xs
xsm
sm
md
lg

ไทย-กัมพูชา/อเมริกา-เวเนซุเอลา...อะไรคือ“สงครามที่ชอบธรรม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



ใครจะ “บุก” ใครก่อน...ระหว่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮากับประเทศเคลมโบเดียหรือสแกมโบเดีย อันนี้...คงต้องว่าไปตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมัน หรือของชาติใคร-ชาติมันไปตามสภาพ แต่การที่เครื่องบินโจมตีของกองทัพไทย ได้จิกหัวลง “หย่อนไข่” ใบแล้ว-ใบเล่า ใส่ “รังสแกมเมอร์” หรือบรรดาสถานกาสิโนที่ถูกนำไปใช้ส้องสุมอาวุธยุทโธปกรณ์ของบรรดาทวยทหารเขมรทั้งหลาย จนพังพินาศวอดวายกันไปเป็นรังๆ ส่งผลให้บรรดาประเทศต่างๆ ในโลก ที่แม้ว่าอาจเอียงๆไปทางประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา กลับยินยอมพร้อมใจที่จะ“วางเฉย” แม้แต่ท่านประธานกิตติมศักดิ์แห่ง “สมาคมเสือก”ระดับโลก อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกา ที่เห็นทหารไทยแขนขาด ขาขาดว่าเป็นแค่ “อุบัติเหตุข้างถนน” เท่านั้นเอง...ยังมิวายต้องหันไป “อมสากกะเบือ” ประมาณด้าม-สองด้ามอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ... 

นี่...อันนี้นี่แหละที่ต้องถือเป็น “ความชอบธรรม” ของการทำศึก สงคราม ที่ไม่ว่าฝ่ายใดต่อฝ่ายใดก็แล้วแต่ พึงต้องพยายามขวนขวาย ค้นหา และรักษาเอาไว้ให้จงได้ เพื่อไม่ให้ต้องกลายไปเป็น “ผู้ร้าย” เมื่อถึงขั้นต้องวัดตัดสินกันด้วย “สงคราม” อันแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “ขั้นตอนสุดท้าย” ของกระบวนการทางการเมืองดังที่นักปรัชญาสงครามอย่าง “Carl von Clausewitz” ได้เคยว่าไว้ แต่ก็นั่นแหละ...ในขณะที่ประธานกิตติมศักดิ์แห่งสมาคมเสือก อย่างผู้นำอเมริกา ประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” แสดงความปรารถนาและต้องการที่จะให้ “ไทย-กัมพูชา” มี “สันติภาพ” เสียเหลือเกิน กองทัพอเมริกันเองกลับยกพหลพลโยธา ทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรือดำน้ำนิวเคลียร์เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด และทวยทหารอีกนับหมื่นๆ นาย เข้าไปล้อมกรอบประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลา โดยไม่ได้คิดจะฟังเสียงห้ามปราม เสียงทักท้วง เตือนสติ ไม่ได้แสดงออกถึงความปรารถนาที่จะได้มาซึ่ง “สันติภาพ” แต่อย่างใด ทั้งที่การคิดจะ “กวาดสวนหลังบ้าน” หรือการบุกประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลาคราวนี้ แทบไม่ได้หลงเหลือ “ความชอบธรรม” ใดๆ ติดปลายนวมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย!!! 

ยังไม่ถึงขั้น “ตูมๆ ตามๆ” ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ แต่ล่าสุด...ก็ได้พยายามสร้างแรงกดดันด้วยการ “ยึดเรือน้ำมัน”ของเวเนซุเอลาไปแล้ว 2 ลำ และกำลังทำท่าว่าคิดจะยึดลำที่ 3 ในอีกไม่นานนับจากนี้ ไล่เข่น ไล่ฆ่า ผู้คนพลเมืองที่ยังไม่ได้มีหลักฐานใดๆ พิสูจน์ว่าเป็น “นักค้ายา” หรือเป็น “ประชาชนผู้บริสุทธิ์” ไปแล้วกว่า 100 ราย อันนี้...นี่แหละที่ทำให้ใครต่อใครแทบจะทั้งโลกต่าง “รับไม่ได้” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ใช่เพียงแต่พันธมิตรที่ใกล้ชิดของเวเนซุเอลาอย่างจีน-รัสเซีย-และอิหร่านเท่านั้น กระทั่งผู้ที่เคยเป็นมิตรสนิทสนมกับคุณพ่ออเมริกา อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ ว่ากันว่า...ได้ตัดสินใจระงับความร่วมมือในเรื่องการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับสหรัฐฯ ไว้ชั่วคราว อันเนื่องมาจากการแสดงออกถึงความน่าเกลียด น่าทุเรศ หรือ “ความไม่ชอบธรรม” ของอเมริกาในเรื่องราวดังกล่าว... 

แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้ประธานกิตติมศักดิ์แห่งสมาคมเสือก อย่าง “ทรัมป์บ้า” เกิดความรู้สึก รู้สาใดๆ ขึ้นมาเอาเลยแม้แต่นิด เพราะไม่ใช่แค่คิดจะกวาดสวนหลังบ้าน คิดจะทำให้ “America Great Again” แบบเดียวกับยุคที่ “กระทรวงสงคราม” ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น“กระทรวงกลาโหม” หรือยุคที่อเมริกาพยายามแสดงความมีอำนาจเหนือ “ซีกโลกตะวันตก”(Western Hemisphere) แบบ...ใครแตะเธอไม่ได้โลกแตกแน่!!! อะไรประมาณนั้น แต่เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่เพิ่งจะผ่านมานี่เอง (21 ธ.ค.) ผู้นำอเมริกายังได้อนุมัติลงนามแต่งตั้งผู้ว่าการรัฐลุยเซียนาอย่าง “นายJeff Landry” ให้ดำรงตำแหน่งเป็น “ทูตพิเศษ” อเมริกาประจำเกาะกรีนแลนด์ อันเป็นดินแดนที่อยู่ในอำนาจอธิปไตยของประเทศเดนมาร์ก พร้อมทั้งโพสต์ข้อความที่ทำให้ใครต่อใครเกิดอาการ “เปรี้ยวเท้า-เปรี้ยวตีน” ขึ้นมาอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ดังที่ระบุไว้ว่า... “Jeff เข้าใจดีถึงความจำเป็นที่กรีนแลนด์จะต้องเป็นส่วนหนึ่งในด้านความมั่นคงแห่งชาติของเรา และจะเดินหน้าอย่างแข็งขันเพื่อผลประโยชน์ด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศเรา...” นี่...เล่นกันแบบดื้อๆ ทื่อๆ ยิ่งกว่าการยุให้ทหารไทยบุกยึดปอยเปต พระตะบอง ศรีโสภณ ยึดเกาะกง ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเสียอีก... 
ส่วน “นายJeff” ก็ดูจะหนักไปทาง “บ้า...ก็...บ้าวะ” หรือหันมาขานรับ “ลูกบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” แบบเป็นปี่ เป็นขลุ่ย ด้วยการโพสต์ข้อความไว้ในเว็บไซต์ “X” ในเวลาต่อมาว่า “ถือเป็นเกียรติที่ได้ทำหน้าที่ตำแหน่งที่สมัครใจ สำหรับการทำให้กรีนแลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา (To make Greenland a part of the US)” เรียกว่า...แทบไม่ต้องเสียเวลาแอบจ่ง แอบจิตใดๆ ต่อไปอีกแล้ว สำหรับการคิดที่จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยการบุกเวเนซุเอลา ยึดเกาะกรีนแลนด์ ผนวกแคนาดา หรือยึดคลองปานามาฯลฯ ส่งผลให้ประเทศเดนมาร์กที่แม้จะเป็นชาติพันธมิตรอเมริกา หรือเป็นหนึ่งในสมาชิก“NATO” ถึงกับ “ฉุนขาด”ระดับ “Deeply angered” เอาเลยถึงขั้นนั้น อันนี้...ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีต่างประเทศเดนมาร์ก “นายLars Lokke Rasmussen” ที่ต้องตัดสินใจเรียกตัวทูตอเมริกาประจำเดนมาร์กเข้ามาต่อว่า ต่อขาน อย่างเป็นทางการ ส่วนจะลุกลามไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหนอีกต่อไป คงต้องค่อยๆ ติดตามกันไปเป็นระยะๆ... 

