ถึงจะเป็นผู้นำประเทศเล็กๆ ระดับ “หญ้าแพรก” อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา...แต่ท่านนายกฯ “เสี่ยหนู”ท่านชักไม่ได้เป็นแค่หนูธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว แต่ออกไปทาง “มิกกี้เมาส์”หรือ “ไมตี้เมาส์”อะไรไปโน่นเลย หลังจากลุกมา“สวน” จ้าวโลก ประมุขโลก อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกา ด้วยการนั่งยัน นอนยัน ว่าการเหยียบกับระเบิดของบรรดาทหารไทย ไม่ใช่เป็นแค่ “อุบัติเหตุข้างถนน”อยู่แล้วแน่ๆ แถมยังเปิดช่อง เปิดไฟเขียว ให้กองทัพไทยยาวๆ ไปเลย ไม่ต้องหยุดยิง หยุดทิ้งไข่แค่เพียง 4 ทุ่ม ตามที่ผู้นำมาเลเซียขีดเส้นเอาไว้ให้!!!
นี่...เหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร สะใจ-ไม่สะใจ ก็แล้วแต่จะว่าไปตาม “รสนิยม”ของใครก็ของมัน แต่ที่แน่ๆ อาจถือเป็น“ข้อสังเกต”ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่ตามสมควรเหมือนกัน ว่าโดยเฉพาะช่วงหลังๆ นี้บรรดาประเทศเล็ก ประเทศใหญ่ ประเทศน้อยๆ ทั้งหลาย ดูๆ ชักจะไม่ค่อยมีใครเกรงอกเกรงใจ ยอมหมอบ ยอมคลาน ยอมศิโรราบ ยอมกลั้นจมูก กลั้นหายใจ“Kiss Ass” ประธานาธิบดีอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” กันสักเท่าไหร่นัก แม้ผู้นำรายนี้จะยังคงพยายามดำรงตนเป็น “ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิกไปซะทุกเรื่องทุกราว แต่อย่างใด หรือแม้จะข่มขู่ คุกคาม ส่งเสียงขู่ฟ่อดๆกันเพียงใดก็ตาม แต่กลับส่งผลให้ผู้ที่ถูกขู่ ถูกคุกคามหันไป“ยกตีนลูบหน้า” ผู้นำอเมริกาเสียเฉยเลย...
อย่างเช่นคุณปู่อินตะระเดีย เป็นต้น...ที่ถูกขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้าเข้าอเมริกาถึง 500 เปอร์เซ็นต์ถ้าหากยังคิดคบหา ค้าๆขายๆ กับหมีขาวรัสเซีย แต่แทนที่จะออกอาการ “แขกตี้” หรือ“แขก...กลัวแล้วนะนายจ๋า” กลับกลายเป็นการผลักอินเดียให้เข้าไปแนบแน่น หนุบหนับ เขาจับ-เขาจี๋ กับหมีขาวรัสเซียและพญามังกรจีน จนกลายสภาพเป็น “พันธมิตรสามเหลี่ยมยุทธศาสตร์ RIC” หรือแนวป้องกันรัสเซีย-อินเดีย-จีนในการสกัดกั้น ถ่วงดุลการครองโลก ครอบงำโลก ตามแนวคิดดั้งเดิมของอดีตรัฐบุรุษรัสเซีย “นายYevgeny Primakov”ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังไปเมื่อเร็วๆนี้...
หรือแม้แต่ประเทศ “สวนหลังบ้าน”อเมริกาอย่างเวเนซุเอลาก็เถอะ ไม่ว่าอเมริกาคิดจะบุก-ไม่บุก หรือบุกตอนไหน? เมื่อไหร่? ก็ตามที แต่โอกาสที่จะบดขยี้ ยึดแหล่งน้ำมัน เปลี่ยนระบอบการปกครองภายในประเทศนี้ ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบปอกกล้วยเข้าปากอยู่แล้วแน่ๆ โดยเฉพาะหลังจากผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน”ท่านได้ออกมายืนยัน นั่งยัน ถึงสนธิสัญญาข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-เวเนซุเอลา ว่าเป็นสิ่งที่ต่างชาติต่างประเทศมิอาจล่วงละเมิดได้โดยเด็ดขาด ถึงจะเปลี่ยนกรรมวิธีในการสร้างแรงกดดันด้วยการ “ยึดเรือน้ำมัน”ของเวเนซุเอลาระหว่างแล่นไป-แล่นมาในทะเลแคริบเบียน ด้วยการอาศัย “ข้ออ้าง”ว่าเพราะเรือดังกล่าวกำลังคิดจะขนส่งน้ำมันไปให้กับประเทศอิหร่านและพวก “Hezbollah”อันเป็นผู้ที่ประเทศอเมริกาประกาศ “แซงก์ชั่น”มานานแล้ว หรือถือเป็นการกระทำที่มิได้ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ได้ล่วงละเมิดข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รัสเซีย-เวเนซุเอลาแต่อย่างใด...
