xs
xsm
sm
md
lg

กระแสมาแรงของพลเอกรังษี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ชื่อของพลเอกรังษี กิติญาณทรัพย์ กลายเป็นเหมือนประกายไฟดวงใหม่ที่ผุดขึ้นมากลางพื้นที่การเมืองไทยที่ดูเหมือนนิ่งเฉยและหมดแรงมาหลายปี จากพรรคเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจในวันแรกค่อยๆ ไหลขึ้นทุกโพลอย่างเงียบๆ แต่แรงพอที่ชวนให้ตั้งคำถามต่อปรากฏการณ์ทางการเมือง ทำไมพรรคที่เพิ่งตั้ง ยังไม่เคยผ่านสนามเลือกตั้ง กลับกระทบใจผู้คนได้มากระดับนี้  

แต่ทำให้เราพอสัมผัสได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากเครื่องจักรพรรค ไม่ได้มาจากทุนหรือเครือข่ายใดๆ แต่มาจากอารมณ์สังคมที่กำลังเดือดปุดๆ เรื่องอธิปไตยชายแดน และศักดิ์ศรีของประเทศที่คนจำนวนมากรู้สึกว่ากำลังถูกท้าทาย และยังไม่มีใครยืนในจุดที่ประชาชนอยากเห็นจริงๆ ที่พลเอกรังษีเข้ามาเติมในจุดนี้พอดี 

เราจึงเห็นชื่อของพลเอกรังษีไหลขึ้นเรื่อยๆ บนหน้าจอโพล จนผมอดนึกถึงปี 2562 ไม่ได้ วันที่ชื่อของพรรคเสรีรวมไทยสร้างกระแสจากพรรคเล็กในยุคนั้นที่มีจุดขายที่ตัวหัวหน้าพรรคปรากฏขึ้นมาบนหน้าฉากของการเมืองตอนนั้น พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ไม่ได้ขึ้นมาเพราะนโยบายหวือหวา แต่ขึ้นมาเพราะความอัดอั้นของผู้คนที่ต้องการใครสักคนมาพูดแทนในวันที่ คสช.กดทับสังคมจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจ ความดุดันของเขา การพูดถึงผู้นำทหารแบบไม่เกรงใจ  

และประโยคเด็ดอย่าง “ผมไม่จับมือกับเผด็จการ” คือสิ่งที่ประชาชนจำนวนหนึ่งอยากตะโกน แต่ไม่มีพื้นที่ตะโกนให้มันดังพอ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์จึงเป็นเหมือนลำโพงของความอัดอั้นของคนที่ไม่เอาอำนาจทหาร และในวันนั้น พรรคเล็กๆ ที่ไม่มีฐานคะแนนเขต ไม่มีเครือข่าย ก็กลายเป็นฝ่ายค้านที่มีเสียงดังที่สุดคนหนึ่งในสภาฯ ด้วยจำนวน 10 ที่นั่งที่ไม่มีใครคาดมาก่อน 

เช่นเดียวกัน ผมเห็นปรากฏการณ์คล้ายกันในอีกอารมณ์หนึ่ง พรรคเศรษฐกิจใหม่ของมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นพรรคที่ดูไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำตอนตั้งใหม่ๆ แต่กลับทะลุเข้ามาในสภาฯ ได้ 6 ที่นั่ง และกลายเป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลในแบบที่ทำให้พรรคใหญ่ต้องเหลียวหลังมอง จุดขายของมิ่งขวัญไม่ใช่การเมืองเสียงแข็งอย่างพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ แต่เป็นคำอธิบายเรื่องเศรษฐกิจที่เข้าใจง่าย จับต้องได้ และจริงใจกว่าเสียงของนักการเมืองอาชีพหลายคน ในเวลาที่ปากท้องของประชาชนได้รับผลกระทบหนักจากเศรษฐกิจที่ถดถอยต่อเนื่อง การปรากฏตัวของมิ่งขวัญจึงให้ความหวังแก่คนที่รอใครสักคนมา “จัดระเบียบเศรษฐกิจใหม่” ให้ดีขึ้น เชื้อไฟของเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองจึงพาพรรคของเขาลอยขึ้นมาได้ไกลกว่าที่ใครคาดไว้ 

แต่พอหันกลับมาที่วันนี้ คลื่นอารมณ์ของสังคมไม่ใช่คลื่นต่อต้านเผด็จการแบบพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ไม่ใช่คลื่นเศรษฐกิจแบบมิ่งขวัญ แต่เป็นคลื่นที่ผูกกับคำว่า “อธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ” แบบแน่นหนาที่สุดในรอบหลายปี เหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ทหารไทยเหยียบกับระเบิด เสียงเรียกร้องให้รัฐไทยชัดเจนเรื่องเขตแดน และภาพของผู้นำกัมพูชาที่ใช้วาทกรรมแข็งใส่ไทยจนคนทั้งประเทศรู้สึกว่าถูกท้าทาย ล้วนรวมกันเป็นเชื้อไฟก้อนใหญ่ที่รอเพียงประกายเดียวเพื่อปะทุขึ้น 

และประกายไฟนั้น เกิดขึ้นในวันที่พลเอกรังษีออกมาพูดคำที่คนทั้งประเทศ “อยากได้ยิน” มานาน ในช่วงที่รัฐบาลยังลังเล เขากลับพูดแบบไม่อ้อมค้อมว่า “เรื่องอธิปไตย ถ้าถอยสักก้าวเดียว วันหน้าเราจะไม่เหลืออะไรให้ถอยอีกแล้ว” ประโยคนี้กระแทกใจคนไทยทันที เพราะมันตรงกับความรู้สึกลึกๆ ของสังคมที่มองว่าประเทศกำลังยอมมากไป 

