xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์ใหม่อเมริกากับ“สงครามยุโรป-รัสเซีย”ปี 2030

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตไปลองวิเคราะห์ถึงสิ่งที่อาจถือเป็นเนื้อหา สาระของ“National security strategy of the United State of America”หรือ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา”ของรัฐบาล“ทรัมป์บ้า”ความยาวประมาณ 33 หน้า ซึ่งเพิ่งได้รับการเผยแพร่เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว (5 ธ.ค.)น่าจะเหมาะกว่า เพราะถึงแม้จะไม่เป็นที่สนอก-สนใจของผู้คนในบ้านเรา ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการปะทะชายแดน“ไทย-กัมพูชา”แต่ก็ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต หรือเป็นเรื่องที่อาจใช้เป็นตัวสะท้อนความเป็นไปของโลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้...
คือถ้าว่ากันโดยรวมๆ แล้ว...อันดับแรก อาจถือเป็นการแสดงความยอมรับของรัฐบาลอเมริกาครั้งแรกว่าโลกใบนี้ ยุคนี้ สมัยนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่โลกที่ยังอยู่ภายใต้ “ขั้วอำนาจเดียว” อันมีคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตกเป็นผู้ควบคุมบงการอีกต่อไป เพราะอย่างน้อย...ก็ย่อมมิอาจปฏิเสธถึงมหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา อย่างจีนและรัสเซีย ที่ได้กลายเป็น “ขั้วอำนาจใหม่” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น... 

ส่วนอันดับสอง...การคิดที่จะดำรงตนในฐานะ “ขั้วอำนาจ”อีกขั้วหนึ่งของอเมริกา จึงทำให้เกิดความพยายามที่จะย้อนกลับไปสู่ยุคเดิมๆเมื่อครั้งอดีต ยุคที่เคยเรียกกันว่า “ยุคทองของอเมริกา” หรือกลับไปสู่ความเป็นผู้ทรงอำนาจและอิทธิพลสูงสุดในอาณาบริเวณที่รู้จักกันในนาม “Western Hemisphere” หรือพื้นที่ทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้ อย่างที่เคยทำให้อดีตประธานาธิบดีอเมริกัน “นายJames Monroe” เคยออกมาป่าวประกาศเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1823 ห้ามมิให้บรรดานักล่าอาณานิคมชาติตะวันตกใดๆ ก็ตาม เข้ามาแตะพื้นที่ประเทศต่างๆ ในอาณาบริเวณนี้แบบชนิด “แตะเธอเมื่อไหร่...โลกแตกแน่” อะไรประมาณนั้น อันเป็นที่เรียกขานกันว่า “Monroe Doctrine” หรือ “ลัทธิมอนโร” นั่นเอง... 

เพียงแต่ว่า...ความพยายามสร้าง “ลัทธิมอนโร” หรือ“Monroe Doctrine” ขึ้นมาใหม่ของผู้นำอเมริกาคนปัจจุบันอย่าง “ทรัมป์บ้า” หรือ “โดนัลด์ ทรัมป์” ตามคำเรียกที่หนังสือพิมพ์ “The New York Times” เขาขนานนามไว้ให้โอกาสที่มันจะทำให้ประเทศอเมริกากลับมายิ่งใหญ่แบบเดิม หรือกว่าเดิม ไม่ว่าโดยการคิดที่จะผนวกเอาประเทศแคนาดามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา คิดยึดคลองปานามาเพื่อไม่ให้คุณพี่จีนเข้ามาเพ่นพ่าน ยุ่มย่าม คิดจะยึดเกาะกรีนแลนด์ เพื่อเอาไว้เผชิญหน้ากับอิทธิพลหมีขาวรัสเซียในภูมิภาคอาร์กติก ไปจนแม้แต่คิดจะยึดแหล่งแร่ แหล่งน้ำมัน ในประเทศเวเนซุเอลา ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...มันคงไม่ถึงกับ “ปอกกล้วยเข้าปาก” แบบเมื่อครั้งเดิมๆ มากมายสักเท่าไหร่ เผลอๆ...อาจส่งผลให้แทนที่อเมริกาจะกลับมา “Great Again” อย่างที่หวังตั้งใจ แต่อาจถึงขั้นต้อง “Dead Again” ต้องโดดเดี่ยวในบ้านร้าง ในซีกโลก “Western Hemisphere” เอาเลยก็ไม่แน่!!! 

