ปุจฉา
อยู่อย่างไรให้ผาสุก
มีวิธีการสร้างวินัย และ ศิลปะการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างไรให้ผาสุก
วิสัชนา
ต้องเริ่มต้น จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด ความหมายของการจัดระเบียบของกาย คือ เริ่มต้นจากเรื่องพื้น ๆ ใกล้ ๆ ตัว อาจจะมาจาก การที่เราเคยใช้ของแบบสุรุ่ยสุร่าย ทิ้งไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง ก็รู้จัก เก็บของให้เป็นที่เป็นทาง จะต้องรักษาสิ่งเหล่านั้นให้อยู่ คือ มีอายุยืนยาวต่อการใช้สอย ปกติเคยอาบน้ำ ผลัดผ้า แล้วโยนกองก็หันไปเก็บพับ หรือไม่ก็มาผึ่ง ถ้าไม่งั้นก็ซักเลย แล้วตาก
ปกติลุกจากที่นอน เคยบิดขี้เกียจ ๓ ที ก็เปลี่ยนใหม่ เป็นลุกขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง ดื่มน้ำหนึ่งแก้วใหญ่ ๆเสร็จแล้วก็ทำตัว ทำชีวิตจิตวิญญาณให้สดชื่นแจ่มใสและตื่นขึ้นมาด้วยความเบิกบาน พร้อมกับหันไปเก็บที่นอนให้เรียบร้อยเหล่านี้เป็นการจัดระเบียบของกาย
เมื่อเรารู้จักที่จะสร้างระเบียบให้กับกายอย่างนี้้ ถือว่าเป็นการรักษากฎเกณฑ์ กติกา และวินัยของสังคมไปในตัว
วินัยมี ๒ ประเภท คือ
1.วินัยโดยสามัญสำนึก เรียกว่า จริยา
จริยาของการเป็นคน เป็นมนุษย์ หรือ การมีชีวิต
2. วินัยโดยสังคมกำหนด ระเบียบ หรือกติกาใดๆ หรือ กฎหมายใด ๆ
เป็นเรื่องของสังคมกำหนด วินัยข้อนี้ อยู่ห่างไกลตัวมาก ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติวินัยโดยสามัญสำนึกได้ เราก็จะปฏิเสธวินัยที่เป็นกติกาของนอกกาย เป็นวินัยของโลกของสังคม เราจะยอมรับมันไม่ได้ และ รู้สึกอึดอัดที่จะทำตาม
แต่ถ้าเมื่อใด เราปฏิบัติทำตนให้เป็นคนมีวินัยโดยหลักการ โดยสถานะที่จัดกาย วาจา ใจ ของตนให้เป็นระเบียบ จนมีความคิดเป็นระบบ ก็จะยอมรับ และเคารพต่อระเบียบวินัยของสังคม และก็คนอื่นๆ สำหรับในส่วนนี้ คงจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ จัดระเบียบของตัวเองให้ดี ดังที่ท่านบอก
นอกจากนี้ ก็ให้รู้จักพัฒนาตน ให้มีศิลปะในการดำเนินชีิวิตก่อนอื่นอยากจะให้ข้อสังเกตว่า ศาสนาพุทธในประเทศไทยเป็นยังไงก็ไม่รู้ เพราะเวลาศาสนาพุทธเข้าญี่ปุ่นก็เปลี่ยนเป็นภาษาญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเวลาสวดมนต์ก็รู้ว่าสวดเรื่องอะไร ว่าอย่างไร และก็ทำได้ตามนั้น ศาสนาพุทธเข้าประเทศจีนก็เปลี่ยนบทสวดเป็นภาษาจีน เข้าประเทศฝรั่งก็เปลี่ยนบทสวดเป็นภาษาฝรั่ง เข้าประเทศลาวก็เปลี่ยนบทสวดเป็นภาษาลาว แต่เข้าประเทศไทยทำไมเปลี่ยนไม่ได้ กลัวไม่ศักดิ์สิทธิ์กันหรือ
ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ว่านะโมมาตั้งแต่เกิดยังไม่รู้เลยว่าแปลว่าอะไรเมื่อรู้ว่าแปลว่าอะไร ก็ไม่รู้จะสวดทำไม เพราะยิ่งสวดก็ยิ่งโง่สวดอย่างนี้เรียกว่า สวดแบบไม่มีศิลปะ ถ้าสวดแบบมีศิลปะต้องสวดแบบผู้รู้ ผู้ตื่น รู้ในบทสวดที่เราเจริญนั้น แล้วจำทำได้ด้วยและในเสียงที่เปล่งออกไปในการสวดก็ต้องมีศิลปะ
ในธิเบตถือนักหนาในเรื่องเสียง บทที่สวดออกไปจะต้องเปล่งออกมาจากลำคอ และต้องสูงต้องทุ้มต้องต่ำต้องแหลมตามวรรณยุกต์ และภาษาอักขระวิธี ไม่ใช่ตะเบ็งออกมาเหมือนเสียงควายออกลูก แล้วไม่รู้ว่ามันจะจบหรือไม่จบ ไม่ได้ฟังใครเขาทั้งนั้น
การสวดมนต์ให้มีศิีลปะแบบพุทธะก็คือ ใช้ใจสวดให้มันซึมเข้าในในหัวใจ สวดแล้วให้เกิดปีติสุขในใจ สวดแล้วเกิดความสงบและสันติภาพในใจ เรียกว่า สวดอย่างมีศิลปะ ในพระไตรปิฎก บอกไว้ว่า พระเณรที่สวดมนต์ในถ้ำ เจริญพระพุทธมนต์อยู่ในถ้ำ สวดอย่างมีศิลปะเสียงทุ้มเสียงต่ำเสียงแหลม ค้างคาวที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ 500 กว่าตัว ได้ฟังเสียงสวดเพลิน ถึงขนาดพร้อมใจกันปล่อยตีนที่เกาะจากผนังถ้ำด้วยความเผลอ หัวโหม่งพื้นตายทั้งหมด แต่เพราะเสียงสวดที่จับจิตจับใจค้างคาวทั้งหลาย ทำให้บทสวดนั้นๆ เป็นกุศลส่งให้วิญญาณไปเกิดในชั้นดุสิตได้เป็นเทวดาเป็นเทพบุตรได้
หลวงปู่ชอบที่จะสวดมนต์มากๆ แล้วก็ต้องสวดอย่างมีศิลปะ เพราะยิ่งสวดก็ยิ่งทำให้เราสว่าง สะอาด สงบ จิตใจเยือกเย็นมากขึ้น
สำหรับชาวพุทธ ศาสนาสอนให้เรารู้ว่า การนับถือศาสนา การเรียนรู้ ทำให้ชีวิตคนมีศิลปะ ทำอะไรทุกอย่างเป็นศิลปะ ซึ่งมันก็จะตรงกับหลักมัชฌิมาปฏิปทา ที่สรุปลงท้ายว่า ความรู้ชอบ ความเพียรชอบ ความเจริญสติชอบ การเรียนรู้ชอบ การพูดชอบ การตั้งใจชอบ การประกอบอาชีพชอบ ทุกข้อลงท้ายว่าชอบ คนดูก็ชอบ คนทำก็ชอบ คนลงมือก็ชอบ ช่วยกันทำต่างคนต่างก็ชอบอย่างนี้ถือว่า
มีชีวิตเต็มไปด้วยความชอบ เต็มไปด้วยศิลปะ
สำหรับหลวงปู่แล้ว นิยมทำอะไรให้มีศิลปะ ถ้าให้เลือกระหว่างคำต่างๆ และระหว่างพิธีการพิธีกรรมต่างๆ ที่จะปรากฏขึ้น หลวงปู่ชอบที่จะเลือกใช้ประโยคและถ้อยคำที่พูดว่าศิลปะ เพราะในศัพท์นี้มันบรรจุไว้หลายๆ อย่างมากมาย หลายแขนงมีวิชาอยู่ในคำว่าศิลปะนี้มากมาย
