ขณะกำลังจะเปิดฉากสัปดาห์นี้...ดันหวนไปคิดถึงอดีตเลขาธิการภาคใต้ หนึ่งในกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ผู้มีชื่อเรียกขานว่า “ลุงศรี” (ชำนาญ บรรจงเกลี้ยง) ขึ้นมามิได้!!! ด้วยเหตุเพราะช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และยังต้องหา “ลำไพ่” เลี้ยงปาก-เลี้ยงท้องตัวเองและลูกหลาน ด้วยการซื้อทอง-ขายทองเป็นงานอดิเรก เลยต้องโทรศัพท์มาถามข่าวคราวสถานการณ์ความเป็นไปของโลก พร้อมๆ กับการขึ้นๆ-ลงๆ ของ “ราคาทอง” แบบชนิดวันละ3 เวลาหลังอาหาร...
และถ้าหากท่านยังมีชีวิตอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้...โอกาสที่ “ลุงศรี” จะกลายสภาพจาก “ชนชั้นกรรมาชีพ”ผู้ยังยึดมั่นอยู่ในอุดมคติ-อุดมการณ์มาร์กซ์-เลนินวงเล็บเหมา เจ๋อตง อาจกลายไปเป็น “นายทุนน้อย”หรือเผลอๆ อาจถึงขั้น “นายทุนชาติ” เอาเลยก็ไม่แน่!!! ด้วยเหตุเพราะ “ราคาทอง” ทุกวันนี้ มันพุ่งระเบิดเถิดเทิงแบบชนิดทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ใกล้ๆ จะถึงอวกาศอย่างแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อจนได้ หรืออย่างที่คุณ “พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(YLG) ท่านได้เปิดเผยความรู้สึกเอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่าเอาแค่เฉพาะปี พ.ศ.2568 ที่กำลังจะผ่านไป ราคาทองคำตลอดทั้งปีช่างเป็นอะไรที่น่าซี๊ดๆ ซ๊าดๆ น่าประทับใจเอามากๆ คือมันพุ่งขึ้นไปถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แถมยังทำสถิติหรือทำสิ่งที่เรียกๆ กันว่า “New High” ไปไม่ต่ำกว่า50 ครั้งเป็นอย่างน้อย...
ส่งผลให้ “ราคาทอง” ในตลาดโลก ปาเข้าไปถึง 4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 69,500-72,150 บาทต่อทองคำหนึ่งบาท แถมยังทำท่าว่าไม่คิดจะ “หัวตก”มีแต่จะ “เงยหัว” ยิ่งๆ ขึ้นไป ตลอดช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ หรือทำท่าว่าจะขึ้นไปถึง 4,721-4,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ เพราะแค่ช่วงวันศุกร์ก่อนสิ้นปีไม่กี่วัน (26 ธ.ค.)...ราคาทองที่ตลาด “New York Comex Exchange” ก็ทะลุไปถึง 4,560 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น...โอกาสที่จะทะลุไปถึง 4,900 หรือไปถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงปีใหม่-ฟ้าใหม่ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
โดยถ้าสรุปรวมความกันแบบสั้นๆ-ง่ายๆ...ก็คงหนีไม่พ้นที่จะบอกว่า ระดับ “ราคาทอง” ที่เป็นไปในแบบพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ กู่ไม่กลับ ในลักษณะเช่นนี้ อาจถือตัวชี้วัดถึงความสับสนอลหม่าน ความไม่แน่ใจ-ไม่มั่นใจต่อ “ฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลก” ในหมู่บรรดาผู้ซื้อทอง-ขายทองทั้งหลาย ที่ต่างต้องหันไปคว้า หันไปยึดต่อสิ่งที่ถือเป็น “หลักประกัน” สำคัญที่สุดกว่าสิ่งอื่นใด หรือกว่า “ทรัพย์สิน” ใดๆ เท่าที่เคยมีมาในโลกใบนี้ และนั่นก็คือ “ทองคำ” นั่นเอง!!! หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...ราคาทองนี่แหละที่สามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดถึงฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกได้อย่างค่อนข้างชัดเจนที่สุด และการที่ราคาทองมันขึ้นเอาๆ ไม่ว่าจะส่งผลให้ใครรวย-ใครจน ใครติดดอย-ไม่ติดดอย หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ แต่มันกำลังเป็นตัวแสดงให้เห็นว่าโลกใบนี้ของหมู่เฮาทั้งหลาย กำลังใกล้จะถึง “จุดแห่งความพลิกผัน” ส่วนจะแบบชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน
หรือหลังตีนเป็นหน้ามือ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...
