หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
การเมืองไทยบางครั้งก็เดินเหมือนลมหายใจของผู้ที่ยืนอยู่กลางกระแส อ่อนแรงเพียงเสี้ยววินาที ก็ถูกกระแสเหวี่ยงออกจากสมดุลทันที แต่เพียงอีกวินาทีต่อมา หากมีเหตุการณ์จากภายนอกขยับโครงสร้างทางอารมณ์ของสังคมทั้งระบบ ทั้งเกมการเมืองก็พร้อมจะพลิกกลับแบบไม่ให้ใครตั้งตัวทัน และสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลอนุทินในช่วงสองสัปดาห์นี้ คือบทพิสูจน์อันคมชัดที่สุดว่า “อารมณ์ของประชาชน” คือกฎฟิสิกส์ที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน หน้าฟีดข่าวของทั้งสื่อและสังคมเต็มไปด้วยภาพน้ำท่วม หาดใหญ่ที่กลายสภาพเป็นทะเล ถนนสายสำคัญจมหายไปในน้ำขุ่น หน่วยงานรัฐทำงานซ้ำซ้อน สามศูนย์บัญชาการที่ไม่มีแกนกลาง และคำถามจากประชาชนที่ดังขึ้นถึงศักยภาพของผู้นำ อนุทินในฐานะผู้นำรัฐบาล ถูกมวลอารมณ์นี้ทับใส่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คะแนนโพลร่วงลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนิด้าโพลภาคใต้และไทยรัฐโพลชี้ชัดว่า ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและตัวเขาลดต่ำลงถึงระดับที่คำว่า “ยุบสภา” กลายเป็นหมากที่พูดไม่ได้อีกต่อไป
แต่เพียงไม่นานหลังจากที่น้ำลด เสียงปืนที่ชายแดนไทย–กัมพูชากลับดังขึ้นอย่างกะทันหัน และเหตุการณ์นี้ก็ได้ “ดูดอารมณ์ของคนไทยทั้งประเทศ” จากความผิดหวัง ไม่พอใจ โจมตีการบริหารน้ำ กลับมาสู่โหมด “อธิปไตย–สงคราม–ศักดิ์ศรีชาติ” ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยตอบสนองอย่างรุนแรงเสมอ และสถานการณ์นี้เองกำลังทำให้กระแสการเมืองพลิกกลับไปอีกด้านแบบฉับพลัน
ในวันที่ 8 มกราคม เวลา 12.20 น. รัฐบาลประกาศแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ อนุทินยืนร่วมกับผู้นำกองทัพทั้งสามเหล่าทัพ และปลัดกระทรวงมหาดไทย ประกาศว่า “ไทยไม่ใช่ฝ่ายริเริ่ม ไม่ใช่ผู้รุกราน แต่ไทยพร้อมปฏิบัติการทางทหารในทุกมาตรการเพื่อปกป้องอธิปไตยและประชาชน” ถ้อยคำหนักแน่น การจัดขบวนแถลงเต็มยศ บวกกับการเรียกร้องให้สื่อและประชาชนติดตามข้อมูลจากภาครัฐเท่านั้น ล้วนส่งสัญญาณของ “รัฐที่พร้อมยืนหยัดในสถานการณ์สงคราม” และในโลกความจริงของการเมืองไทย ภาพนี้มีผลทางอารมณ์อย่างมหาศาล
เพราะทันทีที่ประกาศจบ พื้นที่สื่อสังคมก็เต็มไปด้วยเสียงสนับสนุนท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาล คนไทยมีประวัติศาสตร์อารมณ์ร่วมกับความขัดแย้งชายแดนอย่างยาวนาน ตั้งแต่พระวิหาร ไปจนถึงข้อพิพาทตามแนวสันปันน้ำ การสู้รบกับกัมพูชาเป็นประเด็นที่ “ปรุงชาตินิยมได้ง่ายที่สุด” และอนุทินเองก็รู้ดีว่าช่วงเวลานี้คือ “หน้าต่างโอกาสทอง” หากเขาสามารถพลิกภาพลบจากน้ำท่วมให้กลายเป็นภาพผู้นำด้านความมั่นคง เขาก็สามารถเปลี่ยนกระแสทางการเมืองได้อย่างรวดเร็วราวกับเปิดสวิตช์ เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ส่งเสียงพร้อมกันว่าเที่ยวนี้ “ต้องเอาให้จบ”
แม้แต่พรรคประชาชน พรรคที่ถือกำเนิดจากแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย และอ่อนไหวต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน ก็ยังมีแกนนำออกมาแสดงท่าทีสอดคล้องกับรัฐบาลอย่างไม่คาดคิด โดยเฉพาะ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่เสนอให้ “เปิด 3 แนวรบ” พร้อมสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อรักษาอธิปไตย ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ปกติแล้วจะมาจากฝ่ายชาตินิยม ไม่ใช่พรรคแนวประชาชนก้าวหน้า
