xs
xsm
sm
md
lg

สันติภาพแบบอเมริกา(Pax Americana)ไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ฟรีดริช เมิร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
ถึงจะเป็นผู้นำประเทศเล็กๆ ระดับ “หญ้าแพรก” อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา...แต่ท่านนายกฯ “เสี่ยหนู”ท่านชักไม่ได้เป็นแค่หนูธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว แต่ออกไปทาง “มิกกี้เมาส์”หรือ “ไมตี้เมาส์”อะไรไปโน่นเลย หลังจากลุกมา“สวน” จ้าวโลก ประมุขโลก อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกา ด้วยการนั่งยัน นอนยัน ว่าการเหยียบกับระเบิดของบรรดาทหารไทย ไม่ใช่เป็นแค่ “อุบัติเหตุข้างถนน”อยู่แล้วแน่ๆ แถมยังเปิดช่อง เปิดไฟเขียว ให้กองทัพไทยยาวๆ ไปเลย ไม่ต้องหยุดยิง หยุดทิ้งไข่แค่เพียง 4 ทุ่ม ตามที่ผู้นำมาเลเซียขีดเส้นเอาไว้ให้!!!

นี่...เหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร สะใจ-ไม่สะใจ ก็แล้วแต่จะว่าไปตาม “รสนิยม”ของใครก็ของมัน แต่ที่แน่ๆ อาจถือเป็น“ข้อสังเกต”ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่ตามสมควรเหมือนกัน ว่าโดยเฉพาะช่วงหลังๆ นี้บรรดาประเทศเล็ก ประเทศใหญ่ ประเทศน้อยๆ ทั้งหลาย ดูๆ ชักจะไม่ค่อยมีใครเกรงอกเกรงใจ ยอมหมอบ ยอมคลาน ยอมศิโรราบ ยอมกลั้นจมูก กลั้นหายใจ“Kiss Ass” ประธานาธิบดีอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” กันสักเท่าไหร่นัก แม้ผู้นำรายนี้จะยังคงพยายามดำรงตนเป็น “ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิกไปซะทุกเรื่องทุกราว แต่อย่างใด หรือแม้จะข่มขู่ คุกคาม ส่งเสียงขู่ฟ่อดๆกันเพียงใดก็ตาม แต่กลับส่งผลให้ผู้ที่ถูกขู่ ถูกคุกคามหันไป“ยกตีนลูบหน้า” ผู้นำอเมริกาเสียเฉยเลย...

อย่างเช่นคุณปู่อินตะระเดีย เป็นต้น...ที่ถูกขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้าเข้าอเมริกาถึง 500 เปอร์เซ็นต์ถ้าหากยังคิดคบหา ค้าๆขายๆ กับหมีขาวรัสเซีย แต่แทนที่จะออกอาการ “แขกตี้” หรือ“แขก...กลัวแล้วนะนายจ๋า” กลับกลายเป็นการผลักอินเดียให้เข้าไปแนบแน่น หนุบหนับ เขาจับ-เขาจี๋ กับหมีขาวรัสเซียและพญามังกรจีน จนกลายสภาพเป็น “พันธมิตรสามเหลี่ยมยุทธศาสตร์ RIC” หรือแนวป้องกันรัสเซีย-อินเดีย-จีนในการสกัดกั้น ถ่วงดุลการครองโลก ครอบงำโลก ตามแนวคิดดั้งเดิมของอดีตรัฐบุรุษรัสเซีย “นายYevgeny Primakov”ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังไปเมื่อเร็วๆนี้...

หรือแม้แต่ประเทศ “สวนหลังบ้าน”อเมริกาอย่างเวเนซุเอลาก็เถอะ ไม่ว่าอเมริกาคิดจะบุก-ไม่บุก หรือบุกตอนไหน? เมื่อไหร่? ก็ตามที แต่โอกาสที่จะบดขยี้ ยึดแหล่งน้ำมัน เปลี่ยนระบอบการปกครองภายในประเทศนี้ ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบปอกกล้วยเข้าปากอยู่แล้วแน่ๆ โดยเฉพาะหลังจากผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน”ท่านได้ออกมายืนยัน นั่งยัน ถึงสนธิสัญญาข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-เวเนซุเอลา ว่าเป็นสิ่งที่ต่างชาติต่างประเทศมิอาจล่วงละเมิดได้โดยเด็ดขาด ถึงจะเปลี่ยนกรรมวิธีในการสร้างแรงกดดันด้วยการ “ยึดเรือน้ำมัน”ของเวเนซุเอลาระหว่างแล่นไป-แล่นมาในทะเลแคริบเบียน ด้วยการอาศัย “ข้ออ้าง”ว่าเพราะเรือดังกล่าวกำลังคิดจะขนส่งน้ำมันไปให้กับประเทศอิหร่านและพวก “Hezbollah”อันเป็นผู้ที่ประเทศอเมริกาประกาศ “แซงก์ชั่น”มานานแล้ว หรือถือเป็นการกระทำที่มิได้ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ได้ล่วงละเมิดข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รัสเซีย-เวเนซุเอลาแต่อย่างใด...

