หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
แทบทุกผลสำรวจความคิดเห็นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นของสำนักใด ต่างสะท้อนภาพเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ คือพรรคประชาชนนำเป็นอันดับหนึ่งในระดับคะแนนนิยมรวมของประเทศ บางโพลนำห่าง บางโพลนำเฉือน แต่แทบไม่มีโพลใดที่พรรคประชาชนหลุดจากตำแหน่งผู้นำ ภาพนี้สร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ทำให้หลายคนเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นชัยชนะของพรรคการเมืองอุดมการณ์ เป็นการสานต่อพลังของคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางเมืองที่เคยเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทยมาแล้วในการเลือกตั้งครั้งก่อน
แต่หากการวิเคราะห์การเมืองหยุดอยู่เพียงการอ่านโพล ความเข้าใจนั้นอาจเป็นเพียงภาพครึ่งเดียวของความจริง เพราะการเมืองไทยไม่เคยตัดสินกันที่คะแนนนิยมรวมเพียงอย่างเดียว หากตัดสินกันที่โครงสร้างอำนาจในสนามจริง โดยเฉพาะภายใต้ระบบเลือกตั้งที่ให้ความสำคัญกับ ส.ส.เขตถึง 400 ที่นั่ง ซึ่งเป็นสนามที่โพลไม่สามารถสะท้อนความจริงได้ครบถ้วน
ผมรู้ว่าโพลไม่โกหก แต่โพลวัดคนละสิ่งกับการเลือกตั้งจริง โพลวัดทัศนคติ ความรู้สึก และความชอบของผู้ตอบในช่วงเวลาหนึ่ง ขณะที่การเลือกตั้งวัดการตัดสินใจสุดท้ายภายใต้ข้อจำกัดจริงของชีวิตและต้องยอมรับว่ากระสุนก็ยังมีอำนาจนำกระแสในหลายพื้นที่ แน่นอนว่าถ้าวัดกันด้วยโพล พรรคประชาชนจะได้เปรียบโพลทุกพรรค เพราะฐานคะแนนหลักของพรรคตั้งแต่ต้นมาจากชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา ใช้โซเชียลมีเดียสูง และพร้อมแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างเปิดเผย กลุ่มนี้คือกลุ่มเดียวกับที่ถูกเข้าถึงได้ง่ายในการทำโพล และเป็นกลุ่มที่มีวินัยในการตอบโพลสูง ตัวเลขจึงออกมานำอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนมีพลังทางการเมืองมหาศาล
เมื่อวันก่อนผมนั่งดูการดีเบตผ่านจอของไทยรัฐ ปรากฏว่าคนที่เข้ามาคอมเมนต์ส่วนใหญ่เชียร์พรรคประชาชน พิมพ์กันแบบรัวๆ และก็เป็นไปถามคาดที่เท้ง ณัฐพล เรืองปัญญาวุฒิ ชนะในผลโหวตอย่างท่วมท้น
แต่การเลือกตั้งจริง โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและพื้นที่ชนบท ไม่ได้เป็นการแข่งขันว่าใคร “ถูกใจ” มากที่สุด หากเป็นการแข่งขันว่าใคร “มีโอกาสชนะ” มากที่สุด ผู้มีสิทธิ์จำนวนมากไม่ได้เลือกพรรคที่ตนชอบที่สุด แต่เลือกพรรคที่สามารถกันไม่ให้ฝ่ายที่ตนไม่ต้องการชนะได้ นี่คือพฤติกรรมการเลือกแบบยุทธศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นจริงแทบทุกการเลือกตั้ง แต่แทบไม่เคยปรากฏในแบบสอบถามของโพล
คะแนนของพรรคประชาชนยังมีลักษณะกระจุกตัวสูง ชนะขาดในบางเขตเมือง แต่ไม่กระจายพอในเขตชนบทจำนวนมาก ระบบเขตทำให้คะแนนที่ชนะถล่มทลายในพื้นที่หนึ่ง ไม่สามารถนำไปช่วยพื้นที่ข้างเคียงได้เลย พรรคจึงอาจดูแรงในภาพรวมประเทศ แต่ชนเพดานในสนามเขตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อใส่ปัจจัยทั้งหมดเข้ามาพิจารณาอย่างเป็นระบบ การคาดการณ์ที่สมเหตุสมผลจึงชี้ว่า พรรคประชาชนจะได้ ส.ส.เขตราว 55-60 ที่นั่ง ขณะที่บัญชีรายชื่อยังสูงถึงราว 40 ที่นั่ง รวมประมาณ 95-100 ที่นั่ง