ส่วนอันดับที่สามนั้น...ด้วยเหตุเพราะพยายามจะถอยกลับมาตั้งมั่น มายิ่งใหญ่อยู่ภายในภูมิภาคดั้งเดิมของตัวเองนั่นเอง เลยทำให้ต้องคิดหันไป “โอนภาระ” หรือ “โยนภาระ” ในการปกป้อง คุ้มครอง อาณาบริเวณอีกฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกให้กับบรรดาชาติยุโรป หรือพวกอียู-อีย้วยทั้งหลาย ให้หาทางรับผิดชอบกันเอาเอง แถมยังหยิบยกเหตุผลและข้ออ้างที่ฟังแล้วก่อให้เกิดอาการ “ปวดตับ” ต่อบรรดาพวก“เสรีนิยมใหม่” ในยุโรปจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าการกล่าวหาว่าบรรดาประเทศเหล่านี้ถูกปกครองโดยผู้นำประเภท “Weak Leader” ที่ไม่สามารถรับมือกับการอพยพหลบหนีเข้าเมืองจนเกิดความปั่นป่วนไปเป็นประเทศๆ หรือจนต้องหันมาละทิ้งวัฒนธรรมและค่านิยมทางสังคมที่เคยให้ค่ากับ “เสรีภาพ” ในรูปแบบต่างๆ มานานแสนนาน อันอาจก่อให้เกิดหนทางแห่งความเป็นไปได้ที่จะเกิดการ “ลบทิ้งทางอารยธรรม” หรือ “Civilizational erasure” เอาเลยถึงขั้นนั้นยิ่งอดีตคนสนิทของ“ทรัมป์บ้า” อย่าง “Elon Musk” ด้วยแล้ว ถึงกับออกมาชี้แนะ ชี้นำ ให้ “Abolition of EU” หรือโละทิ้งอียู ไปโน่นเลย!!! 

อีกทั้งแนวคิดทางยุทธศาสตร์ใหม่คราวนี้...ยังแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่ลดน้อยถอยลงต่อการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แม้ยังคงพยายามยืนยัน นั่งยัน ถึงการพิทักษ์ ปกป้องพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลและซัปพลายด้านพลังงานไปจนถึงเส้นทางเดินเรือทั้งหลายก็ตาม แต่จะต้องไม่ปล่อยให้เกิด “การทดลองอย่างหลงทิศหลงทางในการข่มเหงระรานชาติต่างๆ ในตะวันออกกลาง”โดยเฉพาะในเรื่อง “ขนบธรรมเนียมประเพณีและรูปแบบการปกครองของพวกเขา” หรือถือเป็นการยอมรับความแตกต่างหลากหลายแห่งเอกลักษณ์ อัตลักษณ์แห่งความเป็นชาติ ในแบบทางใครก็ทางมัน ของใครก็ของมัน ต่างไปจากความพยายามบีบบังคับและลบทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าเสรี ทุนนิยมเสรี ของพวก “โลกาภิวัตน์จากด้านบน” หรือบรรดาพวก “เสรีนิยมใหม่” ทั้งหลาย แบบชนิดคนละเรื่อง คนละม้วน เอาเลยก็ว่าได้... 

ส่วนอันดับสี่ที่มีความสำคัญมิใช่น้อย...ก็คือท่าทีในการรับมือกับ “ขั้วอำนาจอื่นๆ” ซึ่งอุบัติขึ้นมาอย่างประจักษ์แจ้ง ชัดเจน จนต้องกลายเป็น “มหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา” ตามแนวทางยุทธศาสตร์ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าพญามังกรจีนหรือหมีขาวรัสเซียก็ตาม ที่ไม่ได้มุ่งแต่จะ “เผชิญหน้า” ใดๆ อีกต่อไปแล้วแต่เปลี่ยนมาเป็นการ “ปูพรมแดง” ต้อนรับผู้นำรัสเซีย อย่างเช่นที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนพญามังกรจีนที่แม้ว่า “การแข่งขันกับจีนยังคงมีความสำคัญสูงสุดสำหรับสหรัฐฯ” แต่ก็ไม่ได้ถึงกับสำคัญชนิดต้องออกเรี่ยว ออกแรงแบบหน้ามืดตามัว โดยตัวเองเพียงลำพังแต่อย่างใด หรือ “กองทัพอเมริกันไม่สามารถและไม่ควรที่จะต้องกระทำเรื่องนี้เพียงลำพังฝ่ายเดียว”แต่จะหันไปใช้วิธียุยง ส่งเสริม หรือยุแยงตะแคงรั่ว ด้วยการ... “ร่วมทำงานกับบรรดาชาติพันธมิตรในเอเชีย” ในการคานอำนาจปักกิ่งกันแทนที่... 