ด้วยความคิดที่จะกลับมายิ่งใหญ่แบบบ้าๆ หรือแบบดื้อๆทื่อๆ เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” เขาต้องออกมาแสดงความคิด ความเห็น ที่ออกจะน่าสนใจเอามากๆ จนคงต้องขออนุญาตเชื้อเชิญให้ใครต่อใครลองไป “คลิก” อ่านข้อเขียน บทความว่าด้วยเรื่อง “The Venezuela crisis: the need to reckon with US moral accountability” หรือคงต้องช่วยๆ กันประเมินถึงความรับผิดชอบทางศีลธรรมของมหาอำนาจสูงสุดของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ในการคิดที่จะบุก หรือคิดจะกดดันประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลา ว่ามันยังคงหลงเหลือ “ความชอบธรรม” ติดปลายนวมเอาไว้มั่งหรือไม่? อย่างไร? เพราะแม้แต่ในยุค “ลัทธิมอนโร” (Monroe Doctrine) ไม่ใช่ “ลัทธิดอนโร” ของ “ทรัมป์บ้า”ก็เถอะ แต่การอาศัย “พลังทางอำนาจ” เป็นตัวสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับอเมริกา ท้ายที่สุดแล้ว...ล้วนแต่นำมาซึ่งความฉิบหายวายวอด ความน่าเกลียด น่าทุเรศ ที่ฝังลึกอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ไม่ใช่ความร่วมมือ-ร่วมใจ ความยินยอมพร้อมใจ อันเป็นสิ่งโลกยุคใหม่ สมัยใหม่ ที่ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่างปรารถนาและต้องการไปด้วยกันทั้งนั้น... 

คือกลายเป็นตัวนำมาซึ่ง “สงคราม” ต่างๆ นานา ไม่ว่า“สงครามอเมริกา-เม็กซิโก” หรือ “สงครามสเปน-อเมริกา” เพื่อครอบครองคิวบา ไปจนถึงการปล้นกลางแดดเพื่อยึดคลองปานามา การโค่นล้มรัฐบาลกัวเตมาลา หรือชิลี ฯลฯ ที่เต็มไปด้วยความน่าเกลียด น่าทุเรศไปด้วยกันทั้งสิ้น และกลายเป็นสิ่งที่ “ฝังลึก” อยู่ในความรู้สึกของบรรดาชาวละตินอเมริกา ที่ต้องกลายเป็น “สวนหลังบ้าน” ของมหาอำนาจอย่างอเมริกามาตั้งแต่อดีตจนตราบเท่าทุกวันนี้ การคิดจะกลับไปสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการเดินไปในหนทางเดียวกันกับสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีต ในขณะที่โลกมันได้เปลี่ยนไปเยอะแล้ว หรือเปลี่ยนจาก “หลังตีน” เป็น “หน้ามือ” ไปเป็นที่เรียบร้อย มันจึงทำให้ใครต่อใครหนีไม่พ้นต้องหันมาปฏิเสธ คัดค้าน หรือกระทั่งต่อต้านอเมริกา กันอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้... 

ไม่ใช่แต่เฉพาะจีนเท่านั้น...ที่ต้องลุกมาประณามการ“ข่มเหงฝ่ายเดียว” ดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศ “Wang Yi” ได้สรุปถึงพฤติกรรมและการกระทำของอเมริกาต่อเวเนซุเอลา มหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียที่แม้จะพยายามรักษาระดับความสัมพันธ์กับรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก็หนีไม่พ้นต้องออกมาแสดงความสนับสนุนรัฐบาลและประชาชนชาวเวเนซุเอลา ในการปกป้องอำนาจอธิปไตยของตนเอง ล่าสุด...รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ถึงกับต้องยกหูโทรศัพท์ไปหา “นายIvan Gil”รัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา เพื่อแสดงความห่วงใยและยืนยันถึง “เอกภาพ” ในการร่วมมือ-ร่วมใจระหว่างรัสเซียและเวเนซุเอลา ไม่ต่างไปจากบรรดาประเทศในละตินอเมริกาและแคริบเบียน ที่เคยร่วมกันป่าวประกาศให้ภูมิภาคแห่งนี้เป็น“เขตสันติภาพ” หรือ “Peace Zone region” มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ต่างก็ไม่คิดจะ “เอามือซุกหีบ” อีกต่อไป และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือบรรดาชาวอเมริกันชนทั้งหลาย ที่เคย “หลงผิด”เลือก “ทรัมป์บ้า” มาเป็นผู้นำประเทศตัวเอง แต่เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมานี่เอง (17 ธ.ค.) ถ้าว่ากันตาม “ผลโพล” ของ“Quinnipiac” ชาวอเมริกันถึง 63 เปอร์เซ็นต์ ต่าง “ไม่เห็นควรด้วย” กับการบุกเวเนซุเอลาของผู้นำตัวเอง มีแค่ 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยัง “บ้า” ไปตาม “ทรัมป์บ้า” แบบไม่รู้เรื่อง-รู้ราวหรือแบบ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไปตามสภาพ...


กำลังโหลดความคิดเห็น