คนที่พูดที่คิดที่แสดงหรือทำอะไรอย่างมีศิลปะถือว่าเป็นคนมีเสน่ห์ แต่คนมักจะบอกว่า คนที่มีเสน่ห์คือคนที่ไปลงนะหน้าทอง นะหน้าเงิน ปลุกเสกเลขยันต์ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ คำว่า "เสน่ห์" ของคนโบราณคือ ทำอะไรให้มีศิลปะเป็นที่ชอบใจ เป็นที่เจริญหูเจริญตา เจริญใจต่อผู้ได้พบเห็น เช่น พูด คำพูดมีศิลปะก็ทำให้ผู้ฟังไม่เบื่อ มีเสียงทุ้มเสียงหนัก เสียงเบา เสียงยาว เสียงสั้น เสียงแหลมใช้เสียงอักขระวิธีการให้ตรงถูกต้องตามวรรณยุกต์ลักษณะและสมัยของภาษานั้นๆ ถ้าคนเหล่านั้นพูดได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าเรียกเสียงนี้ว่าเสียงของท้าวมหาพรหม เพราะฟังแล้วไม่ต้องระทมกับการต้องมาแปล คือ ฟังแล้วรู้เรื่อง เข้าใจ ได้ใจความ ได้ความหมาย ฟังแล้วทำให้เราซึมสิงเข้าไปในหัวใจ สมอง และ ทำได้ด้วย ถือว่าเป็นการพูดอย่างมีศีลปะ
นักร้องก็เหมือนกัน ถ้าร้องเพลงใดๆ แล้วเป็นที่เชิดหน้าชูตา คนทั้งหลายนิยมรักใคร่ โปรดปราน ก็ต้องยอมรับว่านักร้องผู้นั้นเป็นผู้ร้องเพลงอย่างมีศิลปะ เช่น ใช้วรรณยุกต์ ใช้ภาษาร้อง และท่วงทำนองที่ไพเราะเสนาะหู จำง่าย เด็กก็สามารถ ร้องตามและฟังรู้เรื่อง
รวมความแล้ว คำว่าศิลปะ นอกจากบรรลุประยุกต์ในบทความ คำพูด บรรลุการร้อง ยังบรรลุในศิลปะการแสดงอีกด้วย
ดาราคนใด ถ้าสามารถแสดงบทต่างๆ ได้อย่างแนบแน่นละเอียดอ่อน ที่เขาใช้ภาษาดาราหรือชาวโลกว่า ตีบทแตก แสดงว่านักแสดงผู้นั้นแสดงอย่างมีศิลปะ เรียนรู้จบหลักสูตรศิลปะการแสดง
นักวาดเขียน นักแต่งกลอน แต่งบทกวี สิ่งเหล่านี้รวมความว่าเป็นศิลปะ มันรวมไปถึงการมีชีวิต การแต่งบทเพลง การบรรเลงดนตรี
ศิลปะอย่างนี้ไม่ใช่มีเฉพาะชาวโลก สำหรับศาสนาแล้ว ศาสดาของเราเป็นยอดแห่งศิลปะ เมื่อสมัย 2,000 กว่าปีก่อน พระองค์เรียนรู้ศิลปศาสตร์หลายวิชา จบหลักสูตรหลายแขนง เช่น ศิลปะการต่อสู้ ศิลปะการแต่งบทกวี ศิลปะการวาดรูป ศิลปะการยิงธนู ศิลปะการกล่าวกลบท คือ การกล่าวบทปริศนาธรรม ศิลปะการต่อปากต่อคำ นั่นคือ ปุจฉาและวิสัชนาศิลปะของความเป็นผู้น ศิลปะกระบี่กระบอง เพลงไม้พลองและดั้งเหล่านี้ โบราณเรียกว่า ศิลปะ ถ้าใครทำได้ก็เป็นที่เชิดหน้าชูตา เจริญหูเจริญตาต่อผู้พบเห็น
