ไปๆ-มาๆ...อาวุธสำคัญของ “ทรัมป์บ้า” ที่งัดมาใช้เล่นงานใครต่อใครไปทั่วทั้งโลก อันได้แก่มาตรการภาษีศุลกากร น่าจะเริ่มส่งผลในแบบ “ยืมหอกสนองคืน” ขึ้นมามั่งแล้ว!!! หรือเริ่มส่งผลให้บรรดาอเมริกันชนอันได้แก่ “ผู้บริโภค” ทั้งหลาย เริ่มส่งเสียงโหยหวนครวญคราง เริ่มหันมาด่าทอ ต่อว่ารัฐบาลและผู้นำอเมริการะดับครึ่งๆ ค่อนๆประเทศไปแล้วก็ว่าได้...
ดังเห็นได้จาก “ผลโพล” ครั้งล่าสุด...ที่เพิ่งสำรวจเมื่อช่วงวันที่8-11 ธ.ค.ที่ผ่านมานี่เอง โดยสำนักโพลอย่าง “NPR/PBS News” ที่ว่ากันว่ามีความผิดพลาดเพียงไม่เกิน3.2 จุดเท่านั้นเอง ที่ได้เปิดเผยแบบตรงไป-ตรงมาว่าบรรดาอเมริกันชนไม่น้อยกว่า57 เปอร์เซ็นต์ต่างหงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่พอใจต่อการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลตัวเอง มีแค่36 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เห็นว่ารัฐบาล “สอบผ่าน” เพราะไม่ว่าผู้นำรัฐบาลอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะคุยโม้ คุยโตโอ้อวดถึงการหาเงิน หาทอง หารายได้เข้าประเทศด้วยการขูดรีดภาษีบรรดาผู้ส่งสินค้าเข้ามาขายในอเมริกาแบบบ้าเลือดบ้าคลั่งขนาดไหน แต่สิ่งบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายประสบพบเจอใน “โลกแห่งความเป็นจริง” ก็คือสภาวะที่เรียกๆ กันว่า การขาด “ขีดความสามารถในการใช้จ่าย” หรือ “Affordability” นั่นเอง...
ด้วยเหตุเพราะ “ราคาสินค้า” ในแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ที่ถูกเล่นงานด้วยมาตรการภาษีชนิดน่วมกันไปทั้งแถบ มันชักจะพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ระดับรั้งไม่หยุด-ฉุดไม่อยู่เอาเลยก็ว่าได้ แม้แต่สินค้าที่ผลิตขึ้นในอเมริกา แต่ในเมื่อจำต้องอาศัย “ชิ้นส่วน” “วัตถุดิบ” หรือ“องค์ประกอบ” ที่มาจากบรรดาประเทศผู้ส่งออกทั้งหลาย ตามแบบฉบับการผลิตในโลกยุคใหม่ สมัยใหม่ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน” ซึ่งโยงกันไป-โยงกันมาอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ อัตราภาษีของ “ทรัมป์บ้า” เลยกลายเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าแดง-ไม่แดง ล้วนแล้วแต่ “แพงฉิบหาย” กันไปทั้งสิ้น ทั้งปวง และนั่นเอง...ที่ทำให้ “ขีดความสามารถในการใช้จ่าย” ของบรรดาอเมริกันชนในแต่ละราย แทบไม่หลงเหลือติดปลายนวมยิ่งเข้าไปทุกที...