แต่ก็นั่นแหละ...หลังจากนั้นอีกเพียงแค่ 2 วันกองกำลัง “IRGC”ของอิหร่าน เขาก็เลยตัดสินใจหันไป “ยึดเรือน้ำมัน”ที่บรรทุกน้ำมันจำนวนถึง 6 ล้านลิตรและคิดจะแล่นผ่านช่องแคบ“Hormuz”แบบดื้อๆ ทื่อๆ โดยถือเป็นการแก้แค้นเอาคืน ต่อการที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐฯ ดันไปยึดเรือน้ำมันที่กำลังจะส่งมาให้กองกำลัง “IRGC”และพวก “Hezbollah” ส่งผลให้ “เส้นทางลำเลียงน้ำมัน”ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของโลกทั้งโลก เกิดความสับสนอลหม่านอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยถ้าหากมหาอำนาจอย่างอเมริกายังคิดเข้ามายื่นบัตรสมาชิกสมาคมเสือก เพื่อปกป้องเส้นทางเดินเรือในตะวันออกกลาง โดยอาศัยพลังอำนาจของ “กองเรือที่ 5”ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศบาห์เรน แต่โอกาสที่จะทำให้บรรดาชาติในตะวันออกกลางทั้งหลาย หันมาเออออ-ห่อหมก หันมาเห็นดี เห็นงามกับการกระทำของสหรัฐฯ ก็ชักจะไม่ง่าย ไม่ปอกกล้วยเข้าปากแบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว...

หรือดังที่ประธานศูนย์ศึกษาตะวันออกกลาง (The Middle East Studies Center) “นายMurad Sadygzade” เขาตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “Why the US can no longer impose its values on Saudi Arabia”เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละว่าเป็นเพราะโลกมันได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว จนมหาอำนาจอย่างอเมริกาไม่ได้เป็น “Indispensable Nation”หรือเป็นประเทศที่ประชาชาติจะขาดเสียมิได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุเพราะมันมี “ขั้วอำนาจ”ใหม่ๆ ไม่ว่าจีน-รัสเซีย-อินเดีย ฯลฯโผล่ขึ้นมาแบบยุ่บยั่บๆ เต็มไปหมด ความพยายามที่จะกดๆบีบๆ คลึงไป-คลึงมาเพื่อให้ผู้นำประเทศราชอาณาจักรซาอุฯ อย่างเจ้าชาย “Mohammed bin Salman”ยอมหันซ้าย-หันขวา ยอมสนองตอบต่อความปรารถนา ความต้องการของอเมริกา ในช่วงระหว่างเดินทางไปเยือนทำเนียบขาวครั้งล่าสุด ด้วยการฟื้นสัมพันธภาพโดยปกติกับพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกาอย่างอิสราเอล ตามแนวทางที่เรียกว่า “Abraham Accords”จึง “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย”กันเห็นๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าชาย “MbS” ท่านยืนยันแบบหัวเด็ดตีนขาดว่าต้องให้ยอมรับ “รัฐปาเลสไตน์”เท่านั้นถึงจะเป็นไปได้ และถ้าดันไปบีบไปคลึง ไปกด ไปดันกันในแบบไหน? ลักษณะไหน? โอกาสที่พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างซาอุฯ จะทะลักเข้าไปหนึบหนับ หนุนหนับกับจีนกับรัสเซีย หรือแม้แต่กับอิหร่าน ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

หรือแม้แต่ประเทศที่เต็มไปด้วยคนผิวสีอย่างแอฟริกาใต้...ที่ไม่เพียงแต่ถูก “ทรัมป์บ้า”ขึ้นภาษีสินค้าเข้าไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังสะบัดก้นไม่คิดจะเข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศ “G20”ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพเอาเลยแม้แต่น้อยรอไปประชุมในช่วงอเมริกาเป็นเจ้าภาพที่ไมอามี ฟลอริดา ปี ค.ศ.2026 โน่นเลย ด้วยการหยิบเอาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้าง ทำนองว่ารัฐบาลแอฟริกาใต้สนับสนุนให้ยึดพื้นที่ทำกินและสังหารหมู่พวกชาวผิวขาวที่เรียกว่า “Afrikaners” โดยไม่คิดจะพูดถึงความพยายาม “ปกป้องสิทธิมนุษยชน” ของรัฐบาลแอฟริกาใต้ด้วยการฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศเรื่องการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”ของอิสราเอลในดินแดนฉนวนกาซาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าอเมริกาจะเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของประเทศกำลังพัฒนาอย่างแอฟริกาใต้ก็เถอะ แต่ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “Cyril Ramaphosa”ท่านก็สวมวิญญาณเดียวกันกับ “นายกฯ เสี่ยหนู” หรือ “นายกฯ มิกกี้เมาส์” ของบ้านเรา ไม่คิดจะหันไป “Kiss Ass”ผู้นำอเมริกาแต่อย่างใด...