เมื่อพระองค์เข้ามาบวชในพุทธศาสนา บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใฝ่หาพระธรรมจนสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ พระองค์ก็สั่งสอนมหาชนอยางมีศิลปะ เช่น ถ้อยคำที่ทรงพูดกับคนบางคน บางประเภท บางขณะ บางลักษณะ บางสังคม บางหัวเมือง บางประเทศ พระองค์จะทรงใช้ถ้อยคำและน้ำเสียงคล้ายๆ และกลมกลืนกับ
สิ่งแวดล้อมและสังคมนั้นๆ ทำให้คนเหล่านั้นฟังแล้วเจริญหูเจริญตา เจริญใจ
ในตอนที่พระองค์ทรงบวชใหม่ๆ เหล่าแม่ยก แม่ยาย และแม่ใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งสาวแก่แม่ม่าย พ่อเฒ่าพ่อแก่เห็นองค์พระศาสดาทรงเดินยุรยาตรไปหาภิกขาจาร คือ หาอาหารในยามเช้า ถึงกับปรารภกันให้อึงมี่ว่า บุรุษผู้นี้ถ้าเป็นสามีใคร เมียก็ได้เป็นนิพพาน ถ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่ก็นิพพาน แปลว่า ดับแล้วก็เย็น
เพราะเป็นผู้เจริญหูเจริญตาเจริญใจแก่ผู้พบเห็น ข้อนี้พิสูจน์ได้ว่า
พระองค์ทรงมีศิลปะ แม้กระทั่งการเดิน
แสดงว่าสมัยก่อนไม่ได้มุ่งสอนเฉพาะศิลปะขับร้อง ฟ้อนรำ วาดรูป ต่อสู้ เขารวมไปถึงการมุ่งสอนศิลปะของการเดิน ยืน นั่ง และ นอน
คนโบราณเวลาทำอะไร จึงมองดูแล้วองอาจ สง่า ผึ่งผาย และกล้าหาญ เปิดเผย ไม่หลบๆ ซ่อนๆ สิ่งเหล่านี้ได้มาจากการสืบทอดเรียนรู้ศิลปะในการใช้ชีวิตให้ผาสุก
อยู่อย่างไรให้ผาสุก
มีวิธีการสร้างวินัย และ ศิลปะการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างไรให้ผาสุก
วิสัชนา
ต้องเริ่มต้น จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด ความหมายของการจัดระเบียบของกาย คือ เริ่มต้นจากเรื่องพื้น ๆ ใกล้ ๆ ตัว อาจจะมาจาก การที่เราเคยใช้ของแบบสุรุ่ยสุร่าย ทิ้งไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง ก็รู้จัก เก็บของให้เป็นที่เป็นทาง จะต้องรักษาสิ่งเหล่านั้นให้อยู่ คือ มีอายุยืนยาวต่อการใช้สอย ปกติเคยอาบน้ำ ผลัดผ้า แล้วโยนกองก็หันไปเก็บพับ หรือไม่ก็มาผึ่ง ถ้าไม่งั้นก็ซักเลย แล้วตาก
ปกติลุกจากที่นอน เคยบิดขี้เกียจ ๓ ที ก็เปลี่ยนใหม่ เป็นลุกขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง ดื่มน้ำหนึ่งแก้วใหญ่ ๆเสร็จแล้วก็ทำตัว ทำชีวิตจิตวิญญาณให้สดชื่นแจ่มใสและตื่นขึ้นมาด้วยความเบิกบาน พร้อมกับหันไปเก็บที่นอนให้เรียบร้อยเหล่านี้เป็นการจัดระเบียบของกาย
เมื่อเรารู้จักที่จะสร้างระเบียบให้กับกายอย่างนี้้ ถือว่าเป็นการรักษากฎเกณฑ์ กติกา และวินัยของสังคมไปในตัว
วินัยมี ๒ ประเภท คือ
1.วินัยโดยสามัญสำนึก เรียกว่า จริยา