ตัวเลขนี้ต่ำกว่าความคาดหวังของผู้สนับสนุนจำนวนมาก และต่ำกว่าภาพในโพลอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้หมายความว่าพรรคประชาชนอ่อนแอ หากหมายความว่า พรรคกำลังเผชิญเพดานเชิงโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อน
ในการเลือกตั้งครั้งก่อน กระแสของพรรคก้าวไกลในเวลานั้นไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว หากเกิดจากการผสมกันของหลายปัจจัย หนึ่งคือบุคลิกและคาริสมาของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมทางอารมณ์ของชนชั้นกลางเมืองและคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีพลัง สองคือบรรยากาศความเบื่อหน่ายและต่อต้าน “3 ป.” ที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในหมู่คนชั้นกลางที่รู้สึกว่าการเมืองแบบเดิมปิดกั้นอนาคตของตนเอง
กระแสเหล่านี้ทำให้คะแนนของพรรคในครั้งนั้นไม่ได้เป็นเพียงคะแนนนิยมเชิงนโยบาย แต่เป็นคะแนนเชิงอารมณ์และการต่อต้าน ซึ่งสามารถพุ่งทะลุเพดานเดิมในหลายเขตเมืองได้ แต่บริบทเช่นนั้นไม่สามารถจำลองซ้ำได้ง่ายในการเลือกตั้งครั้งหน้า ความเบื่อ 3 ป. ไม่ได้เป็นแรงผลักเดียวอีกต่อไป และบุคลิกของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แม้จะมีความสามารถเชิงนโยบายและการสื่อสารที่เป็นระบบ แต่ไม่ได้สร้างแรงสะเทือนทางอารมณ์แบบเดียวกับพิธา
ณัฐพงษ์ถูกมองว่าเป็นผู้นำเชิงเหตุผล สุขุม และเป็นมืออาชีพ แต่ในสนามการเมืองแบบเขต บุคลิกเช่นนี้ไม่ได้ช่วยทะลวงเพดานได้เสมอไป โดยเฉพาะเมื่อพรรคยังถูกมองว่าถูกครอบงำทางความคิดและทิศทางโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ ความชัดเจนเชิงอุดมการณ์กลายเป็นทั้งจุดแข็งและข้อจำกัด ทำให้พรรคมีฐานบัญชีรายชื่อที่มั่นคง แต่ยากต่อการขยายชัยชนะในสนามเขต
เท่าที่ผมสดับฟัง การเลือกตั้งครั้งที่แล้วมีคนจำนวนไม่น้อยที่ลงคะแนนแบบเขตให้พรรคเพื่อไทยและบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล หรือสลับกันเพราะมองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน แต่ครั้งนี้ไม่มีอารมณ์และความรู้สึกแบบนั้นแล้ว แต่จะแข่งกันแบบจริงจัง
ยิ่งไปกว่านั้น ฐานชนชั้นกลางเมืองที่เคยเทคะแนนให้พรรคประชาชนอย่างท่วมท้น กำลังเผชิญการแข่งขันใหม่จากการกลับมาของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายใต้บริบทของพรรคประชาธิปัตย์ แม้อภิสิทธิ์จะไม่ใช่นักการเมืองใหม่ แต่เขาคือภาพจำของการเมืองชนชั้นกลางแบบเดิมที่ยังคงมีที่ยืนในใจผู้มีสิทธิ์บางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มเหนื่อยล้ากับการเมืองอุดมการณ์สุดขั้ว และไม่สบายใจกับการเมืองที่ถูกครอบงำโดยบุคคลนอกโครงสร้างอย่างชัดเจน
การกลับมาของอภิสิทธิ์อาจไม่ได้ทำให้ประชาธิปัตย์กลับมาเป็นพรรคใหญ่ แต่เพียงแค่ดึงคะแนนบางส่วนออกจากพรรคประชาชนในเขตเมือง ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนผลแพ้–ชนะในหลายเขต ซึ่งมักตัดสินกันด้วยส่วนต่างเพียงเล็กน้อย และยิ่งตอกย้ำข้อจำกัดเชิงเขตของพรรคประชาชนในครั้งนี้ ที่เราเห็นว่านิด้าโพลบอกว่าคนกรุงสูงถึง 47 %ที่ยังไม่ตัดสินใจทั้งที่เคยเป็นเมืองเลือกพรรคส้มอย่างถล่มทลายมาก่อน แม้พรรคประชาชนจะยังนำพรรคอื่นในโพลก็ตาม