คือหันไปอาศัยกลไกการค้า การขาย ที่เรียกว่า “AfCFTA”หรือ “The African Continental Free Trade Area”หรือหันมาเน้นการค้าๆ ขายๆ ระหว่างบรรดาประเทศแอฟริกาเองด้วยกัน ด้วยการตั้งเป้าว่าจะเพิ่มปริมาณการค้าภายในกลุ่มประเทศทวีปเดียวกันให้ขึ้นไปอีก 52 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี ค.ศ. 2030 ให้จงได้!!! ส่วนการส่งสินค้าออกไปยังอเมริกานั้น ท่านถือว่าสินค้าส่วนใหญ่ของแอฟริกาใต้ไม่ใช่สินค้าที่จะต้องแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตในอเมริกาแต่อย่างใด แต่เป็นชิ้นส่วน องค์ประกอบ หรือเป็นสินค้าแบบ “ห่วงโซ่อุปทาน”ซะมากกว่า ด้วยเหตุนี้...การขึ้นภาษีของ “ทรัมป์บ้า”ต่อสินค้าแอฟริกาใต้ ย่อมกลายเป็นการ “ยืมหอกสนองคืน”ต่อบรรดาผู้บริโภคในอเมริกาเอง ที่จะต้องหาทางต่อต้าน คัดค้านและปฏิเสธ “ลูกบ้า”ของ “ทรัมป์บ้า”กันไปตามสภาพ...

หรือสรุปง่ายๆ ว่า...บรรดาผู้ที่ไม่คิดจะ “Kiss Ass”ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”นับวันจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆภายในโลกที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที และถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของผู้นำชาติยุโรป อย่าง “นายFriedrich Merz”แห่งประเทศเยอรมนี ที่ได้ไปโพนทะนาให้กับบรรดาสมาชิกพรรครัฐบาล “CSU”หรือ “Christian Social Union” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่แล้ว (13 ธ.ค.) การเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ว่ามันแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “การเคลื่อนย้ายแผ่นทวีป”(Tectonic shifts) เอาเลยถึงขั้นนั้น คือไม่ว่าจะในทางการเมือง หรือเศรษฐกิจ หนีไม่พ้นต้องเปลี่ยนกันแบบ “หลังตีนเป็นหน้ามือ” หรือ “หน้ามือเป็นหลังตีน” ก็แล้วแต่จะคิด แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ผู้นำเยอรมนีถึงกับต้อง “ฟันธง” ลงไปแบบมิดด้าม เต็มด้าม ว่าสิ่งที่บรรดาชาวยุโรปหรือบรรดา “โลกตะวันตก” เคยคุ้นเคย หรือเคยนำมาเป็น “เครื่องมือ” ในการดำรงรักษาอำนาจอิทธิพลของตัวเองมาโดยตลอด แบบที่เรียกๆ กันว่า“Pax Americana”หรือสันติภาพตามที่อเมริกาเป็นผู้กำหนด เหมือนที่จักรวรรดิโรมันในอดีตเคยใช้คำเรียกสันติภาพตามแบบฉบับของตัวเองว่า “Pax Romana” อะไรประมาณนั้น มันได้ถึงกาล“สิ้นสุด-ยุติ” ลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!!

หรือถึงเวลาที่ชาติแห่งโลกตะวันตกอย่างเยอรมนี จะต้อง “ตื่น” ขึ้นมารับรู้ความจริง ข้อเท็จจริง ไม่เช่นนั้นโอกาสที่บรรดาชาติยุโรปทั้งหลายจะถูก “ลบทิ้งทางอารยธรรม” หรือเกิดการ “Civilization erasure” ดังที่พันธมิตรซึ่งเคยเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอด อย่างคุณพ่ออเมริกา ได้ออกมาตำหนิติติงเอาไว้ในเอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงครั้งใหม่ (The National security strategy of the United States of America)ย่อมมีสิทธิเป็นไปได้ไม่ว่าเร็วหรือช้าด้วยเหตุเพราะ“Americans are now very, very firmly pursuing their own interests” หรือด้วยเหตุเพราะจ้าวโลก ประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา พร้อมที่จะ “เห็นแก่ตัวกู-ของกู” แบบเอาจริง-เอาจังไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นมิตร เป็นศัตรู อีกต่อไปแล้ว...


กำลังโหลดความคิดเห็น