แต่ก็นั่นแหละ...หลังจากนั้นอีกเพียงแค่ 2 วันกองกำลัง “IRGC”ของอิหร่าน เขาก็เลยตัดสินใจหันไป “ยึดเรือน้ำมัน”ที่บรรทุกน้ำมันจำนวนถึง 6 ล้านลิตรและคิดจะแล่นผ่านช่องแคบ“Hormuz”แบบดื้อๆ ทื่อๆ โดยถือเป็นการแก้แค้นเอาคืน ต่อการที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐฯ ดันไปยึดเรือน้ำมันที่กำลังจะส่งมาให้กองกำลัง “IRGC”และพวก “Hezbollah” ส่งผลให้ “เส้นทางลำเลียงน้ำมัน”ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของโลกทั้งโลก เกิดความสับสนอลหม่านอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยถ้าหากมหาอำนาจอย่างอเมริกายังคิดเข้ามายื่นบัตรสมาชิกสมาคมเสือก เพื่อปกป้องเส้นทางเดินเรือในตะวันออกกลาง โดยอาศัยพลังอำนาจของ “กองเรือที่ 5”ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศบาห์เรน แต่โอกาสที่จะทำให้บรรดาชาติในตะวันออกกลางทั้งหลาย หันมาเออออ-ห่อหมก หันมาเห็นดี เห็นงามกับการกระทำของสหรัฐฯ ก็ชักจะไม่ง่าย ไม่ปอกกล้วยเข้าปากแบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว...
หรือดังที่ประธานศูนย์ศึกษาตะวันออกกลาง (The Middle East Studies Center) “นายMurad Sadygzade” เขาตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “Why the US can no longer impose its values on Saudi Arabia”เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละว่าเป็นเพราะโลกมันได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว จนมหาอำนาจอย่างอเมริกาไม่ได้เป็น “Indispensable Nation”หรือเป็นประเทศที่ประชาชาติจะขาดเสียมิได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุเพราะมันมี “ขั้วอำนาจ”ใหม่ๆ ไม่ว่าจีน-รัสเซีย-อินเดีย ฯลฯโผล่ขึ้นมาแบบยุ่บยั่บๆ เต็มไปหมด ความพยายามที่จะกดๆบีบๆ คลึงไป-คลึงมาเพื่อให้ผู้นำประเทศราชอาณาจักรซาอุฯ อย่างเจ้าชาย “Mohammed bin Salman”ยอมหันซ้าย-หันขวา ยอมสนองตอบต่อความปรารถนา ความต้องการของอเมริกา ในช่วงระหว่างเดินทางไปเยือนทำเนียบขาวครั้งล่าสุด ด้วยการฟื้นสัมพันธภาพโดยปกติกับพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกาอย่างอิสราเอล ตามแนวทางที่เรียกว่า “Abraham Accords”จึง “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย”กันเห็นๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าชาย “MbS” ท่านยืนยันแบบหัวเด็ดตีนขาดว่าต้องให้ยอมรับ “รัฐปาเลสไตน์”เท่านั้นถึงจะเป็นไปได้ และถ้าดันไปบีบไปคลึง ไปกด ไปดันกันในแบบไหน? ลักษณะไหน? โอกาสที่พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างซาอุฯ จะทะลักเข้าไปหนึบหนับ หนุนหนับกับจีนกับรัสเซีย หรือแม้แต่กับอิหร่าน ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
หรือแม้แต่ประเทศที่เต็มไปด้วยคนผิวสีอย่างแอฟริกาใต้...ที่ไม่เพียงแต่ถูก “ทรัมป์บ้า”ขึ้นภาษีสินค้าเข้าไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังสะบัดก้นไม่คิดจะเข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศ “G20”ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพเอาเลยแม้แต่น้อยรอไปประชุมในช่วงอเมริกาเป็นเจ้าภาพที่ไมอามี ฟลอริดา ปี ค.ศ.2026 โน่นเลย ด้วยการหยิบเอาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้าง ทำนองว่ารัฐบาลแอฟริกาใต้สนับสนุนให้ยึดพื้นที่ทำกินและสังหารหมู่พวกชาวผิวขาวที่เรียกว่า “Afrikaners” โดยไม่คิดจะพูดถึงความพยายาม “ปกป้องสิทธิมนุษยชน” ของรัฐบาลแอฟริกาใต้ด้วยการฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศเรื่องการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”ของอิสราเอลในดินแดนฉนวนกาซาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าอเมริกาจะเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของประเทศกำลังพัฒนาอย่างแอฟริกาใต้ก็เถอะ แต่ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “Cyril Ramaphosa”ท่านก็สวมวิญญาณเดียวกันกับ “นายกฯ เสี่ยหนู” หรือ “นายกฯ มิกกี้เมาส์” ของบ้านเรา ไม่คิดจะหันไป “Kiss Ass”ผู้นำอเมริกาแต่อย่างใด...
