เรื่องที่ 009 แพทย์จีนกับภูมิชีวิต ตอนที่ 7/8
บรรยายที่สหกรณ์เมอนฟาร์ม สาขาแจ้งวัฒนะ
ในยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สภาพธรรมชาติแท้กลับถดถอยมนุษยชาติดูเหมือนจะหยิ่งผยองขึ้นทุกทีจนไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตา คิดว่าตนเป็นสัตว์ที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หรือคำว่าไม่สำเร็จ
ทว่าในปีนี้ที่ประเทศจีนเกิดโรค SARS ขึ้นมาก่อน อย่างฉับพลันและรุนแรงก่อให้เกิดความหวาดหวั่นไปทั่วโลก วัณโรคที่โดยพื้นฐานสามารถควบคุมได้แล้ว กลับปรากฏขึ้นมาอีกและมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายออกไป
เชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ปรากฏเปลี่ยนแปลงฉับพลันอย่างต่อเนื่อง รุกรานก่อกวนมนุษย์หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรียและเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่เกิดจากการต่อต้านและดื้อยา ล้วนทำให้ต่างพากันตระหนักว่ามนุษยชาติปัจจุบันมีร่างกายอ่อนแอและเปราะบางเนื่องเพราะมีภูมิคุ้มกันชีวิตต่ำ ขณะที่โรคมะเร็งเหนือชั้นหรือ "โรคเอดส์" ยังไม่สามารถพิชิตได้ เรายังถูกกระหน้ำซ้ำด้วย เชื้อ SARS ที่มาแรงกันอีก
ถึงเวลากันแล้วที่เราจะต้องหันมาสำรวจตัวเองกันเใหม่ถึงรูปแบบการดำเนินชีวิต และรูปแบบของแนวคิด แล้วเราจะสำรวจกันอย่างไรเล่า?
ในการจะเอาชนะเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ภูมิต้านทานของร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ตัวยาเป็นสิ่งสำคัญรองลงไป มีข้อชวนสงสัยว่า คนที่ป่วยเป็นโรค SARS พร้อมกัน ทำไมบางคนร่างกายแข็งแรงฟื้นคืนเป็นปกติได้ ในขณะที่บางคนถึงแก่ความตาย คำตอบอาจคือ เป็นเพราะเราต่างมีภูมิต้านทานโรคไม่เท่ากัน
ภูมิป้องกันโรคสามารถควบคุม ทั้งส่งผลกระทบและเสริมสร้างร่างกายในด้านการรักษาสภาพที่เป็นปกติ ทำหน้าที่ทดแทนและฟื้นฟูร่างกายได้ แต่ที่น่าเสียใจก็คือ ปัจจัยการดำรงชีวิตที่อุดมสมบูรณ์เกินไป สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติถูกทำลายไป ทำให้สิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกของพวกเราส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการป้องกันและการต่อสู้กับเชื้อโรคของระบบภูมิป้องกันโรค
สินค้าแปรรูปจำนวนมากในซูเปอร์มาร์เกตล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ประกอบด้วยสารกันบูด สัตว์ที่กินเป็นอาหารก็ล้วนแต่ถูกเร่งให้คลอดเร่งให้โตด้วยฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ อยากจะขอเตือนผู้ที่ชอบรับประทานเนื้อดิบ ปลาดิบ กุ้งสด ให้ระมัดระวังไว้เป็นพิเศษว่า แม้ว่าสัตว์เหล่านี้ได้มีการใช้ยาปฏิชีวนะแล้ว แต่ใช่ว่าจะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ เพราะเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยายังคงตกค้างอยู่ในร่างกายเรา รอจนกระทั่งสบโอกาสก็จะเปิดฉากโจมตีเราจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ
นอกจากนี้ อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะของทอดด้วยน้ำมัน ล้วนมีผลทำให้เกิด "อนุมูลอิสระ" ที่เกิดจากการรวมตัวกับอ๊อกซิเจนกลายเป็นสารที่สามารถทำลายเซลล์ของภูมิป้องกันโรคได้
การรับประทานน้ำตาลเป็นจำนวนมากในครั้งเดียวก็เช่นกัน สามารถทำให้ประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันโรคลดลง หรืออาจถึงหยุดชะงักไปชั่วคราวได้ มีบางคนโดยเฉพาะที่เป็นเด็ก หลังจากรับประทานขนมหวานเข้าไปในคราวเดียวกันเป็นจำนวนมากแล้วนั้น อย่างเช่น รับประทานมากกว่า อี กง เหลี่ยง ซึ่งก็คือ 100 กรัม ก็เกิดการเจ็บคอ ลิ้นแตกเป็นแผลเปื่อยหรือเป็นตุ่มพุพอง ส่วนผู้ป่วยโรคเบาหวานก็เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการอักเสบขึ้นมาแล้วก็หายยากมาก ดังนั้น จึงต้องผ่าตัดตัดมือหรือเท้าออกไปส่วนหนึ่งบ่อยๆ ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยการพยายามดูแลรักษาไม่ให้ส่วนปลายของมือเท้าทั้งสี่และร่างกายติดเชื้อ
ปีที่แล้วผมกลับไปประเทศจีน ได้ไปที่ตำบลเล็กๆ อยู่ติดชายแดนแห่งหนึ่งและพักอยู่หลายวัน มีคุณครูโรงเรียนประถมคนหนึ่งเดินทาง 100 กว่ากิโลเมตร พาลูกสาวอายุ 7 ขวบมาหาผมปรึกษาเรื่องทีี่เต้านมของเธอมีก้อนเนื้องอกอยู่ 2 ก้อน โรงพยาบาลประจำอำเภอต้องการช่วงชิงเวลาปิดเทอมฤดูร้อน 2-3 วันนี้ของเด็ก ทำการผ่าตัดก้อนเนื้องอกทั้งสองทิ้งเสีย เธอร้อนใจเพราะเป็นห่วงว่า ถ้าตัดเนื้องอกออกไปแล้ว จะเป็นขึ้นมาใหม่อีกหรือไม่? แล้วต่อไปลูกสาวคนนี้จะทำอย่างไร?
หลังจากที่ผมตรวจดูเด็กหญิงอายุ 7 ขวบนี้แล้ว ได้บอกคุณแม่ของเธอว่านี่ไม่ใช่เนื้องอก แต่คือเต้านมที่เจริญเติบโตเร็วก่อนกำหนด ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกโดยสิ้นเชิง จึงไม่ต้องผ่าตัด แต่ปัญหายังไม่หมดเพราะอดสงสัยไม่ได้ว่า พฤติกรรมการบริโภคของเธอเป็นอย่างไร จึงสอบถามและได้ความว่า เธอชอบกินปีกไก่มากที่สุด และกินได้ทุกวัน จึงได้รับฮอร์โมนที่ปนอยู่ในอาหารไก่เข้าไปด้วย
นอกจากนี้ การดื่มกาแฟ กินช็อกโกแลต หรือน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนมากเกินไป ทำให้การสร้างตัวแก้พิษแบคทีเรีย (Antibody) ของเซลล์ภูมิต้านทานลดน้อยลง และกดความสามารถในการเกิดเซลล์ใหม่และการเพิ่มเซลล์ของเซลล์ภูมิป้องกันโรคอีกด้วย
การดื่มเหล้ามากเกินไปก็เช่นกัน ทำให้เซลล์ภูมิป้องกันโรคลดปริมาณการผลิตเซลล์ฮอร์โมนลง ซึ่งทำให้เซลล์ภูมิป้องกันโรคเกิดความเชื่องช้าและลดสมรรถภาพในการแยกแยะปัจจัยที่ไม่ดีของร่างกาย พิษท็อกซินในบุหรี่ก็ทำให้สมรรถภาพของเซลล์ภูมิป้องกันโรคลดต่ำลง ผลกระทบที่ไม่ดีของสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกต่อระบบภูมิป้องกันโรคนั้น นำมาซึ่งผลกระทบที่เลวร้ายให้กับร่างกาย 2 ประการ คือ