ส่วนบรรดา “รายได้” ต่างๆ...ก็มักจะไป “กระจุกตัว” อยู่ที่บรรดากลุ่มคนประมาณ1 เปอร์เซ็นต์ของประเทศซะเป็นหลักใหญ่ ไม่ใช่99 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นปุถุชนคนธรรมดาโดยทั่วไป อันเป็นไปตามลักษณะ “โครงสร้างทางสังคม” ของประเทศอเมริกามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ไม่งั้น...ก็ไหลไปเข้ากระเป๋าของพวกพ่อค้าอาวุธ หรือ “อุตสาหกรรมอาวุธ”นั่นแหละเป็นหลัก ยิ่งผู้นำอเมริกาคิดจะหันไปสร้าง “ความยิ่งใหญ่”ให้กับประเทศตัวเองให้เหมือนกับ “ยุคทอง” หรือยุคที่อเมริกายังคงยิ่งใหญ่ในอาณาบริเวณที่เรียกๆ กันว่า “ซีกโลกตะวันตก”หรือ “Western Hemisphere”ด้วยการไล่ทุบ ไล่บี้ ประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลา หรือคิดจะ “กวาดสวนหลังบ้าน” ของตัวเองให้สะอาดขึ้นมาใหม่การส่งเสียงขู่คำราม หลังจากยกพหลพลโยธาเข้าไปล้อมกรอบประเทศนี้มาแล้ว4 เดือนกว่าๆ ด้วยการป่าวประกาศว่า... “เราได้ล้อมพวกมันไว้หมดแล้ว ด้วยกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาใต้”เพื่อที่จะทวงเอาบรรดา “ผลประโยชน์” ต่างๆ ที่เคยเสียหาย ตั้งแต่ครั้งเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่แล้ว หรือเมื่อถูกอดีตผู้นำเวเนซุเอลาอย่าง “นายHugo Chavez” ยึดกิจการน้ำมันเอกชนไปเป็นของรัฐ เมื่อปี ค.ศ. 1970 โน่นเลย อันนี้...ก็ยิ่งส่งผลให้ความกระเหี้ยนกระหือรือ ความคิดที่จะกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ของ “ทรัมป์บ้า” ยิ่งเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าทุเรศเอามากๆ!!!
คือมันแทบไม่ต่างอะไรไปจากความพยายามที่จะ “ปล้น” พยายามที่ยึดบ้าน ยึดเมืองผู้อื่นกันตอนกลางวันแสกๆ ไม่ได้ส่อให้เห็นวี่แววของความปรารถนา ความต้องการ “สันติภาพ” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้...การคิดจะทำให้ “America Great Again”อันเป็นคำขวัญ คำโฆษณาของ “ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอด มันจึงไม่ได้ก่อให้เกิดความปลาบปลื้มยินดีปรีดา หรือความประทับใจใดต่อบรรดาอเมริกันชนโดยทั่วไป เหมือนอย่างที่เคยละเมอเพ้อพกกันมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าการเสนอกฎหมายเพื่อที่จะหาทางหยุดยั้ง “ความบ้า”ของ “ทรัมป์บ้า” ในรัฐสภาอเมริกันเมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา(17 ธ.ค.) จะไม่เกิดผลบังคับใช้ในการกำหนดให้ประธานาธิบดีต้องมาหารือกับรัฐสภาเสียก่อนถึงจะคิดไปบุกใครต่อใคร ด้วยเหตุเพราะสมาชิกฝ่ายรัฐบาลย่อมต้องถือเป็น “เสียงส่วนใหญ่” อยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่การแพ้-ชนะกันในระดับหวีดหวิว ฉิวเฉียด หรือระดับ 213 ต่อ 211 เสียงย่อมถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เห็นด้วยของบรรดา “นักการเมือง” อเมริกากันเป็นจำนวนไม่น้อย...