ยิ่งถ้ามองไปยังความเคลื่อนไหวของบรรดา “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ ที่ได้อุบัติขึ้นมาในโลกนี้อย่างเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ก็แทบมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...มันกำลังใกล้จะเข้าสู่จุดที่บรรดานักประวัติศาสตร์ทั้งหลายเขาเรียกขานกันในนาม “กับดักทูซิดิเดส” (Thucydides Trap)...นั่นแล!!! คือจุดที่จะนำไปสู่ “การปะทะขัดแย้ง” ระหว่างผู้ที่เคยมีอำนาจสูงสุด และพยายามควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามความปรารถนา ความต้องการ หรือด้วยการกำหนดให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตาม “มาตรฐาน” ของตัวเองกับผู้ที่กำลังผงาดขึ้นมาเป็นอำนาจใหม่ๆ และหนีไม่พ้นต้องดิ้นรน ต้องรื้อถอนสิ่งที่ถูกกำหนดกฎเกณฑ์ไว้อย่างไม่สอดคล้องกับความปรารถนา ความต้องการของตัวเอง โดยมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น เช่นเดียวกับครั้งที่เคยเกิดการปะทะขัดแย้งระหว่างบรรดานครรัฐต่างๆ ในอาณาจักรกรีก เมื่อหลายต่อหลายพันปีที่แล้ว และได้ถูกบรรยายไว้โดยอดีตนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ผู้มีนามว่า “Thucydides” จนกลายมาเป็นความเชื่อ เป็นทฤษฎีถึงการปะทะขัดแย้งในลักษณะเช่นนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด!!!
และนั่นเอง...ที่ทำให้ “ความเคลื่อนไหว” ของบรรดา “ขั้วอำนาจ”ต่างๆ ในโลกช่วงนี้ หรือนับจากนี้ต่อไป จึงเป็นอะไรที่ “ยากซ์ซ์ซ์”เอามากๆ ที่จะหา “จุดลงตัว” หรือจุดที่จะสามารถประนีประนอมยอมความกันได้ง่ายๆ ความพยายามดิ้นรนของขั้วอำนาจเดิมเช่นคุณพ่ออเมริกา ที่พยายามหวนกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่แบบ “America Great Again” โดยผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า”ไม่ว่าด้วยการ “ถีบยุโรปทิ้ง”เพื่อเอาตัวรอด แล้วหันมา “ปัดกวาดสวนหลังบ้าน” ของตัวเอง เพื่ออาจพอช่วยให้ยังสามารถดำรงรักษาความยิ่งใหญ่ ได้แบบเมื่อครั้งที่ “กระทรวงสงคราม” ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กระทรวงกลาโหม” หรือยุคที่ “ลัทธิมอนโร”(Monroe Doctrine) ยังคงเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ เหนือไปกว่า “ลัทธิดอนโร”(Donroe Doctrine) ของ “ทรัมป์บ้า” ทุกวันนี้หลายต่อหลายเท่า...