อีกครั้งหนึ่ง เขาพูดถึงเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ทับซ้อนด้วยน้ำเสียงที่สื่อสารชัดเจนว่าเขาไม่ได้พูดเล่นการเมือง แต่พูดจากหัวใจของคนที่เคยอยู่ในสนามจริง เขาบอกว่า “ทหารเราไม่ได้เข้าไปก่อเรื่อง เขาเดินทำหน้าที่ในแผ่นดินของเขา ถ้าเขาเจ็บหนึ่ง เราต้องถามว่าทำไมประเทศไทยต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่เรื่อย” 

นี่คือคำพูดที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าในเวลาที่รัฐบาลสื่อสารอย่างลังเล พลเอกรังษีกลับเป็นคนเดียวที่ยืนพูดแทน “ความโกรธปนเจ็บปวด” ของประชาชนแบบชัดเจน 

ในประเด็น MOU 43–44 เขายังพูดอีกว่า “ข้อตกลงไหนที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ เราต้องกล้าทบทวน ไม่ใช่ยอมเพราะกลัวใครจะไม่พอใจ ประเทศไทยไม่ใช่ลูกไล่ของใคร” เราจะเห็นได้ว่าคลิปของพลเอกรังษีจำนวนมากถูกแชร์กระจายไปในโซเชียลมีเดีย แบบโดนใจใครหลายคน เพราะมันสะท้อนความรู้สึกว่าไทยไม่ควร “อ่อน” ในเรื่องที่แตะศักดิ์ศรีของรัฐได้ 

และเมื่อพูดถึงพฤติกรรมของผู้นำกัมพูชาที่โยนประเด็นให้ไทย เขาพูดประโยคที่กลายเป็นไวรัลทันทีว่า “อย่าให้ใครมาสั่งสอนเราเรื่องแผ่นดินของเราเอง ประเทศไทยต้องพูดด้วยความมั่นคง ไม่ใช่เออออเพื่อให้เขาพอใจ” 

คำพูดเหล่านี้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่กลับไปสะกิดแผลที่สังคมไทยอัดอั้นมานาน และทำให้เขากลายเป็นนายทหารนอกราชการที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในคลื่นชาตินิยมแบบปกป้องตัวเองในเวลานี้ 

ดังนั้นเมื่อเขาพูดในวันที่สังคมกำลังอัดอั้นที่สุด คำพูดของเขาจึงกลายเป็นประกายที่ทำให้ไฟในใจคนจำนวนมากลุกพรึ่บขึ้นมาในทันที น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดังเพราะตะโกน แต่ดังเพราะความนิ่ง ความตรงไปตรงมา และความไม่ลังเลที่จะพูดแทนความรู้สึกที่หลายคนเก็บงำไว้เป็นปีๆ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพรรคเศรษฐกิจของเขาจึงพุ่งขึ้นราวกับมีใครคอยผลัก ทั้งที่พรรคไม่ได้มีพื้นฐานแข็งแรงใดๆ รองรับ และยังไม่เคยถูกทดสอบในสนามจริงด้วยซ้ำ 

ก่อนเหตุการณ์ไทย-กัมพูชาแม้พลเอกรังษีจะเป็นนายทหารยศพลเอก แต่เขาไม่ได้เป็นคนป็อปปูลาร์ที่เป็นที่รู้จักและกล่าวขวัญถึงมาก่อนเลย  

เมื่อมองย้อนกลับไป สิ่งที่เกิดกับพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ มิ่งขวัญ และพลเอกรังษีในวันนี้เหมือนโครงเรื่องชุดเดียวกัน ต่างเพียงอารมณ์ของสังคมในแต่ละยุค พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์เติบโตบนความโกรธทางการเมือง มิ่งขวัญเติบโตบนความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจ และพลเอกรังษีเติบโตบนความรู้สึกว่าประเทศกำลังถูกกดทับจากภายนอก ทั้งสามกรณีคือบทพิสูจน์ว่าการเมืองไทยไม่ได้ถูกกำหนดด้วยพรรคใหญ่เสมอไป แต่มักถูกกำหนดด้วย “เสียงของผู้คนในช่วงเวลาที่อารมณ์สังคมถึงจุดเดือด” เสมอ 

และเมื่อใดที่ประเทศเข้าสู่จังหวะแบบนี้ พรรคเล็กที่พูดแทนความรู้สึกนั้นได้ จะถูกลมอารมณ์พัดให้สูงขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะชื่อพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ มิ่งขวัญ หรือพลเอกรังษี ก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้ว การเมืองไทยโอนเอนตามอารมณ์ของประชาชนมากกว่าตามโครงสร้างของพรรคใหญ่เสียด้วยซ้ำ และวันนี้อารมณ์นั้นกำลังลุกเป็นไฟอยู่พอดี 

เลือกตั้งครั้งนี้พลเอกรังษีจึงกลายเป็นม้าตัวใหม่ที่กำลังมาแรงในทุกโพล นอกเหนือความคาดหมาย ไม่ว่าพรรคของเขาจะได้สส.เข้ามาเท่าไหร่ในระบบเขตเพราะสู้บ้านใหญ่ไม่ได้ แต่เชื่อว่า ในระบบบัญชีรายชื่อน่าจะได้ สส.ไม่น้อยจนกลายเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่ง 
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น