จริยาของการเป็นคน เป็นมนุษย์ หรือ การมีชีวิต
2. วินัยโดยสังคมกำหนด ระเบียบ หรือกติกาใดๆ หรือ กฎหมายใด ๆ
เป็นเรื่องของสังคมกำหนด วินัยข้อนี้ อยู่ห่างไกลตัวมาก ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติวินัยโดยสามัญสำนึกได้ เราก็จะปฏิเสธวินัยที่เป็นกติกาของนอกกาย เป็นวินัยของโลกของสังคม เราจะยอมรับมันไม่ได้ และ รู้สึกอึดอัดที่จะทำตาม
แต่ถ้าเมื่อใด เราปฏิบัติทำตนให้เป็นคนมีวินัยโดยหลักการ โดยสถานะที่จัดกาย วาจา ใจ ของตนให้เป็นระเบียบ จนมีความคิดเป็นระบบ ก็จะยอมรับ และเคารพต่อระเบียบวินัยของสังคม และก็คนอื่นๆ สำหรับในส่วนนี้ คงจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ จัดระเบียบของตัวเองให้ดี ดังที่ท่านบอก
นอกจากนี้ ก็ให้รู้จักพัฒนาตน ให้มีศิลปะในการดำเนินชีิวิตก่อนอื่นอยากจะให้ข้อสังเกตว่า ศาสนาพุทธในประเทศไทยเป็นยังไงก็ไม่รู้ เพราะเวลาศาสนาพุทธเข้าญี่ปุ่นก็เปลี่ยนเป็นภาษาญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเวลาสวดมนต์ก็รู้ว่าสวดเรื่องอะไร ว่าอย่างไร และก็ทำได้ตามนั้น ศาสนาพุทธเข้าประเทศจีนก็เปลี่ยนบทสวดเป็นภาษาจีน เข้าประเทศฝรั่งก็เปลี่ยนบทสวดเป็นภาษาฝรั่ง เข้าประเทศลาวก็เปลี่ยนบทสวดเป็นภาษาลาว แต่เข้าประเทศไทยทำไมเปลี่ยนไม่ได้ กลัวไม่ศักดิ์สิทธิ์กันหรือ
ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ว่านะโมมาตั้งแต่เกิดยังไม่รู้เลยว่าแปลว่าอะไรเมื่อรู้ว่าแปลว่าอะไร ก็ไม่รู้จะสวดทำไม เพราะยิ่งสวดก็ยิ่งโง่สวดอย่างนี้เรียกว่า สวดแบบไม่มีศิลปะ ถ้าสวดแบบมีศิลปะต้องสวดแบบผู้รู้ ผู้ตื่น รู้ในบทสวดที่เราเจริญนั้น แล้วจำทำได้ด้วยและในเสียงที่เปล่งออกไปในการสวดก็ต้องมีศิลปะ
ในธิเบตถือนักหนาในเรื่องเสียง บทที่สวดออกไปจะต้องเปล่งออกมาจากลำคอ และต้องสูงต้องทุ้มต้องต่ำต้องแหลมตามวรรณยุกต์ และภาษาอักขระวิธี ไม่ใช่ตะเบ็งออกมาเหมือนเสียงควายออกลูก แล้วไม่รู้ว่ามันจะจบหรือไม่จบ ไม่ได้ฟังใครเขาทั้งนั้น
การสวดมนต์ให้มีศิีลปะแบบพุทธะก็คือ ใช้ใจสวดให้มันซึมเข้าในในหัวใจ สวดแล้วให้เกิดปีติสุขในใจ สวดแล้วเกิดความสงบและสันติภาพในใจ เรียกว่า สวดอย่างมีศิลปะ ในพระไตรปิฎก บอกไว้ว่า พระเณรที่สวดมนต์ในถ้ำ เจริญพระพุทธมนต์อยู่ในถ้ำ สวดอย่างมีศิลปะเสียงทุ้มเสียงต่ำเสียงแหลม ค้างคาวที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ 500 กว่าตัว ได้ฟังเสียงสวดเพลิน ถึงขนาดพร้อมใจกันปล่อยตีนที่เกาะจากผนังถ้ำด้วยความเผลอ หัวโหม่งพื้นตายทั้งหมด แต่เพราะเสียงสวดที่จับจิตจับใจค้างคาวทั้งหลาย ทำให้บทสวดนั้นๆ เป็นกุศลส่งให้วิญญาณไปเกิดในชั้นดุสิตได้เป็นเทวดาเป็นเทพบุตรได้
