xs
xsm
sm
md
lg

พรรคแบบไหนที่พาชาติไม่รอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



หากวันนี้เรายังมองว่าคำถามเรื่องกองทัพเป็นเพียงประเด็นเชิงอุดมคติ หรือเป็นข้อถกเถียงทางความคิดที่ควรถูกจำกัดไว้ในห้องเรียนหรือเวทีสัมมนา สังคมไทยคงต้องยอมรับว่าความจริงได้บังคับให้เราตื่นจากภาพฝันนั้นอย่างเจ็บปวด เมื่อเกิดการปะทะจริงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีทหารเสียชีวิต มีพลเรือนบาดเจ็บ และมีการใช้อาวุธโจมตีโดยไม่แยกแยะเป้าหมายทางทหารหรือพลเรือน เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสมมติ ไม่ใช่การโต้เถียงเชิงทฤษฎี แต่คือสถานการณ์ที่รัฐกำลังเผชิญภัยคุกคามต่ออธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนไม่อาจหลีกเลี่ยงการตั้งคำถามว่า ในภาวะแบบนี้ เราควรเลือกพรรคการเมืองแบบใดมาบริหารประเทศ 

ดังนั้น ในภาวะที่ประเทศกำลังเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง และประเทศชาติตกมาอยู่ภายใต้การตัดสินใจของเราว่าจะได้รัฐบาลแบบไหน เราในฐานะประชาชนจะต้องตั้งสติให้ดีว่า รัฐบาลแบบไหน ผู้นำแบบไหนที่จะสามารถปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติไว้ได้ และไม่ปล่อยให้ประเทศเป็นเพียงเรื่องอุดมคติเพ้อฝันหรือของเล่นของคนที่ยังไม่มีวุฒิภาวะดีพอที่จะนำพาประเทศของเรา 

ในยามที่อธิปไตยถูกคุกคาม การเลือกพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องของคำขวัญสวยหรูหรือวาทกรรมที่ฟังดูทันสมัย หากแต่คือการตัดสินใจเชิงโครงสร้างว่า รัฐจะมีศักยภาพเพียงพอในการปกป้องชีวิตประชาชนและผืนแผ่นดินหรือไม่ กฎหมายระหว่างประเทศรับรองสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเองก็จริง แต่สิทธินั้นจะกลายเป็นเพียงถ้อยคำบนกระดาษทันที หากรัฐไม่มีขีดความสามารถทางทหารรองรับ การทูตที่ไม่มีพลังยับยั้ง ไม่ใช่สันติภาพ แต่คือการวิงวอนต่อฝ่ายที่ถืออาวุธและพร้อมใช้มันจริง 

ปัญหาสำคัญในสังคมไทยร่วมสมัย คือการที่การวิพากษ์กองทัพในฐานะผู้เล่นทางการเมือง ถูกนำมาปะปนกับการปฏิเสธบทบาทของกองทัพในฐานะกลไกหลักของรัฐชาติในการป้องกันอธิปไตย การรัฐประหารในอดีตเป็นบาดแผลทางการเมืองที่ต้องถูกวิจารณ์และเรียนรู้ แต่การนำความไม่พอใจต่อรัฐประหารมาใช้เป็นเหตุผลในการลิดรอนกองทัพในยามที่ประเทศกำลังเผชิญภัยคุกคามจากภายนอก คือความสับสนทางตรรกะที่มีต้นทุนสูงอย่างยิ่ง 

พรรคการเมืองที่มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันหลักของชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือกองทัพ มักอธิบายจุดยืนของตนด้วยภาษาแห่งสิทธิเสรีภาพ และความก้าวหน้าแบบตะวันตก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง สถาบันเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์เชิงอุดมการณ์ หากแต่เป็นโครงสร้างที่ค้ำจุนความเป็นรัฐชาติ โดยเฉพาะในยามวิกฤตด้านความมั่นคง การบ่อนทำลายความชอบธรรมของสถาบันเหล่านี้ในช่วงที่ประเทศกำลังถูกท้าทายจากภายนอก เท่ากับการทำให้รัฐอ่อนแอลงจากภายใน ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะต้องออกแรงกดดันอย่างจริงจังเสียด้วยซ้ำ 

การปฏิรูปกองทัพไม่ใช่เรื่องผิด ตรงกันข้าม เป็นสิ่งจำเป็นในระยะยาว แต่การปฏิรูปที่ตั้งต้นจากอคติ ปฏิเสธความจริงของสงคราม และเชื่อว่าการใช้กำลังเป็นเรื่องล้าสมัย คือการปฏิรูปที่ขาดความรับผิดชอบต่อความเป็นจริงของโลกการเมืองระหว่างประเทศ พรรคการเมืองที่ตั้งคำถามว่า “มีทหารไว้ทำไม” หรือเสนอจะลดกำลังพล ตัดงบประมาณกองทัพ โดยไม่เสนอแบบจำลองความมั่นคงทดแทนอย่างเป็นรูปธรรม กำลังเสนอให้รัฐปลดอาวุธตัวเอง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามยังถืออาวุธและใช้มันจริง นี่ไม่ใช่หนทางสู่สันติภาพ แต่คือการส่งสัญญาณความอ่อนแอในทางยุทธศาสตร์ 

ในฐานะประชาชนควรถามตัวเองอย่างมีหลักการว่า หากเราเลือกพรรคที่ไม่เข้าใจบทบาทของกองทัพในภาวะสงคราม ไม่เข้าใจพลังทหารคือฐานของอำนาจต่อรองทางการทูต และไม่ยอมรับโลกความจริงของความขัดแย้ง ประเทศจะเหลืออะไรไว้ปกป้องชีวิตและแผ่นดิน 