หรือแม้แต่ปุถุชนคนธรรมดา ไม่ว่าที่เคยสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน “ทรัมป์บ้า”ก็ตามที ถ้าว่ากันตาม “ผลโพล” ของหลายต่อหลายสำนักเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ต่างไม่ได้รู้สึกซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ต่อการคิดจะยึดบ่อน้ำมัน ยึดบ้าน ยึดเมืองประเทศเวเนซุเอลาของผู้นำอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย ต่างไปจากบรรดา “ปวงชนชาวไทย” ของหมู่เฮาทั้งหลายที่มีต่อผู้นำประเทศอย่าง “นายกฯ เสี่ยหนู” ผู้ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับ “สมเด็จฮวยเซ็ง” แห่งเคลมโบเดีย หรือสแกมโบเดีย แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน หรือทำให้คะแนนนิยมของ “ทรัมป์บ้า” ยิ่งหล่นฮวบๆ ฮาบๆ ไปถึงระดับที่เรียกว่า “Extremely unpopular” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...“มหาอำนาจคู่แข่ง” ของอเมริกา ทั้งคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ที่ได้ออกมาแสดงตัวอย่างโจ่งแจ้ง ชัดเจน ว่าไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของอเมริกาในเรื่องนี้โดยเด็ดขาด หรือดังที่โฆษกเครมลิน “นาย Dmitry Peskov”ได้ออกมาเตือนสติไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า “การกระทำของสหรัฐฯ กำลังนำไปสู่ความเสี่ยงที่อาจพัฒนาไปสู่ฉากสถานการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน” หรือฉากสถานการณ์ที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่า หมายถึง “ผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้...สำหรับซีกโลกตะวันตกทั้งหมด”หรือกับทั่วทั้งทวีปอเมริกานั่นเอง เช่นเดียวกับโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายGuo Jiakun” ที่ออกมาสนับสนุนการปกป้องอธิปไตยของประเทศเวเนซุเอลาและความมีอิสระในการพัฒนาความร่วมมือกับบรรดาประชาคมโลกทั้งหลาย ขณะที่รักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศ และหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรอย่าง “นายWang Yi”ถึงกับออกมาประณามการกระทำในลักษณะดังกล่าวว่าถือเป็นการ “ข่มเหงฝ่ายเดียว” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากเกิดอะไร “ตูมตาม” ขึ้นมา โอกาสที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะยิ่งเสียหมา เสียสุนัข ยิ่งขึ้นไปเท่านั้นย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะไม่ใช่แค่ต้องเจอกับแรงต่อต้านของบรรดาชาวเวเนซุเอลานับล้านๆ ที่แห่มาอาสาสมัครเป็น “ทหารบ้าน” เพื่อปกป้องประเทศและอธิปไตยของตัวเอง อันอาจส่งผลให้กองทัพอเมริกันมีอันต้อง “ติดหล่ม” อยู่กับสมรภูมิที่อุบัติขึ้นในประเทศนี้นับเป็นปีๆ ดังที่สำนักข่าว “CNN” เขาได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า แบบเดียวกับที่เคยติดหล่มในสงครามเวียดนาม สงครามอัฟกานิสถาน หรือสงครามอิรัก ฯลฯ อะไรทำนองนั้น แต่ยังต้องเจอกับแรงคัดง้างของ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย ไปจนถึงการรุมด่า รุมประณาม ของประชาคมโลก ที่มีแต่จะทำให้อเมริกาต้องกลายเป็น “โดดเดี่ยว...ผู้น่าเกลียด-น่าชัง” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
ยิ่งเมื่อบรรดาปวงชนอเมริกา หรือบรรดา “ผู้บริโภค” ชาวอเมริกันทั้งหลาย...ชักจะหงุดหงิด งุ่นง่าน อันเนื่องมาจาก “ปัญหาเศรษฐกิจ” ไม่ว่าเงินเฟ้อ ของแพง อำนาจการซื้อของแต่ละผู้ แต่ละคน ลดน้อยถอยลงยิ่งเข้าไปทุกที อันนี้ก็ยิ่งน่าจะทำให้ “อนาคต”ของ “ทรัมป์บ้า” ยิ่งออกไปทางมืดมนอนธการยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แม้ยังเหลือเวลาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปอีกเป็นปีๆ นับจากนี้ แต่โดยสภาพของผู้นำอเมริกาทุกวันนี้...น่าจะออกไปทาง “นอนมา”โดยมี “พระ”สวดนำหน้า พร้อมกับการเอื้อนเอ่ยถ้อยคำว่า “กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา” ก่อนแบกขึ้นเมรุเพื่อรอจังหวะ เวลา ในการเผาหลอก-เผาจริง ในขั้นตอนต่อไป...