แต่เอาไป-เอามาแล้ว...การดำเนินไปในลักษณะที่ว่า ก็ไม่ได้ช่วยให้เกิด “จุดลงตัว” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งกลายเป็น “ตัวเร่ง” ให้เกิดการปะทะขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ ทั้งหลาย หนักยิ่งขึ้นไปอีก เอาง่ายๆ ว่า...แค่ดูจากท่าทีของขั้วอำนาจใหม่ๆ ที่ถูกเรียกขานในนาม “มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา” อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย เป็นต้น ที่มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...นับวันจะออกอาการเสียงแข็ง เสียงห้าว เสียงกร้าวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้อ่อนหวาน นุ่มนวล ละมุนละไม เมื่อต้องเจอ “ความแตกต่าง” ระหว่างขั้วอำนาจเหล่านี้ อุบัติขึ้นมาในแต่ละพื้นที่ แต่ละซีกโลก หรือใน “แนวรบ” ใดๆ ก็ตาม หรือจากที่เคยหนักไปทางถนัดในการเล่น “หมากล้อม” ก็ชักจะเริ่มหันไปโขก “หมากรุก”เตรียมที่จะกินขุน กินเรือ กันกลางกระดาน ต่างไปจากเมื่อหลายสิบปีที่แล้วแบบคนละเรื่อง-ละม้วน...
ดังนั้น...การคิดจะกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่แบบเดิมๆ ของอเมริกา ไม่ว่าด้วยการ “ปัดกวาดสวนหลังบ้าน” หรือการคิดจะบุกยึดประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลา คิดยึดเกาะกรีนแลนด์มาเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา อันได้ถูกอธิบายไว้ในคำพูด คำจา ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” แบบชนิดโจ่งๆ แจ้งๆว่า... “ถ้าคุณลองมองไปดูรอบๆ ไม่ว่าจากบนหรือจากล่าง คุณจะเห็นพวกรัสเซียและจีน ล่องเรือไปทั่วทุกพื้นที่เหล่านี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหาทางที่จะทำให้เกิดความมั่นคงต่อประเทศของเรา”หรือสะท้อนให้เห็นถึง “จุดมุ่งหมายที่แท้จริง” ของการคิดจะยึดเกาะกรีนแลนด์ ผนวกแคนาดา ยึดคลองปานมา บุกเวเนซุเอลา ที่อาจลุกลามไปถึงเม็กซิโก โคลอมเบีย ฯลฯ เอาเลยก็ไม่แน่ เพราะเมื่อวัน-สองวันมานี้ ผู้นำอเมริกาก็เพิ่งออกมาขู่คำราม เตือนประธานาธิบดี “Gustavo Petro”แห่งโคลอมเบียว่าให้ “ระวัง...ตูดตัวเอง” (Watch his ass) เอาไว้ให้ดี!!!
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดาประเทศในละตินอเมริกา ที่เคยถูกอเมริกาตั้งแต่ยุค “ลัทธิมอนโร” กดหัวให้ต้องยอมศิโรราบ ยอมเป็นสวนหลังบ้านอเมริกามาโดยตลอด จะออกมาต่อต้าน คัดค้านการกระทำของคุณพ่ออเมริกาในช่วงนี้เท่านั้น “มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา”หรือ “ขั้วอำนาจใหม่” อย่างจีนและรัสเซียก็พร้อมที่จะแสดงออกถึงท่าทีที่แข็งกร้าวไม่น้อยไปกว่าบรรดาชาติละตินอเมริกาทั้งหลายแม้ว่ากองทัพอเมริกันจะขนเรือ ขนอาวุธ เพิ่มเข้าไปในทะเลแคริบเบียนไปอีกถึงขั้นไหน ไม่ใช่แค่เฉพาะเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรือดำน้ำนิวเคลียร์ กองเรือพิฆาต ฯลฯ ล่าสุด...ยังเติมเครื่องบินรบรุ่นล่าสุด “F-35 A” หรือเครื่องบินสำหรับสงครามอิเล็กทรอนิกส์ “EC-130 H”ฯลฯ เข้าไปล้อมกรอบประเทศเล็กๆ แบบไม่คิดจะยอมให้หายใจต่อไปได้อีกเลย แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ “มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา” อย่างจีนและรัสเซียยอมหันมาพูดจาภาษาดอกไม้กับอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย...