การสนับสนุนของณัฐพงษ์สร้างแรงสั่นสะเทือนทันทีในกลุ่มผู้สนับสนุน นักคิดสายก้าวหน้าสุดโต่งอย่าง สุชาติ สวัสดิ์ศรี และประวิตร โรจนพฤกษ์ ออกมาตำหนิอย่างรุนแรงว่าเป็นการคล้อยตามทหารเกินควร และ “พูดเกินกรอบของการป้องกันตัวตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ” ใบตองแห้ง อธึกกิต แสวงสุข ถึงกับเขียนว่า “พูดอย่างนี้ ถ้าได้เป็นนายกฯ ทหารเหยี่ยวคงตีปีก” กลายเป็นวิกฤตภายในเล็ก ๆ ของพรรคประชาชนว่ากำลังหลุดจากแนวทางเดิมหรือไม่
หากมองในมุมการเมือง “ท่าทีของณัฐพงษ์” อาจเป็นภาพสะท้อนที่สำคัญกว่าเสียงวิจารณ์ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า พรรคประชาชนเองก็กำลังจับกระแสในสังคมว่าคนไทยในเวลานี้ “อยู่ในอารมณ์แบบไหน” และคำตอบก็คือ อารมณ์แบบชาตินิยมกำลังพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จนพรรคการเมืองที่เคยยืนตรงข้ามแนวคิดนี้ยังต้องขยับตาม เพื่อไม่ให้กระแสสังคมหันกลับมาเล่นงานตัวเอง
แต่หลังถูกกระแสวิจารณ์อย่างหนักจากแนวร่วมก้าวหน้าเรื่องท่าที “แข็งกร้าวเปิด 3 แนวรบ” วันต่อมา ณัฐพงษ์ ได้ปรับจุดยืนใหม่ทันที โดยหันมาเน้นกรอบการใช้กำลังตามกฎหมายสากล ลดน้ำหนักการรบเชิงรุก และย้ำว่าการทหารต้องเป็น วิธีสุดท้าย พร้อมชูแนวทาง “การทูต–การข่าว–ปราบสแกมเมอร์” เป็นหัวใจของการแก้ปัญหา เตือนรัฐบาลอย่าตกหลุมพรางฮุน เซนว่าไทยเป็นฝ่ายรุกราน และขอให้ยึดการเจรจาเป็นเป้าหมายปลายทาง สะท้อนการถอยจากโหมดชาตินิยมแข็งกร้าว ไปสู่กรอบคิดแบบระมัดระวังขึ้นเพื่อประคองฐานเสียงของพรรคประชาชนและไม่ให้ถูกลากเข้าสู่ภาวะสงครามเต็มรูปแบบ
เหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องทหารต่อทหาร แต่เป็น “แรงสั่นสะเทือนของการเลือกตั้งครั้งหน้า” เพราะในทางการเมือง กระแสชาตินิยมคือพายุที่สามารถกลบทุกวิกฤตภายในประเทศได้อย่างสมบูรณ์ แบบเดียวกับที่ทุกประเทศในโลกเผชิญมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ อังกฤษ อินเดีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ เมื่อสงครามมาถึง ความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมืองมักถูกเลื่อนไปเป็นอันดับสองทันที
และสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับรัฐบาลไทยอย่างไม่ต้องสงสัย จากรัฐบาลที่เพลี่ยงพล้ำจากภาพน้ำท่วม การจัดการที่ล้มเหลว โพลตกลงอย่างหนัก กลับกลายเป็นรัฐบาลที่ยืนอยู่กลางเวทีสงคราม แถลงการณ์อย่างแข็งกร้าว ขนผู้นำกองทัพออกมายืนเรียงแถว สร้างภาพลักษณ์ของความพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภายนอก และที่สำคัญคือ ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ที่มองประเด็นอธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด
กระแสนี้ทำให้ฝ่ายค้านเองต้องประเมินใหม่ ว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจดีหรือไม่ เพราะหากยื่นในจังหวะที่ “สงครามกำลังดำเนินอยู่” จะกลายเป็นการเล่นงานรัฐบาลในช่วงวิกฤตด้านความมั่นคง ซึ่งอาจถูกสังคมตีความว่าเป็นการ “แทงข้างหลังชาติ” และอาจย้อนกลับมาทำลายพรรคที่ยื่นอภิปรายเองได้อีกด้วย
ในอีกด้านหนึ่ง หากรัฐบาลเลือกจะผูกประเด็นนี้กับการทำประชามติเรื่อง MOU 2543 และ 2540 ว่าด้วยเขตแดนไทย–กัมพูชา กระแสชาตินิยมที่พุ่งสูงจะกลายเป็น “คลื่นผลัก” โดยธรรมชาติให้รัฐบาลได้เสียงสนับสนุนมากเป็นพิเศษ ประเด็นชายแดนคือชนวนที่ง่ายที่สุดในการปลุกอารมณ์ชาตินิยม และหากผูกเข้ากับการเลือกตั้ง กติกาการเมืองอาจเปลี่ยนไปทั้งแผ่นดิน