อย่างไรก็ตาม...แนวคิดทางยุทธศาสตร์แบบใหม่ ฉบับใหม่ของอเมริกา มันจะเป็นจริง-เป็นจัง เป็นไปตามความปรารถนาและต้องการของ “ทรัมป์บ้า” หรือไม่? เพียงใด? มากหรือน้อยขนาดไหน??? อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ใครต่อใครซึ่งไม่คิดจะ “ออกลูกเป็นลิง” หรือยังไม่คิดจะเชื่อต่อยุทธศาสตร์ที่ว่าเอาง่ายๆ ก็ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย อาทิ โฆษกเครมลิน อย่าง “นายDmitry Peskov” ที่แม้จะแสดงความเห็นพ้องต้องกันต่อแนวคิดดังกล่าวอยู่ตามสมควร แต่ระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอย่าง “นายPavel Zarubin” แห่งโทรทัศน์ “VGTRK”เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 ธ.ค.) ก็อดไม่ได้ที่จะต้อง “ตั้งข้อสังเกต” ไว้ว่า สิ่งที่เรียกว่า “Deep State” ในอเมริกา ไม่ว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที แต่น่าจะ... “มองโลกแตกต่างไปจากทรัมป์” อยู่แล้วแน่ๆ!!! 

เช่นเดียวกับโฆษกปากคมแห่งกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย “Maria Zakharova” ที่ยังไม่ค่อยแน่ใจต่อ “ความชัดเจน” ของคำพูด หรือเนื้อหาสาระที่ปรากฏอยู่ในแนวคิดทางยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งออกจะสวนทาง หรือขัดแย้งกับการประพฤติและปฏิบัติที่เป็นจริง โดยเฉพาะขององค์กรพันธมิตรทางทหารซึ่งมีอเมริกาเป็นผู้นำอย่างองค์กร “NATO” ที่ยังคงมุ่งที่จะแผ่ขยายอำนาจ แผ่ขยายตัว แบบชนิด “Aggressively expansionist” หรือแบบคิดจะครองโลก คิดจะเป็นจ้าวโลกให้จงได้ หรือแม้แต่การคิดสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศที่เรียกว่า “Golden Dome” ของ “ทรัมป์บ้า” เองก็ตาม หลังจากที่สนธิสัญญาจำกัดอาวุธ “The New START Treaty” หมดอายุลงไปก็แทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากการคิดจะ “แปรอวกาศให้กลายเป็นสนามรบ” เอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ได้คิดจะหมกตัว หรือโดดเดี่ยวตัวเอง อยู่แต่เฉพาะใน “Western Hemisphere” แต่อย่างใด หรือยังคงต้องคอย “ชั่งน้ำหนัก” อีกต่อไป... 

คือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากสิ่งที่ “ทรัมป์บ้า” ป่าวประกาศเอาไว้ใน “ยุทธศาสตร์แห่งชาติอเมริกา” ครั้งใหม่ มันเป็นจริง เป็นจัง หรือมีลู่ทางที่จะเป็นไปตามนั้น โดยที่ “Deep State” หรือ“รัฐพันลึก” ในอเมริกา ไม่คิดจะสร้างอุปสรรคขัดขวางแต่อย่างใด โอกาสที่โลกทั้งใบมันจะพอ “อยู่ๆ กันไปได้” ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แต่ถ้าหากสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเป็นเพียงแค่ “คำพูด” หรือเป็นแค่การ “กะล่อนไปวันๆ” อันนี้...ก็คงไม่น่าจะเกินไปกว่าอีกสักประมาณ 5 ปีข้างหน้า หรือไม่น่าจะช้าไปกว่าปี ค.ศ. 2030 อันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้นำฮังการี อย่าง“นายViktor Orban” ออกมาคาดคะเนเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะดูจากการตระเตรียมงบประมาณทางทหาร การระดมเกณฑ์ผู้คนเข้าสู่กองทัพรวมไปถึงการปรับระบบเศรษฐกิจให้กลายเป็น “War Economy” ของบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย โอกาสที่จะเกิดการวัดตัดสินกันด้วย “สงคราม” ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกที่มีอเมริกาเป็นผู้นำ น่าจะอุบัติขึ้นมาไม่เกินไปกว่าช่วงเวลาที่ว่านี้ค่อนข้างแน่!!! จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ก็ลองไปคิด ไปวิเคราะห์ เอาเองก็แล้วกัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น