หลวงปู่ชอบที่จะสวดมนต์มากๆ แล้วก็ต้องสวดอย่างมีศิลปะ เพราะยิ่งสวดก็ยิ่งทำให้เราสว่าง สะอาด สงบ จิตใจเยือกเย็นมากขึ้น
สำหรับชาวพุทธ ศาสนาสอนให้เรารู้ว่า การนับถือศาสนา การเรียนรู้ ทำให้ชีวิตคนมีศิลปะ ทำอะไรทุกอย่างเป็นศิลปะ ซึ่งมันก็จะตรงกับหลักมัชฌิมาปฏิปทา ที่สรุปลงท้ายว่า ความรู้ชอบ ความเพียรชอบ ความเจริญสติชอบ การเรียนรู้ชอบ การพูดชอบ การตั้งใจชอบ การประกอบอาชีพชอบ ทุกข้อลงท้ายว่าชอบ คนดูก็ชอบ คนทำก็ชอบ คนลงมือก็ชอบ ช่วยกันทำต่างคนต่างก็ชอบอย่างนี้ถือว่า
มีชีวิตเต็มไปด้วยความชอบ เต็มไปด้วยศิลปะ
สำหรับหลวงปู่แล้ว นิยมทำอะไรให้มีศิลปะ ถ้าให้เลือกระหว่างคำต่างๆ และระหว่างพิธีการพิธีกรรมต่างๆ ที่จะปรากฏขึ้น หลวงปู่ชอบที่จะเลือกใช้ประโยคและถ้อยคำที่พูดว่าศิลปะ เพราะในศัพท์นี้มันบรรจุไว้หลายๆ อย่างมากมาย หลายแขนงมีวิชาอยู่ในคำว่าศิลปะนี้มากมาย
คนที่พูดที่คิดที่แสดงหรือทำอะไรอย่างมีศิลปะถือว่าเป็นคนมีเสน่ห์ แต่คนมักจะบอกว่า คนที่มีเสน่ห์คือคนที่ไปลงนะหน้าทอง นะหน้าเงิน ปลุกเสกเลขยันต์ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ คำว่า "เสน่ห์" ของคนโบราณคือ ทำอะไรให้มีศิลปะเป็นที่ชอบใจ เป็นที่เจริญหูเจริญตา เจริญใจต่อผู้ได้พบเห็น เช่น พูด คำพูดมีศิลปะก็ทำให้ผู้ฟังไม่เบื่อ มีเสียงทุ้มเสียงหนัก เสียงเบา เสียงยาว เสียงสั้น เสียงแหลมใช้เสียงอักขระวิธีการให้ตรงถูกต้องตามวรรณยุกต์ลักษณะและสมัยของภาษานั้นๆ ถ้าคนเหล่านั้นพูดได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าเรียกเสียงนี้ว่าเสียงของท้าวมหาพรหม เพราะฟังแล้วไม่ต้องระทมกับการต้องมาแปล คือ ฟังแล้วรู้เรื่อง เข้าใจ ได้ใจความ ได้ความหมาย ฟังแล้วทำให้เราซึมสิงเข้าไปในหัวใจ สมอง และ ทำได้ด้วย ถือว่าเป็นการพูดอย่างมีศีลปะ
นักร้องก็เหมือนกัน ถ้าร้องเพลงใดๆ แล้วเป็นที่เชิดหน้าชูตา คนทั้งหลายนิยมรักใคร่ โปรดปราน ก็ต้องยอมรับว่านักร้องผู้นั้นเป็นผู้ร้องเพลงอย่างมีศิลปะ เช่น ใช้วรรณยุกต์ ใช้ภาษาร้อง และท่วงทำนองที่ไพเราะเสนาะหู จำง่าย เด็กก็สามารถ ร้องตามและฟังรู้เรื่อง