เพราะต้องยอมรับว่า ในสังคมไทยประเด็นเขตแดนไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรีที่ฝังรากลึกในความทรงจำร่วมของชาติ ตั้งแต่ข้อพิพาทสมัยรัชกาลที่ 5 ข้ามมาถึงคดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก และ MOU 2543/2540 ที่ยังเป็นรอยแผลใหญ่ในความรู้สึกของประชาชนจำนวนมาก หากรัฐบาลเลือกหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาประกอบการหาเสียง การเมืองไทยอาจมุ่งหน้าสู่สนามที่ “ชาติต้องมาก่อน” โดยสมบูรณ์แบบ
แต่ก็ไม่แปลกที่สถานการณ์นี้ก็ก่อให้เกิดความหวั่นวิตกในอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะนักวิชาการและกลุ่มสิทธิมนุษยชนเสรีนิยมที่เตือนว่าการตอบโต้ของไทย หากเกินกรอบของการป้องกันตัว อาจทำให้ประชาคมโลกเข้าข้างกัมพูชา ยิ่งถ้าปฏิบัติการของไทยถูกตีความว่าเป็นการ “ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ” การเมืองภายนอกประเทศอาจกลับมาเล่นงานรัฐบาลในภายหลังได้ และไทยเองก็อาจถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ใช้ความรุนแรงมากกว่าผู้ปกป้องอธิปไตย
แต่ในเกมการเมืองในทุกประเทศ กระแสชาตินิยมมักมีพลังมากกว่าเสมอ พลังความรู้สึกของสังคมที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ของสังคมตอนนี้ต้องการความแข็งแกร่ง ย่อมเสียงดังกว่าเสียงเตือนจากผู้ที่กังวลเรื่องภาพลักษณ์ในเวทีโลก เพราะทุกชาติต้องปกป้องตัวเองเมื่อความมั่นคงของชาติถูกกระทบ และถูกต้องที่อนุทินเลือกเดินบนเส้นทางนี้ เพราะเป็นเส้นทางที่ตอบสนองอารมณ์ของประชาชนมากที่สุด และสามารถพลิกคะแนนนิยมที่ดิ่งลงหลังน้ำท่วมให้ฟื้นกลับขึ้นได้อย่างมหาศาล
เมื่อรวมทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน ตั้งแต่วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ จนถึงเสียงปืนที่ชายแดนไทย–กัมพูชา เรากำลังเห็นการเมืองไทยเข้าสู่ยุคที่ “อารมณ์ชาติ” กลับมาเป็นตัวกำหนดเกมอีกครั้ง พรรคประชาชนเองแม้จะเจอแรงต้านภายใน แต่ก็เริ่มขยับท่าทีให้เข้าใกล้กระแสสังคม ส่วนเพื่อไทยต้องคิดให้หนักว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจกลายเป็นการ “ยิงตัวเอง” ส่วนภูมิใจไทยกำลังได้เครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังที่สุดในการกู้ศรัทธา นั่นคือ “อธิปไตย”
การเมืองไทยในวันนี้จึงไม่ใช่การเมืองแบบเดิมที่ชั่งน้ำหนักด้วยตัวเลขหรือผลงานบริหาร แต่เป็นการเมืองที่ขยับตาม “แรงสั่นสะเทือนของขอบฟ้า” เมื่อใดที่ชายแดนมีควันไฟ ทุกพรรคการเมืองต้องปรับจังหวะการเดินใหม่ทั้งหมด และในสถานการณ์ที่อารมณ์ชาตินิยมกำลังท่วมท้นอย่างที่เห็นในตอนนี้ ผู้ที่ตอบสนองต่อความรู้สึกร่วมของสังคมได้เร็วที่สุด ย่อมเป็นผู้ได้เปรียบที่สุด
อนุทินจึงอาจกำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลาที่แข็งแรงที่สุด ทั้งที่เพิ่งผ่านช่วงที่อ่อนแรงที่สุดไม่กี่วันก่อนหน้า การเมืองไทยบางครั้งก็พลิกเพียงเพราะระดับน้ำสูงขึ้นไม่กี่เซนติเมตร และบางครั้งก็เพราะเสียงปืนดังขึ้นไม่กี่นัด แต่ทั้งหมดล้วนสะท้อนว่า การเมืองไทยคือสนามที่ “ความรู้สึกของผู้คน” มีพลังมากกว่าการคำนวณของนักยุทธศาสตร์ใด ๆ และในวันนี้กระแสชาตินิยมกลับมาทวงพื้นที่ของมันอย่างเต็มตัวแล้ว
*บทความนี้เขียนก่อนการยุบสภา
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