ประการแรกคือ ภูมิป้องกันโรคต่ำลง ทำให้ติดเชื้อ และเจ็บป่วยได้ง่าย แหละเมื่อเจ็บป่วยแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้โดยเร็ว แม้จะรักษาหายแล้ว ก็กลับเป็นขึ้นมาใหม่ได้ง่ายอีก สิ่งนี้สืบเนื่องมาจากระดับปฏิกิริยาต่อการป้องกันโรคต่ำ การระดมกำลังของระบบภูมิป้องกันโรคไม่รวมศูนย์ เมื่อไม่ทันเวลาก็ไม่สามารถเกิดผลในการโอบล้อม กลืนกิน ละลาย กำจัดปัจจัยความเจ็บป่วยที่ผิดปกติทั้งหมดได้
อีกประการหนึ่งคือ ปฏิกิริยาต่อการป้องกันโรครุนแรง ในส่วนที่คนธรรมดาทั่วไปแต่ละคนล้วนสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเงื่อนไขทางภววิสัยต่างๆ ของความหนาว ร้อน กลิ่น รส เป็นต้นได้นั้น ส่วนนี้กลับแสดงออกถึงความรู้สึกที่ไวมาก ไม่ว่าตอนไหนก็สามารถเป็นขึ้นมาได้ เช่น การจาม ไอ เป็นไข้ กลัวหนาว ถึงกระทั่งเป็นภูมิแพ้ ท้องเดิน ผิวหนังคัน เป็นต้น นี่ก็คือ "ความรู้สึกไวเกินไป" ที่พวกเราพบกันบ่อยๆ
สิ่งที่รุนแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือสมรรถภาพในการแยกแยะปัจจัยที่ไม่ดีของเซลล์ภูมิป้องกันโรคลดต่ำลง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้การต่อสู้กับศัตรูของร่างกายได้ผลแล้ว มันยังปฏิบัติต่อเซลล์ที่ปกติภายในร่างกายของตนเองเป็นดั่งปัจจัยที่ไม่ดี ดังนั้น จึงก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่ทำลายล้างซึ่งกันและกันในร่างกายของตนเอง
อย่างเช่น โรคผิวหนังพุพองมีน้ำเหลือง กระดูกข้อต่ออักเสบจากโรครูมาติซึ่ม ไตอักเสบ โรคหอบ ปวดระดู ไมเกรน เป็นตุ่มพุพอง แท้งเป็นประจำ จมูกอักเสบ เป็นต้น
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า/วิธีการจัดการกับปรากฏการณ์ภูมิแพ้)
บรรยายที่สหกรณ์เมอนฟาร์ม สาขาแจ้งวัฒนะ
ในยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สภาพธรรมชาติแท้กลับถดถอยมนุษยชาติดูเหมือนจะหยิ่งผยองขึ้นทุกทีจนไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตา คิดว่าตนเป็นสัตว์ที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หรือคำว่าไม่สำเร็จ
ทว่าในปีนี้ที่ประเทศจีนเกิดโรค SARS ขึ้นมาก่อน อย่างฉับพลันและรุนแรงก่อให้เกิดความหวาดหวั่นไปทั่วโลก วัณโรคที่โดยพื้นฐานสามารถควบคุมได้แล้ว กลับปรากฏขึ้นมาอีกและมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายออกไป
เชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ปรากฏเปลี่ยนแปลงฉับพลันอย่างต่อเนื่อง รุกรานก่อกวนมนุษย์หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรียและเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่เกิดจากการต่อต้านและดื้อยา ล้วนทำให้ต่างพากันตระหนักว่ามนุษยชาติปัจจุบันมีร่างกายอ่อนแอและเปราะบางเนื่องเพราะมีภูมิคุ้มกันชีวิตต่ำ ขณะที่โรคมะเร็งเหนือชั้นหรือ "โรคเอดส์" ยังไม่สามารถพิชิตได้ เรายังถูกกระหน้ำซ้ำด้วย เชื้อ SARS ที่มาแรงกันอีก
ถึงเวลากันแล้วที่เราจะต้องหันมาสำรวจตัวเองกันเใหม่ถึงรูปแบบการดำเนินชีวิต และรูปแบบของแนวคิด แล้วเราจะสำรวจกันอย่างไรเล่า?
ในการจะเอาชนะเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ภูมิต้านทานของร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ตัวยาเป็นสิ่งสำคัญรองลงไป มีข้อชวนสงสัยว่า คนที่ป่วยเป็นโรค SARS พร้อมกัน ทำไมบางคนร่างกายแข็งแรงฟื้นคืนเป็นปกติได้ ในขณะที่บางคนถึงแก่ความตาย คำตอบอาจคือ เป็นเพราะเราต่างมีภูมิต้านทานโรคไม่เท่ากัน
ภูมิป้องกันโรคสามารถควบคุม ทั้งส่งผลกระทบและเสริมสร้างร่างกายในด้านการรักษาสภาพที่เป็นปกติ ทำหน้าที่ทดแทนและฟื้นฟูร่างกายได้ แต่ที่น่าเสียใจก็คือ ปัจจัยการดำรงชีวิตที่อุดมสมบูรณ์เกินไป สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติถูกทำลายไป ทำให้สิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกของพวกเราส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการป้องกันและการต่อสู้กับเชื้อโรคของระบบภูมิป้องกันโรค
สินค้าแปรรูปจำนวนมากในซูเปอร์มาร์เกตล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ประกอบด้วยสารกันบูด สัตว์ที่กินเป็นอาหารก็ล้วนแต่ถูกเร่งให้คลอดเร่งให้โตด้วยฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ อยากจะขอเตือนผู้ที่ชอบรับประทานเนื้อดิบ ปลาดิบ กุ้งสด ให้ระมัดระวังไว้เป็นพิเศษว่า แม้ว่าสัตว์เหล่านี้ได้มีการใช้ยาปฏิชีวนะแล้ว แต่ใช่ว่าจะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ เพราะเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยายังคงตกค้างอยู่ในร่างกายเรา รอจนกระทั่งสบโอกาสก็จะเปิดฉากโจมตีเราจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ
นอกจากนี้ อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะของทอดด้วยน้ำมัน ล้วนมีผลทำให้เกิด "อนุมูลอิสระ" ที่เกิดจากการรวมตัวกับอ๊อกซิเจนกลายเป็นสารที่สามารถทำลายเซลล์ของภูมิป้องกันโรคได้
การรับประทานน้ำตาลเป็นจำนวนมากในครั้งเดียวก็เช่นกัน สามารถทำให้ประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันโรคลดลง หรืออาจถึงหยุดชะงักไปชั่วคราวได้ มีบางคนโดยเฉพาะที่เป็นเด็ก หลังจากรับประทานขนมหวานเข้าไปในคราวเดียวกันเป็นจำนวนมากแล้วนั้น อย่างเช่น รับประทานมากกว่า อี กง เหลี่ยง ซึ่งก็คือ 100 กรัม ก็เกิดการเจ็บคอ ลิ้นแตกเป็นแผลเปื่อยหรือเป็นตุ่มพุพอง ส่วนผู้ป่วยโรคเบาหวานก็เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการอักเสบขึ้นมาแล้วก็หายยากมาก ดังนั้น จึงต้องผ่าตัดตัดมือหรือเท้าออกไปส่วนหนึ่งบ่อยๆ ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยการพยายามดูแลรักษาไม่ให้ส่วนปลายของมือเท้าทั้งสี่และร่างกายติดเชื้อ
ปีที่แล้วผมกลับไปประเทศจีน ได้ไปที่ตำบลเล็กๆ อยู่ติดชายแดนแห่งหนึ่งและพักอยู่หลายวัน มีคุณครูโรงเรียนประถมคนหนึ่งเดินทาง 100 กว่ากิโลเมตร พาลูกสาวอายุ 7 ขวบมาหาผมปรึกษาเรื่องทีี่เต้านมของเธอมีก้อนเนื้องอกอยู่ 2 ก้อน โรงพยาบาลประจำอำเภอต้องการช่วงชิงเวลาปิดเทอมฤดูร้อน 2-3 วันนี้ของเด็ก ทำการผ่าตัดก้อนเนื้องอกทั้งสองทิ้งเสีย เธอร้อนใจเพราะเป็นห่วงว่า ถ้าตัดเนื้องอกออกไปแล้ว จะเป็นขึ้นมาใหม่อีกหรือไม่? แล้วต่อไปลูกสาวคนนี้จะทำอย่างไร?