ในจุดนี้เองที่ทัศนคติต่อกองทัพในฐานะ “ปัญหา” มากกว่า “ทรัพยากรของรัฐ” กลายเป็นความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ เพราะในโลกของรัฐชาติ กองทัพไม่ใช่เพียงองค์กรที่ถืออาวุธ หากแต่เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่ทั้งการยับยั้ง การป้องกัน และการส่งสัญญาณถึงขีดความสามารถของรัฐ รัฐที่ลดทอนคุณค่าของกองทัพโดยไม่เข้าใจบทบาทเหล่านี้ กำลังลดทอนอำนาจต่อรองของตนเองบนเวทีโลกโดยไม่รู้ตัว 

การมองว่ากองทัพมีไว้เพียงเพื่อทำรัฐประหาร และจึงควรถูกลิดรอนอำนาจหรือศักยภาพลง เป็นการนำประสบการณ์ทางการเมืองภายในมาทับซ้อนกับบริบทด้านความมั่นคงภายนอกอย่างผิดที่ผิดทาง เพราะในขณะที่การเมืองภายในยังสามารถแก้ไขผ่านกลไกตามรัฐธรรมนูญได้ ความมั่นคงภายนอกกลับไม่มีพื้นที่ให้ทดลองผิดพลาด หากรัฐส่งสัญญาณว่าไม่เชื่อในศักยภาพการป้องกันของตนเอง คู่ขัดแย้งย่อมตีความว่านี่คือจังหวะของการกดดัน ไม่ใช่ของการประนีประนอม 

ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในปัจจุบัน เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าโลกไม่ได้ดำเนินไปตามจินตนาการแบบโลกสวย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาบทบาทของฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาที่มีประวัติยาวนานในการใช้ความขัดแย้งภายนอกเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายใน ในช่วงเวลาที่กัมพูชากำลังเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจ การว่างงาน การชะลอตัวของการลงทุน และถูกนานาชาติจับตาอย่างหนักในประเด็นการเป็นฐานของเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ การปลุกกระแสชาตินิยมผ่านความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับรูปแบบการเมืองของผู้นำรายนี้มาโดยตลอด 

ผู้นำลักษณะนี้ไม่ตอบสนองต่อสัญญาณอ่อนหรือถ้อยคำประนีประนอมฝ่ายเดียว หากตอบสนองต่อการประเมินต้นทุนและผลประโยชน์อย่างเย็นชา การเจรจาจะมีความหมายก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายเชื่อว่าการยกระดับความขัดแย้งจะมีราคาที่ต้องจ่ายจริง การหวังพึ่งสันติวิธีโดยไม่มีกำลังทหารเป็นฐานรองรับ ไม่ใช่ความมีศีลธรรมที่สูงกว่า แต่คือความประมาททางยุทธศาสตร์ที่อาจทำให้รัฐตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบโดยไม่จำเป็น 

พรรคการเมืองที่มองโลกผ่านกรอบอุดมคติ เชื่อว่าความขัดแย้งสามารถแก้ไขได้ด้วยเจตนาดี กติกาสากล และถ้อยคำที่สวยงาม อาจดูน่าดึงดูดในยามปกติ แต่ในยามที่เสียงปืนดังและกระสุนจริงถูกยิงออกมา ความคิดเช่นนั้นกลับกลายเป็นความเสี่ยงต่อชีวิตประชาชนและอธิปไตยของรัฐ การเมืองไม่ใช่ห้องทดลองที่ล้มแล้วเริ่มใหม่ได้ เพราะสิ่งที่เดิมพันคือเลือดเนื้อของผู้คน ความมั่นคงของแผ่นดิน และอนาคตของชาติ 

สังคมไทยจึงควรถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่า หากเราเลือกพรรคการเมืองที่มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันหลักของชาติ ไม่เข้าใจบทบาทของกองทัพในภาวะสงคราม และปฏิเสธความจริงว่าพลังทหารคือฐานของอำนาจต่อรองทางการทูต ประเทศจะเหลืออะไรไว้ปกป้องชีวิตประชาชนและผืนแผ่นดิน ในวันที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมเล่นตามกติกาที่เราหวังไว้ 

ประวัติศาสตร์โลกสอนเราเสมอว่า การสูญเสียอธิปไตยไม่ได้เริ่มจากวันที่แพ้สงคราม หากแต่มักเริ่มจากวันที่รัฐเลือกจะไม่เตรียมพร้อม และส่งสัญญาณความอ่อนแอออกไปโดยไม่รู้ตัว ในภาวะที่อธิปไตยถูกคุกคาม การเลือกพรรคการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องของอารมณ์หรือความพอใจเชิงอุดมการณ์ แต่คือการตัดสินใจเชิงความอยู่รอดของรัฐชาติ ว่าเราจะยืนอยู่บนความจริงของโลก หรือจะฝากประเทศไว้กับความเชื่อที่สวยงาม แต่ไม่อาจปกป้องใครได้เมื่อถึงเวลาจริง 

อนาคตของประเทศ ความมั่นคงของชาติ และการปกป้องอธิปไตยอยู่ในมือของเราแล้วว่าอยากจะได้ผู้นำแบบไหนมานำพาประเทศของเราในสถานการณ์เช่นนี้ และพรรคแบบไหนที่จะพาประเทศไม่รอด 
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น