รวมความแล้ว คำว่าศิลปะ นอกจากบรรลุประยุกต์ในบทความ คำพูด บรรลุการร้อง ยังบรรลุในศิลปะการแสดงอีกด้วย
ดาราคนใด ถ้าสามารถแสดงบทต่างๆ ได้อย่างแนบแน่นละเอียดอ่อน ที่เขาใช้ภาษาดาราหรือชาวโลกว่า ตีบทแตก แสดงว่านักแสดงผู้นั้นแสดงอย่างมีศิลปะ เรียนรู้จบหลักสูตรศิลปะการแสดง
นักวาดเขียน นักแต่งกลอน แต่งบทกวี สิ่งเหล่านี้รวมความว่าเป็นศิลปะ มันรวมไปถึงการมีชีวิต การแต่งบทเพลง การบรรเลงดนตรี
ศิลปะอย่างนี้ไม่ใช่มีเฉพาะชาวโลก สำหรับศาสนาแล้ว ศาสดาของเราเป็นยอดแห่งศิลปะ เมื่อสมัย 2,000 กว่าปีก่อน พระองค์เรียนรู้ศิลปศาสตร์หลายวิชา จบหลักสูตรหลายแขนง เช่น ศิลปะการต่อสู้ ศิลปะการแต่งบทกวี ศิลปะการวาดรูป ศิลปะการยิงธนู ศิลปะการกล่าวกลบท คือ การกล่าวบทปริศนาธรรม ศิลปะการต่อปากต่อคำ นั่นคือ ปุจฉาและวิสัชนาศิลปะของความเป็นผู้น ศิลปะกระบี่กระบอง เพลงไม้พลองและดั้งเหล่านี้ โบราณเรียกว่า ศิลปะ ถ้าใครทำได้ก็เป็นที่เชิดหน้าชูตา เจริญหูเจริญตาต่อผู้พบเห็น
เมื่อพระองค์เข้ามาบวชในพุทธศาสนา บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใฝ่หาพระธรรมจนสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ พระองค์ก็สั่งสอนมหาชนอยางมีศิลปะ เช่น ถ้อยคำที่ทรงพูดกับคนบางคน บางประเภท บางขณะ บางลักษณะ บางสังคม บางหัวเมือง บางประเทศ พระองค์จะทรงใช้ถ้อยคำและน้ำเสียงคล้ายๆ และกลมกลืนกับ
สิ่งแวดล้อมและสังคมนั้นๆ ทำให้คนเหล่านั้นฟังแล้วเจริญหูเจริญตา เจริญใจ
ในตอนที่พระองค์ทรงบวชใหม่ๆ เหล่าแม่ยก แม่ยาย และแม่ใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งสาวแก่แม่ม่าย พ่อเฒ่าพ่อแก่เห็นองค์พระศาสดาทรงเดินยุรยาตรไปหาภิกขาจาร คือ หาอาหารในยามเช้า ถึงกับปรารภกันให้อึงมี่ว่า บุรุษผู้นี้ถ้าเป็นสามีใคร เมียก็ได้เป็นนิพพาน ถ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่ก็นิพพาน แปลว่า ดับแล้วก็เย็น
เพราะเป็นผู้เจริญหูเจริญตาเจริญใจแก่ผู้พบเห็น ข้อนี้พิสูจน์ได้ว่า
พระองค์ทรงมีศิลปะ แม้กระทั่งการเดิน
แสดงว่าสมัยก่อนไม่ได้มุ่งสอนเฉพาะศิลปะขับร้อง ฟ้อนรำ วาดรูป ต่อสู้ เขารวมไปถึงการมุ่งสอนศิลปะของการเดิน ยืน นั่ง และ นอน
คนโบราณเวลาทำอะไร จึงมองดูแล้วองอาจ สง่า ผึ่งผาย และกล้าหาญ เปิดเผย ไม่หลบๆ ซ่อนๆ สิ่งเหล่านี้ได้มาจากการสืบทอดเรียนรู้ศิลปะในการใช้ชีวิตให้ผาสุก