หลังจากที่ผมตรวจดูเด็กหญิงอายุ 7 ขวบนี้แล้ว ได้บอกคุณแม่ของเธอว่านี่ไม่ใช่เนื้องอก แต่คือเต้านมที่เจริญเติบโตเร็วก่อนกำหนด ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกโดยสิ้นเชิง จึงไม่ต้องผ่าตัด แต่ปัญหายังไม่หมดเพราะอดสงสัยไม่ได้ว่า พฤติกรรมการบริโภคของเธอเป็นอย่างไร จึงสอบถามและได้ความว่า เธอชอบกินปีกไก่มากที่สุด และกินได้ทุกวัน จึงได้รับฮอร์โมนที่ปนอยู่ในอาหารไก่เข้าไปด้วย
นอกจากนี้ การดื่มกาแฟ กินช็อกโกแลต หรือน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนมากเกินไป ทำให้การสร้างตัวแก้พิษแบคทีเรีย (Antibody) ของเซลล์ภูมิต้านทานลดน้อยลง และกดความสามารถในการเกิดเซลล์ใหม่และการเพิ่มเซลล์ของเซลล์ภูมิป้องกันโรคอีกด้วย
การดื่มเหล้ามากเกินไปก็เช่นกัน ทำให้เซลล์ภูมิป้องกันโรคลดปริมาณการผลิตเซลล์ฮอร์โมนลง ซึ่งทำให้เซลล์ภูมิป้องกันโรคเกิดความเชื่องช้าและลดสมรรถภาพในการแยกแยะปัจจัยที่ไม่ดีของร่างกาย พิษท็อกซินในบุหรี่ก็ทำให้สมรรถภาพของเซลล์ภูมิป้องกันโรคลดต่ำลง ผลกระทบที่ไม่ดีของสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกต่อระบบภูมิป้องกันโรคนั้น นำมาซึ่งผลกระทบที่เลวร้ายให้กับร่างกาย 2 ประการ คือ
ประการแรกคือ ภูมิป้องกันโรคต่ำลง ทำให้ติดเชื้อ และเจ็บป่วยได้ง่าย แหละเมื่อเจ็บป่วยแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้โดยเร็ว แม้จะรักษาหายแล้ว ก็กลับเป็นขึ้นมาใหม่ได้ง่ายอีก สิ่งนี้สืบเนื่องมาจากระดับปฏิกิริยาต่อการป้องกันโรคต่ำ การระดมกำลังของระบบภูมิป้องกันโรคไม่รวมศูนย์ เมื่อไม่ทันเวลาก็ไม่สามารถเกิดผลในการโอบล้อม กลืนกิน ละลาย กำจัดปัจจัยความเจ็บป่วยที่ผิดปกติทั้งหมดได้
อีกประการหนึ่งคือ ปฏิกิริยาต่อการป้องกันโรครุนแรง ในส่วนที่คนธรรมดาทั่วไปแต่ละคนล้วนสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเงื่อนไขทางภววิสัยต่างๆ ของความหนาว ร้อน กลิ่น รส เป็นต้นได้นั้น ส่วนนี้กลับแสดงออกถึงความรู้สึกที่ไวมาก ไม่ว่าตอนไหนก็สามารถเป็นขึ้นมาได้ เช่น การจาม ไอ เป็นไข้ กลัวหนาว ถึงกระทั่งเป็นภูมิแพ้ ท้องเดิน ผิวหนังคัน เป็นต้น นี่ก็คือ "ความรู้สึกไวเกินไป" ที่พวกเราพบกันบ่อยๆ
สิ่งที่รุนแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือสมรรถภาพในการแยกแยะปัจจัยที่ไม่ดีของเซลล์ภูมิป้องกันโรคลดต่ำลง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้การต่อสู้กับศัตรูของร่างกายได้ผลแล้ว มันยังปฏิบัติต่อเซลล์ที่ปกติภายในร่างกายของตนเองเป็นดั่งปัจจัยที่ไม่ดี ดังนั้น จึงก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่ทำลายล้างซึ่งกันและกันในร่างกายของตนเอง
อย่างเช่น โรคผิวหนังพุพองมีน้ำเหลือง กระดูกข้อต่ออักเสบจากโรครูมาติซึ่ม ไตอักเสบ โรคหอบ ปวดระดู ไมเกรน เป็นตุ่มพุพอง แท้งเป็นประจำ จมูกอักเสบ เป็นต้น
(อ่านต่อวันจันทร์หน้า/วิธีการจัดการกับปรากฏการณ์ภูมิแพ้)