คือหันไปอาศัยกลไกการค้า การขาย ที่เรียกว่า “AfCFTA”หรือ “The African Continental Free Trade Area”หรือหันมาเน้นการค้าๆ ขายๆ ระหว่างบรรดาประเทศแอฟริกาเองด้วยกัน ด้วยการตั้งเป้าว่าจะเพิ่มปริมาณการค้าภายในกลุ่มประเทศทวีปเดียวกันให้ขึ้นไปอีก 52 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี ค.ศ. 2030 ให้จงได้!!! ส่วนการส่งสินค้าออกไปยังอเมริกานั้น ท่านถือว่าสินค้าส่วนใหญ่ของแอฟริกาใต้ไม่ใช่สินค้าที่จะต้องแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตในอเมริกาแต่อย่างใด แต่เป็นชิ้นส่วน องค์ประกอบ หรือเป็นสินค้าแบบ “ห่วงโซ่อุปทาน”ซะมากกว่า ด้วยเหตุนี้...การขึ้นภาษีของ “ทรัมป์บ้า”ต่อสินค้าแอฟริกาใต้ ย่อมกลายเป็นการ “ยืมหอกสนองคืน”ต่อบรรดาผู้บริโภคในอเมริกาเอง ที่จะต้องหาทางต่อต้าน คัดค้านและปฏิเสธ “ลูกบ้า”ของ “ทรัมป์บ้า”กันไปตามสภาพ...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...บรรดาผู้ที่ไม่คิดจะ “Kiss Ass”ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”นับวันจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆภายในโลกที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที และถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของผู้นำชาติยุโรป อย่าง “นายFriedrich Merz”แห่งประเทศเยอรมนี ที่ได้ไปโพนทะนาให้กับบรรดาสมาชิกพรรครัฐบาล “CSU”หรือ “Christian Social Union” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่แล้ว (13 ธ.ค.) การเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ว่ามันแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “การเคลื่อนย้ายแผ่นทวีป”(Tectonic shifts) เอาเลยถึงขั้นนั้น คือไม่ว่าจะในทางการเมือง หรือเศรษฐกิจ หนีไม่พ้นต้องเปลี่ยนกันแบบ “หลังตีนเป็นหน้ามือ” หรือ “หน้ามือเป็นหลังตีน” ก็แล้วแต่จะคิด แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ผู้นำเยอรมนีถึงกับต้อง “ฟันธง” ลงไปแบบมิดด้าม เต็มด้าม ว่าสิ่งที่บรรดาชาวยุโรปหรือบรรดา “โลกตะวันตก” เคยคุ้นเคย หรือเคยนำมาเป็น “เครื่องมือ” ในการดำรงรักษาอำนาจอิทธิพลของตัวเองมาโดยตลอด แบบที่เรียกๆ กันว่า“Pax Americana”หรือสันติภาพตามที่อเมริกาเป็นผู้กำหนด เหมือนที่จักรวรรดิโรมันในอดีตเคยใช้คำเรียกสันติภาพตามแบบฉบับของตัวเองว่า “Pax Romana” อะไรประมาณนั้น มันได้ถึงกาล“สิ้นสุด-ยุติ” ลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!!
หรือถึงเวลาที่ชาติแห่งโลกตะวันตกอย่างเยอรมนี จะต้อง “ตื่น” ขึ้นมารับรู้ความจริง ข้อเท็จจริง ไม่เช่นนั้นโอกาสที่บรรดาชาติยุโรปทั้งหลายจะถูก “ลบทิ้งทางอารยธรรม” หรือเกิดการ “Civilization erasure” ดังที่พันธมิตรซึ่งเคยเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอด อย่างคุณพ่ออเมริกา ได้ออกมาตำหนิติติงเอาไว้ในเอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงครั้งใหม่ (The National security strategy of the United States of America)ย่อมมีสิทธิเป็นไปได้ไม่ว่าเร็วหรือช้าด้วยเหตุเพราะ“Americans are now very, very firmly pursuing their own interests” หรือด้วยเหตุเพราะจ้าวโลก ประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา พร้อมที่จะ “เห็นแก่ตัวกู-ของกู” แบบเอาจริง-เอาจังไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นมิตร เป็นศัตรู อีกต่อไปแล้ว...