บรรดาผู้นำรัสเซีย...ไม่ว่าตั้งแต่ตัวประธานาธิบดี รัฐมนตรีต่างประเทศ ต่างออกมายืนหยัดแสดงความสนับสนุนรัฐบาลเวเนซุเอลาของประธานาธิบดี “Nicolas Maduro” ในการปกป้องอธิปไตยตัวเองแบบเหนียวแน่นหนึบหนับ ไปจนถึงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อย่างคุณน้อง “Maria Zakharova” ที่สรุปถึงการ “ยึดเรือน้ำมัน” เวเนซุเอลาโดยคุณพ่ออเมริกาแบบชนิด “แรงส์ส์ส์” เอามากๆ ดังคำพูดที่ว่า...“เรากำลังเป็นสักขีพยานแห่งความไร้ขื่อแป การปล้นทรัพย์ผู้อื่น การปล้นสะดมทางทะเลและการโจรกรรมที่ถูกลืมไปนานแล้วกำลังฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่” ส่วนคุณพี่จีนนั้น...เห็นว่าช่วงล่าสุด ถึงกับเริ่ม “ฝึกการซ้อมรบเสมือนจริง” ขึ้นมาในอ่าวคิวบาและอ่าวเม็กซิโกกันมั่งแล้ว!!! ไม่ต่างไปจากคุณปู่อิหร่าน พันธมิตรสำคัญอีกรายของเวเนซุเอลา ที่ไม่ใช่แค่หันมายึดเรือน้ำมันในช่องแคบ “Hormuz” เพื่อแก้แค้น เอาคืน ต่อการที่คุณพ่ออเมริกายึดเรือที่จะขนส่งน้ำมันให้อิหร่าน จนทำให้เส้นทางขนส่งน้ำมันกว่า20 เปอร์เซ็นต์ของโลก เกิดความสับสนอลหม่านตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่ยังได้ป่าวประกาศที่จะ “ขยายเขตซ้อมรบทางเรือ” (Tripartite naval drill) ออกไปกว่าเฉพาะเขตน่านน้ำในทะเลอาหรับเท่านั้น แต่จะเลยไปถึงเขตน่านน้ำแอฟริกาใต้ หรือขยายการซ้อมรบไปยังกลุ่มประเทศ “BRICS”เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
พูดง่ายๆ ว่า...ในเมื่อ “เป้าหมาย”ของความพยายามทำให้อเมริกากลับคืนมาสู่ความยิ่งใหญ่ของ “ทรัมป์บ้า” มุ่งตรงไปสู่การสกัดกั้น การลิดรอนอำนาจของ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างรัสเซียและจีนอย่างเห็นได้โดยชัดเจน แถมยังหนักไปทางเอากันแบบดื้อๆ ทื่อๆ ไม่ต่างไปจาก “ใส่เสื้อแดง-แขวนกระดิ่ง-ปล้นกันกลางวันแสกๆ” จนแทบไม่หลงเหลือ “ความชอบธรรม” ใดๆ เอาไว้เลยแม้แต่น้อย การต่อต้าน คัดค้าน หรือการแสดงตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอเมริกาอย่างตรงไป-ตรงมา โดยไม่จำเป็นต้องนุ่มนิ่ม นุ่มนวล เสียงอ่อน เสียงหวานอีกต่อไป จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างกำลังก้าวเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “กับดักทูซิดิเดส”หรือ “การปะทะขัดแย้ง” ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และอันนี้นี่แหละ...ที่จะกลายเป็นแรงส่งให้ “ราคาทอง”หรือแม้แต่ “ราคาน้ำมัน” ช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่พุ่งระเบิดเถิดเทิงชนิดรั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่เอาเลยก็ว่าได้!!!