เมื่อหันกลับมามองพรรคเพื่อไทย ภาพที่เห็นแตกต่างอย่างชัดเจน ฐานคะแนนหลักของเพื่อไทยยังคงอยู่ในชนบทภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานที่ไม่แสดงออกในโซเชียล ไม่ตอบโพลอย่างสม่ำเสมอ แต่ไปใช้สิทธิ์จริงอย่างมีวินัย ฐานนี้ทำให้เพื่อไทยยังสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะได้ ส.ส.เขตราว 120-130 ที่นั่ง และบัญชีรายชื่อราว 20 ที่นั่ง รวมประมาณ 140-150 ที่นั่ง
บทบาทของทักษิณ ชินวัตร ในบริบทนี้ยังคงมีน้ำหนักสูง ทักษิณยังเป็นสัญลักษณ์ทางอารมณ์และความทรงจำเชิงนโยบายของชนบทเหนือและอีสาน การดัน ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หลานชายของทักษิณ ขึ้นมาเป็นแคนดิเดต จึงสะท้อนทั้งการส่งต่ออำนาจและการยอมรับโดยปริยายว่า พรรคยังไม่สามารถตัดขาดจากเงาของทักษิณได้ สถานะของทักษิณจึงเป็นทั้งทุนและต้นทุน ทุนในแง่การรักษาฐานเสียง และต้นทุนในแง่การต่อรองและความชอบธรรมในสายตาคนเมืองและชนชั้นกลางบางส่วน
ในอีกด้านหนึ่ง พรรคภูมิใจไทยกำลังขยายฐานอำนาจอย่างเงียบแต่มีประสิทธิภาพ ผ่านการดึงบ้านใหญ่และกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นเข้ามาอยู่ในสังกัดมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เครื่องจักรบ้านใหญ่เหล่านี้คือสิ่งที่โพลไม่เคยวัดได้ครบ แต่เป็นตัวกำหนดผลแพ้–ชนะในสนามเขตอย่างแท้จริง เมื่อรวมปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกัน การคาดการณ์ที่สมเหตุสมผลชี้ว่า ภูมิใจไทยจะได้ ส.ส.เขตราว130- 140 ที่นั่ง และบัญชีรายชื่อราว 15 ที่นั่ง รวมประมาณ145- 155 ที่นั่ง
อนุทิน ชาญวีรกุล ในฐานะแคนดิเดต จึงถูกมองว่าเป็นร่างทรงทางการเมืองของเนวิน ชิดชอบ ผู้คุมโครงข่ายและยุทธศาสตร์พรรคอย่างแท้จริง ความชัดเจนในโครงสร้างอำนาจภายใน ทำให้ภูมิใจไทยมีความยืดหยุ่นสูงในการต่อรอง และมีโอกาสกลายเป็นผู้กำหนดเกมหลังเลือกตั้ง แม้จะไม่ใช่พรรคที่ได้คะแนนนิยมสูงสุดในโพลก็ตาม
เมื่อรวมตัวเลขทั้งหมดเข้าด้วยกัน สภาที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเป็นสภาที่กระจัดกระจาย เพื่อไทยราว 140-150 ที่นั่ง ภูมิใจไทยราว 145-155 ที่นั่ง พรรคประชาชนราว 95-100 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกล้าธรรม พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาชาติ และพรรคขนาดกลาง–เล็กอื่น ๆ รวมกันอีกราว 80-100 ที่นั่ง ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากอย่างแท้จริง และอำนาจจะอยู่ที่การต่อรอง ไม่ใช่การชนะขาด
ผลโพลที่พรรคประชาชนนำในทุกสำนักจึงไม่ใช่ภาพลวง แต่เป็นภาพสะท้อนเพียงครึ่งเดียวของความจริง อีกครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในโครงสร้างคะแนน เขตเลือกตั้ง ตัวบุคคล และบริบททางอารมณ์ที่ไม่สามารถจำลองซ้ำได้เหมือนเดิม และนี่คือเหตุผลทั้งหมดว่าทำไม พรรคประชาชนจึงอาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามโพล ขณะที่เกมอำนาจจริงกำลังถูกตัดสินในสนามที่เงียบกว่า แต่หนักหน่วงกว่าอย่างมาก
ผมเชื่อว่าครั้งนี้เสียงของพรรคประชาชนจะลดลงอย่างมีนัย แม้จะชนะในโพลทุกโพล แต่ในสนามจริงและผลบนกระดานเลือกตั้งจะสู้กันระหว่าง 3 พรรค คือพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน สุดท้ายแล้วโชคชะตาและฟ้าดินก็จะกำหนดให้พรรคประชาชนของด้อมส้มกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนเดิม
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


