่ดี" ก็ชักจะไม่สบายใจ หรือคิดอยากได้เครื่องแต่งกายอย่างนั้นอย่างนี้ต่อไปอีก ส่วนนักปฏิบัติคิดจะแต่งกายอย่างไรก็ตามรู้ความเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่ทำหน้าที่แต่งกายไป และความรู้สึกทางใจเกิดขึ้นอย่างใดก็รู้ และจะมีความรู้สึกทางใจ (ไม่ใช่คิด) ว่า รูปและความรู้สึกทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา และเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า
การเจริญสติบนถนน)